Thursday, 22 May 2025
ทำเฒ่าเรื่องเพื่อน

‘ธรรมนัส’ ประกาศอิสรภาพ หลุดพ้น ‘บิ๊กป้อม-พปชร.’ เอ่ยชัด “ผมว่า…ผมพอแล้ว” หลังถวายหัวรับใช้มา 6 ปี

หลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมาเปิดเผยโผรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ โดยไม่มีชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ โดยให้เหตุผลสั้น ๆ ว่า พรรคร่วมเขาไม่เอา ซึ่งพรรคร่วมน่าจะหมายถึงพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล ที่ไม่ต้องการให้มลทินทั้งหลายไปกระทบต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของแพทองธาร เหมือน ‘เศรษฐา ทวีสิน’ โดนมาแล้ว กรณีไร้จริยธรรม แต่งตั้ง ‘พิชิต ชื่นบาน’ เป็นรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่มีมลทิน

แต่ที่น่าสนใจ มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้าว่า รัฐบาลใหม่ไม่เอา ‘วงษ์สุวรรณ’ ซึ่งหมายถึงไม่เอา ‘พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ’ นั้น แต่ในโผรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ กลับมีชื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท นั่งเก้าอี้เดิม แต่เตะโด่ง ‘ร.อ.ธรรมนัส’ ออกนอกสนามแข่ง มี ‘สันติ’ มานั่งว่าการกระทรวงเกษตรแทน และให้ ‘ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ เสียบแทนสันติในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข

ไม่เอา ‘วงษ์สุวรรณ’ อันเกิดจากความไม่พอใจของหัวเรือใหญ่เพื่อไทย ไม่พอใจต่อท่าทีที่เมินเฉยต่อพรรคเพื่อไทยของ ‘พล.อ.ประวิตร’ ที่ไม่เข้าร่วมประชุมสภาโหวตให้แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ออกแรงห้าม 40 สว.ที่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความฐานะของนายกฯ เศรษฐา ผิดจริยธรรมทางการเมือง จนต้องพ้นจากตำแหน่ง

เกือบ 6 ปีที่ประชาชนได้รู้จักชื่อของ ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ ในฐานะนักการเมืองที่สร้างแรงสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เขาให้สัมภาษณ์หรือปรากฏตัว มักมีสัญญาณทางการเมืองที่สำคัญ เคยถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ปลดพ้นรัฐมนตรีมาแล้ว หลังร่วมกันวางแผนล้ม พล.อ.ประยุทธ์กลางสภา และเคยออกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปตั้งพรรคใหม่ ‘เศรษฐกิจไทย’ แต่สุดท้ายก็กลับมาพลังประชารัฐอีกครั้งและรับบทเป็นแม่บ้านเลขาธิการพรรค

“จากประสบการณ์ 6 ปีที่ผ่านมา ผมเองรับใช้บุคคลหนึ่งและพรรคหนึ่งมามากพอสมควรแล้ว จึงถึงเวลาที่ต้องเดินออกมาโดยไม่ทะเลาะกับใคร วันนี้ถึงเวลาที่ต้องประกาศความเป็นอิสรภาพของตัวเองแล้ว” 

พร้อมกล่าวด้วยว่า “พี่น้องคงเห็นแล้วว่าสมัยรัฐบาลที่แล้ว ผมก็รักคนคนหนึ่งมาก ใช้ผมไปตาย ผมยังไปตายเลย แล้วท้ายที่สุดผมก็ประสบอุบัติเหตุทางการเมือง ผมว่าผมพอแล้ว และการที่ พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ก็ไม่ได้ถามผมและไม่ได้คุยอะไรกัน”

คำพูดเหล่านี้ไม่ต้องแปล เข้าใจกันได้ง่าย ๆ ‘แตกหักกันแล้ว’ แต่ ร.อ.ธรรมนัสก็ยังไปไหนไม่ได้ จะย้ายพรรคก็ยังไม่ได้ เพราะถ้าลาออกเองก็จะพ้นจากความเป็น สส. ก็ต้องอยู่เป็นก้างขวางคอไปเรื่อย ๆ จนกว่า พรรคเขาหมั่นไส้ ไม่ออกเอง แล้วไปหาพรรคใหม่

พรรคใหม่ก็ไม่ต้องไปควานหา หรือดิ้นรนอะไรมาก ‘พรรคกล้าธรรม’ ที่ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ไปตั้งพรรครอไว้เรียบร้อยแล้ว

ก็ต้องติดตามกันต่อไปสำหรับก้าวย่างของชายผู้กล้าได้กล้าเสียคนนี้ในนาม ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’

สื่อจีนตีข่าวไทยส่ง 'โทนี่ เตียว' อาชญากรโกงคริปโตฯ 4 แสนล้านกลับไปให้จีนดำเนินคดี ด้าน ปปง.จ่อยึดทรัพย์อาณาจักรหมื่นล้าน 'ด่านนอก' นักการเมืองบางคนจ้องตาเป็นมัน

กรณีที่ไทยส่งตัวนายโทนี่ เตียว หรือที่ใช้ชื่อนายจาง อาชญากรฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัลไปยังประเทศจีน

โดยสื่อจากประเทศจีนรายงานข่าวว่า ทางการไทยได้มีการส่งตัวนายจาง มูมู (Zhang Moumou) ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท MBI อันโด่งดังไปยังประเทศจีน หลังจากที่มีการตามล่าตัวนายจางในระดับระหว่างประเทศมาอย่างยาวนาน

สื่อจีนชื่อว่า The Paper รายงานว่าการส่งผู้ร้ายข้ามแดนครั้งนี้เป็นคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจภายใต้สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนจีน-ไทย ซึ่งลงนามในปี 2542 สำหรับพฤติการณ์ของนายจางเริ่มขึ้นในปี 2555 เกี่ยวข้องกับโครงการปิรามิดออนไลน์ที่อ้างว่าให้ผลตอบแทนสูงผ่านสกุลเงินดิจิทัลเสมือนจริง

ตามรายงาน โครงการ MBI กําหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการต้องชําระค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 700 ถึง 245,000 หยวน (3,328 ถึง 1,165,995 บาท) เพื่อเข้าร่วม รายได้นี้เชื่อมโยงกับการสรรหาสมาชิกใหม่และระดับของเงินทุนที่ลงทุน มีรายงานว่ามีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการมากกว่า 10 ล้านคน โดยมีเงินทุนรวมเกิน 1 แสนล้านหยวน (475,916,337,000 บาท) บทบาทของนายจางในปฏิบัติการนี้ทําให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องการตัวมากที่สุดของจีน

สํานักความมั่นคงสาธารณะเทศบาลฉงชิ่งตั้งข้อหานายจางอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2563 ต่อมาในเดือนมีนาคม 2564 สํานักงานตํารวจสากล สาขาประเทศจีน ได้ออกหมายแดงสำหรับนายจาง และตํารวจไทยได้จับกุมนายจางเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 

อย่างไรก็ตาม กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นซับซ้อน เพราะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนทางกฎหมายหลายขั้นตอน ทางการจีนขอให้ส่งนายจางในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเป็นทางการภายใต้สนธิสัญญาทวิภาคี ซึ่งนําไปสู่คําตัดสินของศาลอุทธรณ์ไทยเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน รัฐบาลไทยยืนยันการตัดสินใจเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ2567 และนายจางถูกส่งตัวกลับไปยังจีนหลังจากนั้นไม่นาน

กรณีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน สถานทูตจีนในประเทศไทย และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทย ปฏิบัติการร่วมนี้ดําเนินการภายใต้ "ปฏิบัติการล่าสุนัขจิ้งจอก" ของจีน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่ผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ

กล่าวสำหรับอาณาจักรโทนี่เตียว หรือ"เตียว วุย ฮวด" หรือ "โทนี่ เตียว" เป็นคนมาเลเซียเชื้อสายจีน ชื่อทางการในภาษามาเลเซียจึงออกสำเนียงจีนที่เขียนด้วยอักษรไทยได้ว่า “เตียว วุย ฮวด” ชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการคือ “เสี่ยวจาง” แต่มีคนจำนวนหนึ่งพานเรียกว่า “เสี่ยจาง” ซึ่งได้ความหมายเช่นกัน ส่วนชื่อเรียกที่ออกไปทางสากลแบบถูกลิ้นฝรั่งและโดยเฉพาะคนไทยด้วยคือ “โทนี่ เตียว” แต่สำหรับคนจีนแผ่นดินใหญ่และจีนโพ้นทะเลอื่นๆ จะผิดแผกไปนิดเรียกขานเขาว่า “เทดี้ เตียว”

“เตียว วุย ฮวด” มีหมายจับเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงและฟอกเงินในมาเลเซีย รวมถึงในสาธารณรัฐประชาชนจีน “เทดี้ เตียว” มีหมายจับเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงเช่นกัน เป็นหมายแดงขององค์การตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค.2563 อายุความตามหมาย 15 ปี หรือกว่าจะหมดอายุความก็ต้องปี 2578 จากคดีฉ้อโกงที่เกิดจาก MBI International Holdings ได้ออกแพลตฟอร์มชื่อ NSC แล้วชักชวนให้คนจีนร่วมลงทุนในลักษณะเดียวกับ “แชร์ลูกโซ่” แบ่งสมาชิกออกเป็น 8 ระดับ โดยใช้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรเป็นตัวล่อ แล้วจัดทัวร์พาผู้ร่วมทุนจากจีนไปท่องเที่ยวในอาณาจักรของเครือบริษัทในประเทศต่างๆ แต่ภายหลังทางการมาเลเซียสั่งอายัดทรัพย์ ทำให้ไม่มีเงินไปต่อเงิน จึงเกิดการฟ้องร้องขึ้นนำมาสู่การออกหมายจับแดงดังกล่าว

การทำธุรกิจในนาม MBI International Holdings ในมาเลเซียและจีน หรือบริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป ในประเทศไทย ล้วนตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน คือ เน้นการเรียกเชิญชวนให้ผู้คนให้มาร่วมลงทุนด้วยจากการสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่แบบครบวงจร ซึ่งต้องใช้ที่ดินนับร้อยนับพันไร่ ภายในโครงการจะประกอบไปด้วยบ้านจัดสรร บ้านพักตากอากาศ โรงแรม รีสอร์ต สวนผลไม้นานาชนิด รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ สนามกีฬา ห้องประชุมและสันทนาการ ลานจัดกิจกรรมขนาดใหญ่ แล้วยังเพิ่มเติมด้วยการสร้างสิ่งดึงดูดใจให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ หรือจุดเช็กอินมากมาย ตามแต่ว่าคนในประเทศที่โครงการตั้งอยู่ชื่นชอบสไตล์ไหน

สำหรับที่เมืองชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ 'ด่านนอก' อ.สะเดา จ.สงขลา บริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป ได้ลงทุนไปแล้วนับหมื่นล้านบาท ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2550 หรือเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา โดยกว้านซื้อที่ดินไว้หลายพันไร่ ภายในโครงการประกอบด้วย โรงแรม 6 แห่ง รีสอร์ต 2 แห่ง อพาร์ตเมนต์ 9 แห่ง สถานบันเทิง สวนสนุก ธุรกิจประเภทเฟอร์นิเจอร์ หมู่บ้านวัฒนธรรมอาเซียน มีการจำลองวัดร่องขุ่น พระพิฆเนศองค์ใหญ่ สวนไดโนเสาร์ เมืองคาวบอย ฟิวเจอร์ปาร์ค ฟาร์มม้า สวนแพนด้า กระทั่งศาลไคฟงก็ยังมี

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายงานไว้ว่า บริษัท เอ็มบีไอ กรุ๊ป สัญชาติมาเลย์เข้ามาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในไทยครั้งแรกปี 2545 แล้วในปี 2559 ขยับขยายบริษัทในเครือเพิ่มเป็น 15 บริษัท รวมทุนจดทะเบียนได้ 662.5 ล้านบาท แบ่งเป็นใน อ.สะเดา และ อ.นาทวี จ.สงขลา 14 บริษัท และที่กรุงเทพฯ 1 บริษัท เช่น บริษัท บิลเลี่ยนคอนโด จำกัด ทำธุรกิจโรงแรม จดทะเบียน 4 กันยายน 2545 ทุน 51.5 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 49% บริษัท เอ็มวัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด โรงแรม จดทะเบียน 18 มกราคม 2551 ทุน 100 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 30% บริษัท เค.เอ.ดับเบิลยู. จำกัด โรงแรม จดทะเบียน 30 กันยายน 2551 ทุน 125 ล้าน นายเตียว วุย ฮวด ถือหุ้น 60% บริษัท เอ็มบีไอ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 30% และนายเตียว อี เม้ง 10% (มาเลเซีย) และบริษัท เซาท์เทิร์น เอเซีย จำกัด อสังหาริมทรัพย์ จดทะเบียน 3 ธันวาคม 2558 ทุน 300 ล้าน

ส่วนอาณาจักรของเสี่ยวจางจะเกี่ยวข้องกับใคร นักการเมืองคนไหนบ้าง ในวงการเมืองพอจะรับรู้กัน มีผู้มากบารมีในสงขลาเกี่ยวแน่นอน

ให้จับตาว่า เมื่อ ปปง.ซึ่งยึดทรัพย์เสึ่ยว จาง ไว้หมดแล้ว เมื่อเปิดประมูลขาย ใครจะเป็นคนเข้ายื่นประมูลบ้าง อาจจะมีนักการเมืองบางคนจ้องตาเป็นมันก็ได้

รู้จัก ‘ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ ลูกสาว ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ ‘ว่าที่ รมช.กระทรวงมหาดไทย’ ใน ครม.แพทองธาร 1

เป็นชื่อที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นหรือได้ยินในแวดวงข่าวมากนักสำหรับ ‘ดีดา-ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ แต่หลังจาก ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ ประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ‘แพทองธาร’ พร้อมส่งซาบีดา เข้ามาเป็นรัฐมนตรีแทนชื่อของ ‘ซาบีดา’ ก็เริ่มเป็นที่จับจ้องมองทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีชื่อเธอเข้ามาแทนชาดาเลย ส่วนคนที่น่าจะมาแทน คือ ‘มนัญญา ไทยเศรษฐ์’ น้องสาวของชาดา 

แต่ขณะนี้เป็นห้วงเวลาที่มนัญญาเตรียมลงชิงนายกฯ อบจ.อุทัยธานี ‘ชาดา-มนัญญา’ สองพี่น้องได้มีเรื่องบาดหมางกัน เนื่องจากชาดาได้รับปากสนับสนุนอีกคนหนึ่งไปแล้ว นักเลงต้องรักษาคำพูด ยังดีที่ตกลง และเคลียร์กันได้ก่อนการสมัคร ‘มนัญญา’ ก็ถอนตัว จากการชิงนายกฯ อบจ.อุทัยธานี ในขณะที่ชื่อ ‘ซาบีดา’ ถูกส่งเข้าประกวดชิงเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยพอดี

บุญหล่นทับ ‘ซาบีดา’ ด้วยการสละของบิดา หลังตรวจสอบน่าจะไม่ผ่านคุณสมบัติ

‘ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ ดีกรีนักเรียนนอก เกิดวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ปัจจุบันอายุ 39 ปี 11 เดือน เป็นบุตรคนที่ 2 ของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ กับ นางเตือนจิตรา แสงไกร อดีตนายกเทศมนตรี จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปริญญาโทนิติศาสตรมหาบัณฑิต จากลอนดอน ประเทศอังกฤษ 

เมื่อชาดาผู้เป็นบิดาเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ซาบีดา เข้ามาฝึกงานเป็นคณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยของผู้เป็นพ่อ และเป็นตัวแทนในการทำงานดูแลประชาชนในพื้นที่อุทัยธานีด้วย

ชีวิตครอบครัว ‘ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ แต่งงานกับ ชาเดฟ-อนันต์ ปาทาน เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2565 ที่โรงแรมบันยันทรี เกาะสมุย โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาในขณะนั้นเป็นประธานในพิธี ซึ่งปัจจุบัน ‘ดีดา ซาบีดา’ ยังไม่มีบุตร และถือว่ามีครอบครัวช้า เพราะแต่งงานในวัยเลย 35 ปีไปแล้ว

แต่ก็ถือว่า ‘ซาบีดา’ เป็นรัฐมนตรีที่มีอายุน้อยคนหนึ่ง เพียงแต่อายุมากกว่า นายกฯ แพทองธาร 1 ปีกว่า ๆ แต่ในวัยที่ยังไม่ถึง 40 ปี ถือว่า ‘กำลังดี’

'ลิซ่า' อัด 'ประชาธิปัตย์' กระอักเลือดกลางสภา ไร้เงา สส.ปชป.ใช้สิทธิ์พาดพิง ชี้แจงข้อเท็จจริง

ผมไม่ใช่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ในประชาธิปัตย์จำนวนมาก ทั้งนิพนธ์ บุญญามณี, สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล, สมชาย โล่สถาพรพิพิธ เหล่านี้เป็นต้น ไม่อยากนับ เทพไท เสนพงศ์ ที่ทุกวันนี้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ก็ยังไม่ชัดว่า อนาคตจะเดินไปทางไหน 'ส้ม' หรือ 'ฟ้า' หรือ 'น้ำเงิน'

แต่บอกตามตรงว่า 'เจ็บลึก' หรือเจ็บแสบเข้าไปในทรวง แม้ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กับคำอภิปรายของ 'ลิซ่า' นางสาวภคมน หนุนอนันต์ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งเป็นคนถิ่นฐานบ้านเดิมอยู่พัทลุง ลุกขึ้นอภิปรายในฐานะที่เป็นคนใต้คนหนึ่ง เมื่อวันที่13 กันยายน ที่ผ่านมา

เนื้อหาการอภิปรายตอนหนึ่ง ลิซ่าได้กล่าวพาดพิงถึงพรรคการเมืองหนึ่ง โดยไม่ระบุชื่อว่าเป็นพรรคการเมืองใด แต่คนที่ฟังการอภิปรายก็สามารถรับรู้ได้ว่า หมายถึงพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ เพราะลิซ่าได้กล่าวถึงพรรคการเมืองน้องใหม่ล่าสุดเข้าร่วมรัฐบาลและเป็นพรรคการเมืองที่เคยเป็นคู่ต่อสู้กับระบอบทักษิณ และพรรคเพื่อไทยมาเป็นเวลาร่วม 20 ปี ได้ชวนคนภาคใต้ร่วมการต่อสู้กับระบอบทักษิณ แต่มาวันนี้ได้ละทิ้งอุดมการณ์ที่เคยมี ไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งไม่ได้อยู่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่เป็นเพียงพรรคพลอยรัฐบาล ความหมายก็คือ ขออาศัยชายคาของพรรคเพื่อไทย เพื่อขอเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย

แหม…มันเจ็บในทรวง เจ็บเข้ากระดองใจกับคำว่า 'พลอยร่วม' ไม่รู้ว่าคนพรรคประชาธิปัตย์คิดอย่างไร แต่บางคนอาจจะกระอักเลือด เช่น ชวน หลีกภัย, บัญญัติ บรรทัดฐาน และแฟนคลับสายผู้อาวุโส

ตอนท้าย ลิซ่า ได้ขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ทำให้คนภาคใต้หูตาสว่างขึ้น และการเลือกตั้งในครั้งหน้า คนไทยทั้งประเทศและคนภาคใต้จะเลือกพรรคการเมืองที่มีสัจจะวาจา ตรงไปตรงมา หรือเลือกพรรคที่เอาประชาชนมาบังหน้า หรือพรรคสับปลับกลับไปกลับมา ก็ไม่รู้หมายถึงพรรคการเมืองไทย แต่น่าจะไม่ใช่ประชาธิปัตย์

ผมไม่ทราบว่าคนที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบัน และได้โหวตให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เพราะในที่ประชุมรัฐสภาไม่มีสส.พรรคประชาธิปัตย์คนใด ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิง อภิปราย ชี้แจงข้อเท็จจริง และตอบโต้ลิซ่าเลย หรือเพราะว่าลิซ่าพูดความจริงจนจุกอก ไม่สามารถหาเหตุผลมาชี้แจงได้

คนในพรรคประชาธิปัตย์จะเจ็บจะปวดหรือไม่ ไม่ทราบ แต่เราในฐานะคนนอก มันรับไม่ได้จนแทบกระอักเลือดตาย

‘น้ำ-วาริน’ วัด ‘เจ้ต้อย-กนกพร’ ชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.นครศรีฯ สนามพิสูจน์พละกำลังระหว่าง ‘ประชาธิปัตย์ - ภูมิใจไทย’

‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ พร้อมลงชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.นครศรีฯ จาก ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ ที่ชิงลาออกในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ วัดบารมี ‘โกเกี๊ยะ’ ลุยบ้านใหญ่

การประชุมทีมงานได้ข้อสรุปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาให้ นายกฯต้อย กนกพร เดชเดโช ลาออกจากนายกฯอบจ.นครศรีธรรมราช ก่อนหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคม โดยยกเหตุผลเรื่องความยุ่งยากในการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในสถานการณ์ที่คาดการณ์ว่า อาจจะมีอุทกภัยในช่วงปลายพฤศจิกายน - ต้นธันวาคม กับกรอบเวลา 180 วัน กับข้อห้ามใช้งบประมาณ ด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งกริ่งเกรงว่า จะใช้งบประมาณเพื่อการหาเสียง

เหตุผลนี้ ‘บิ๊กแจ๊ส-คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง’ นายกฯอบจ.ปทุมธานี เคยนำทีมนายกฯอบจ.โซนภาคกลาง 3-4 จังหวัดลาออกก่อนหมดวาระมาแล้ว

นี่คือเหตุผลของการลาออกก่อนหมดวาระของนายกฯต้อย ซึ่งถ้าพิจารณาตามเนื้อผ้า และปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก็เป็นเหตุผลที่รับฟังได้ พร้อมระบุว่า 

“ซึ่งจะเป็นอุปสรรคของการบริหารจัดการในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครศรีธรรมราช อาจส่งผลให้การทำงานแก้ไขปัญหาประชาชนหยุดชะงัก ขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการรับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติช่วงประมาณเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งมีแนวโน้มจะเกิดขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้น ตามภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ดังที่ปรากฏอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ในขณะนี้ กรณีดังกล่าวจำเป็นต้องมีอำนาจในการบริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ทั้งทางด้านการบริหารงบประมาณ การบริหารบุคคล รวมถึงการประสานเชื่อมโยงกับภาคส่วนต่าง ๆ”

สำหรับทีมพลังเมืองนคร ของเจ้ต้อย ถือว่า เตรียมความพร้อมมายาวนาน เดินสายพบปะแกนนำในแต่ละอำเภอมาครบทั้ง 23 อำเภอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกฯอบต. ส.อบต. พร้อมจัดทีมผู้สมัคร ส.อบจ.ไว้ครบถ้วนหมดแล้ว

เอาเป็นว่า เครือข่ายพร้อม ปัจจัยพร้อม เดินหน้าลุยต่อได้ทันที

แต่สำหรับมุมมอง #นายหัวไทร เชื่อว่าการลาออกของนายกฯต้อยมีเหตุผลทางการเมืองประกอบด้วย “ชิงการได้เปรียบทางการเมือง” ได้เปรียบกับการเป็นฝ่ายบริหารมาจะครบ 4 ปี แน่นอนว่า ผลงานเริ่มเป็นที่ประจักษ์ชัด ทีมงาน เครือข่ายพร้อม กระสุนดินดำลื่นไหล 

ในขณะที่คู่แข่ง ได้เห็นความพยายามของพรรคภูมิใจไทย ที่ ‘พิพัฒน์ รัชกิจประการ’ รัฐมนตรีแรงงาน หัวเรี่ยวหัวแรงของภาคใต้ เรียกประชุมทีมงานนครศรีธรรมราชมาแล้ว สั่งการให้เตรียมพร้อมเลือกตั้ง อบจ.และเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีธรรมราช และเคาะชื่อ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ อดีตประธานหอการค้านครศรีธรรมราช และกรรมการหอการค้าไทย อดีตนักศึกษากิจกรรม เคยเป็นนายกสโมสรนักศึกษาสมัยเรียนระดับมหาวิทยาลัย 

เมื่อพิจารณาตามความพร้อม พรรคภูมิใจไทยมี สส.นครศรีธรรมราช 2 คน และมีโครงข่ายที่ถูกสร้างในช่วง 2 ปีมานี้อยู่ไม่น้อย แต่โอกาสของภูมิใจไทยในนครศรีฯ คิดว่ายังเหนื่อยในการต่อกับเจ้ต้อย ที่ยังมี ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ ลูกๆ และ สส.ในสังกัดอีก 6-7 คน

การตัดสินใจลาออกของนายกฯต้อย น่าจะเป็นยุทธวิธีทางการเมือง 1.หลีกเลี่ยงการกระทำผิดเรื่องการใช้งบประมาณตามกรอบเวลาในช่วง 180 วัน ก่อนวันครบวาระ

2.หลีกเลี่ยง ค่าใช้จ่ายในการหาเสียงที่เกิดขึ้นในระยะ 180 วันก่อนครบวาระ

3. น่าจะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ จาก ผู้ตรวจการเลือกตั้ง (ผตล .) เพราะ กกต. ยังไม่ได้ตั้ง ผู้ตรวจการเลือกตั้งปฏิบัติหน้าที่กับการเลือกตั้งเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่ครบวาระ

4.ที่สำคัญเมื่อลาออกทำให้การเลือกตั้งนายกฯกับฝ่ายสภา (ส.อบจ.)เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน วาระของ ส.อบจ.จะหมดปลายเดือนธันวาคม ถ้าได้เป็นนายก อบจ. อยู่แล้ว หาทีมเข้าสังกัดได้ง่าย มีตัวเลือกเสนอตัวเยอะ ค่าใช้จ่ายไม่เยอะ 

กนกพร ยืนยันหลายต่อหลายครั้งว่า จะขอลงสมัครชิงนายกฯอบจ.นครศรีธรรมราชอีก 1 สมัย ถ้าได้รับเลือกก็จะเป็นสมัยที่ 2 หลังจากนั้นก็ต้องหยุดพักตามกฎหมาย

‘น้ำ’ ลั่นพร้อมลงชิง

“น้ำมีความพร้อม ไม่มีพันธะอะไร ต้องรับผิดชอบมากมาย” คำพูดแรกของ ‘วาริน ชิณวงค์’ ในการตัดสินใจลงชิงเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช (นายกฯอบจ.)

น้ำ พร้อมทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ และมีตัวช่วยอย่าง ‘พิพัฒน์ รัชกิจประการ -อนุทิน ชาญวีรกูล -เนวิน ชิดชอบ’ บารมีของบุคคลเหล่านี้น่าจะหว่านล้อมผู้มากบารมีในนครศรีธรรมราช ให้มาช่วยดันน้ำได้ไม่น้อย และอาจจะทำให้ทีมเจ้ต้อยหวั่นไหวไปบ้างไม่มากก็น้อย

14-18 ตุลาคม เปิดรับสมัคร และหย่อนบัตรวัดดวงกันวันที่ 24 พฤศจิกายน วันชี้ชะตาประชาชนจะมอบความไว้วางใจให้ใครมาบริหารเมืองใหญ่ ‘นครศรีธรรมราช’

เปิดประวัติ ‘ดร.นพ-ธนพล’ ผู้เปิดตัวชิงเก้าอี้นายกสภาทนายความ แข่ง ‘ดร.วิเชียร ชุบไธสง’ วัดใจใครจะเข้ามากอบกู้องค์กรทนายความ

(6 ต.ค. 67) ดร.นพ-ธนพล เปิดตัวลงชิงเก้าอี้ ‘นายกสภาทนายความ’ ด้วยความพร้อมทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และประสบการณ์

เด็กหนุ่มจากสตูล ‘ธนพล คงเจี้ยง’ ตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพ เป้าหมายคือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แหล่งตลาดวิชา ด้วยระบบการศึกษาไทยแบบ ‘แพ้คัดออก’ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น ‘ลูกพ่อขุน’ กับคณะนิติศาสตร์ ปี 2535 ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ธนพลก็ผ่านเป็น ‘นิติศาสตรบัณฑิต’ สำเร็จตามเป้าหมาย

แม้จะมีทางเลือกหลายทางในการยึดเป็นอาชีพสำหรับคนจบนิติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นนิติกร ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง แต่สำหรับ ‘ธนพล’ ตัดสินใจเดินไปสู่อาชีพทนายความ หลังเข้ารับการอบรมสอบผ่านเป็นผู้ประกอบอาชีพทนายความ

ระหว่างทางยังศึกษาต่อระดับมหาบัณฑิตด้านนิติศาสตร์ และอบรมหลักสูตรระดับผู้บริหารชั้นสูงอีกหลายสูตร เช่น หลักสูตรการบริหารเชิงนิติศาสตร์ระดับสูงของวิทยาลัยทนายความรุ่นที่1 หลักสูตรนักบริหารระดับสูงในกระบวนการยุติธรรมทางปกครองของศาลปกครองรุ่นที่1 หลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง(พตส.14) รุ่นที่14 และหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการพัฒนาผู้นำเมืองรุ่นที่6 เป็นต้น

ยังไม่พอ ดร.ธนพล ยังเรียนต่อด้านรัฐศาสตร์ ในรั้วรามคำแหง จนเป็นมหาบัณฑิตด้านรัฐศาสตร์สาขานักบริหารและสามารถจบปริญญาเอกสาขาวิชาการเมืองจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จนได้รับคำนำชื่อว่า ‘ดอกเตอร์’ ซึ่งเขายังคงยึดรามคำแหงเป็นที่มั่นในเชิงตลาดวิชา แค่ได้เห็นประวัติการศึกษาก็ล้นเหลือ ด้านอาชีพทนายความก็เปิดสำนักงานทนายความของตัวเองในนามบริษัท เดอะรอยัล ลอว์เฟิร์ม จำกัด ตั้งสำนักงานอยู่ย่านถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ ดร.นพ หรือ ดร.ธนพล ยังสละเวลาที่มีอยู่น้อยนิด ทำงานเพื่อสังคม เคยเป็นกรรมการดำเนินงานผลักดันให้ทนายความได้รับใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ในนามของสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เคยเป็นกรรมการและเลขานุการ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค สภาทนายความฯ เคยเป็นคณะทำงานกลั่นกรองในส่วนฝ่ายปฏิบัติการ สภาทนายความฯ เคยเป็นอนุกรรมการบริหาร สภาทนายความ เคยเป็นกรรมการสอบสวนมรรยาททนายความ สภาทนายความฯ เอาเป็นว่า เดินเข้าเดินออกสภาทนายความฯมาร่วม 30 ปี

ในทางธุรกิจ นอกจากเปิดสำนักงานทนายความของตนเองแล้ว ยังเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ Managing Director บริษัท ธนวัต ลอร์ แอนด์ บิสสิเนส จำกัด เคยเป็นทนายความอาวุโสประจำ บรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำกัด และยังเคยย่ำกายเข้าไปสู่เส้นทางการเมืองกับตำแหน่งที่ปรึกษาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ปัจจุบันยังรั้งตำแหน่งนายกสมาคมนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหงอีกด้วย

วันนี้ ดร.ธนพล เปิดตัวลงชิงนายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งกันในปลายปี 2568 และจากประวัติที่กล่าวมา ถือว่าเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง โดยยังไม่ได้กล่าวถึงภาวะผู้นำ (Leadership) และบารมีที่สะสมมา (charisma)

จับตาครับสำหรับศึกชิงเก้าอี้นายกสภาทนายความ โดยมีคู่แข่งคือ ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความฯคนปัจจุบันที่ขอลงอีก 1 สมัย ผลงานในรอบ 1 สมัยจะเป็นเครื่องวัดใจทนายความว่า จะเลือกใครมานั่งกุมบังเหียน ผู้นำสูงสุดขององค์กรในวงการทนายความ ระหว่าง “ดร.ธนพล กับ ดร.วิเชียร”เพื่อเข้ามากอบกู้เกียรติยศ ศักดิ์ศรีและดูแลสวัสดิการของพี่น้องทนายความ

ส่องสนามเลือกตั้งชิงเก้าอี้ ‘นายกฯอบจ.สงขลา’ สมรภูมิตัวแทน ‘นิพนธ์ - เดชอิศม์’ ฝั่งไหนจะเข้าวิน

เป็นที่แน่ชัดว่า เมื่อ 'สุพิศ พิทักษ์ธรรม' ลาออกจากราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมฝนหลวง เป้าหมายคือ ลงชิงนายกฯอบจ.สงขลา ที่เวลานี้ 'ไพเจน มากสุวรรณ์' นั่งบริหารอยู่

เมื่อนิพนธ์ บ้านใหญ่เขารูปช้าง ไม่ได้ลงสมัครเอง ก็ต้องให้การสนับสนุนสุพิศ ที่มี 'มาดามปิ๋ม' มาลัยทิพย์ ครุอำโพธิ์ ภรรยาของ 'สมยศ พลายด้วง' สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ทายาทของเศรษฐีใจบุญแห่งสิงหนคร 'เฉลิมชัย ครุอำโพธิ์' เป็นรองนายกฯ

ประเด็นคำถามต่อมา เมื่อนิพนธ์จองหัวเชือกสุพิศไว้แล้ว นายกฯชาย-เดชอิศม์ ขาวทอง บ้านใหญ่รัตภูมิ จะเลี้ยวหัวเรือไปจอดฝั่งไหน แต่แน่นอนว่า ต้องฝั่งตรงข้ามนิพนธ์

'ประพิศ จันทร์มา' อดีตอธิบดีกรมชลประทาน คนอำเภอระโนด แม้จะไม่สนใจการเมืองมากนัก แต่น่าสนใจว่าจะสนับสนุนใครระหว่าง 'ไพเจน' กับ 'สุพิศ'

ทั้งประพิศ สุพิศ และไพเจน ต่างเติบโตมาจากกรมชลประทานทั้งสิ้น เคยทำงานร่วมกันมา แต่ช่วงหนึ่งสมัยหนึ่งก็เคยมีปัญหากันมา เมื่อ “เสือจะอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”

ส่วนบ้านใหญ่สนามบิน 'ถาวร เสนเนียม' แม้จะดูเงียบ ๆ ไม่เลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่เชื่อว่า เมื่อปี่กลองประโคมขึ้น 'ถาวร' ก็ต้องออกมาร่ายรำ เพียงแต่ว่าจะรำอยู่ข้างนิพนธ์ หรือข้างนายกฯชาย

ถ้าย้อนดูไปในอดีต ถาวรก็จะยืนอยู่คนละฝั่งกับนิพนธ์มาตลอด แต่ถาวรก็ไม่เคยชนะนิพนธ์ในพื้นที่สงขลา

ศึกชิงนายกฯอบจ.สงขลา น่าจะมีแค่สามขั้ว คือ ไพเจน สุพิศ และประชาชน แต่เป็นอีกสนามเลือกตั้งที่สนุก น่าติดตามยิ่ง แจกแจงผลงาน แถลงนโยบายกันออกมาเถอะ ประชาชนจะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือก

ศึกสังเวียน อบจ.นครศรีฯ ยังออกหมัดกันน้อย เหมือนมวยชั้นเชิง แต่ระวังหมุดสวน!! หรือศอกกลับ มีสิทธิ์น็อคทุกคน

(27 ต.ค. 67) หลังจากนายหัวไทรโพสต์ภาพป้ายหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชของผู้สมัครหมายเลข 2 (วาริน ชิณวงศ์-น้ำ)ถูกมือดีฉีกทำลาย ไม่รู้ว่าด้วยฝีมือของใคร แต่มองได้สองมุม คือ เป็นการทำของคู่แข่ง เป็นการข่มขวัญ และเป็นการกระทำของทีมงานผู้ถูกทำลายป้ายเอง เพื่อเรียกคะแนนสงสาร ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการแบบโบราณ ล้าสมัย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของฝ่ายใดก็ตาม

แต่สำหรับนายกองตรีอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ผู้สมัครชิงนายกฯอบจ. หมายเลข 3 จากกลุ่มนครก้าวหน้าก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นทันที กล่าวสำหรับอาญาสิทธิ์ ไม่ขึ้นป้ายหาเสียง ไม่มีรถแห่ ไม่มีหัวคะแนน หาเสียงผ่านสื่อออนไลน์ และลงพบปะแลกเปลี่ยนในชุมชนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

นายกองตรีอาญาสิทธิิ์ โพสต์เฟสบุ๊คระบุว่า พบป้ายหาเสียงของผู้สมัครรายหนึ่ง เป็นป้ายสีน้ำเงิน ที่ติดตั้งอยู่ริมถนนสาย นครฯ-ทุ่งสง ในเขตอำเภอร่อนพิบูลย์ 

เป็นประเด็นการเมืองที่มีประชาชนสนใจสอบถามกันในเฟสบุ๊คจำนวนมาก พร้อมส่งข้อมูลให้ความเห็นในเฟสบุ๊คของ อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ว่ามีป้ายของผู้สมัครถูกทำลาย ทั้งสองค่ายสีน้ำเงินและสีฟ้า และประชาชนจำนวนมากต่างสอบถามด้วยความสงสัย ว่ายังไม่พบป้ายหาเสียงค่ายสีส้มของนายอำเภออาญาสิทธิ์ เบอร์3 ติดตั้งตามถนนต่างๆ ซึ่งนายกองตรีอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ได้ตอบเฟสบุ๊คว่า #ป้ายเบอร์3 นั้นได้ติดไว้ในอ้อมอก ในหัวใจ ของพี่น้องชาวนคร แล้ว ดูได้จากโทรศัพท์มือถือ สื่อออนไลน์ เฟสบุ๊ค , ไลน์ สาธารณะ เนื่องจากนายกองตรีอาญาสิทธิ์#เบอร์3 คิดใหม่ ทำใหม่  ไม่ใช้รูปแบบการหาเสียงติดป้าย ไล่แห่ รถเปิดเครื่องเสียงให้รำคาญชาวบ้านแบบเดิมๆ แต่มุ่งหน้าเข้าไปพูดคุย กับประชาชน เรื่องปัญหาเรื่อง อาชีพ รายได้ ปัญหาอื่นๆ และเชิญชาวนา ชาวไร่ คนทุกชนชั้นนั้นในเมืองนครฯ มาร่วมกันสนับสนุนเลือกเบอร์3 เพื่อเข้าไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ความยากจน ไม่มีรายได้ ของชาวนคร 

การหาเสียงเลือกตั้งถ้าเป็นมวยก็เริ่มเข้าสู่ยกที่ 2 แล้ว ยกละ 10 วัน เหลืออีก 3 ยก ถ้าเป็นมวยไฟท์เตอร์ ยกสองต้องมีออกหมัดกันบ้างแล้ว แต่ถ้าเป็นมวยชั้นเชิง ยกสองอาจจะยังติ้ดเฉิ้งกันไปอีกหน่อย ดูชั้นเชิงของคู่ต่อสู้

มวยคู่เอกเป็นการชกกันระหว่าง ‘ต้อย ศิษย์เดชเดโช’ กับ ‘น้ำ สิงห์น้ำเงิน’ ยกแรกผ่านไป ถือว่า ต้อย ศิษย์เดชเดโช มีคะแนนนำไปก่อน สะท้อนผ่านการระดมสรรพกำลัง เดินสายพบปะ รถตระเวนแห่หาเสียงไปทั่ว พร้อมกับการเปิดเวทีปราศรัยย่อยในระดับชุมชน พร้อมกับป้ายหาเสียงพรึบ อันเป็นตัวบ่งชี้ถึงความพร้อม และการบริหารจัดการทีมที่พร้อมกว่า

ส่วนน้ำ แม้จะออกพบปะประชาชนอยู่เนืองๆ แต่ยังเน้นชุมชนเมือง หรือตลาดที่เป็นย่านอยู่อาศัยหนาแน่น ยังไม่เปิดเวทีปราศรัย รอความพร้อมทั้งผู้ช่วยปราศรัย และการจัดตั้งคนมาฟัง ที่สำคัญคือต้องหลีกทางให้กับฝนฟ้า ที่ช่วง 27-28-29 ตุลาคมนี้ยังมีฝนลงมาอยู่ เวทีปราศรัยแรกที่บ้านเกิดปากพนังจึงยังไม่ปรากฏ ป้ายหาเสียงก็ยังเห็นแค่ประปราย เข้าใจว่าป้ายหาเสียงชุดใหญ่จะเสร็จ และติดตั้งเต็มพิกัด 1-2 พ.ย.นี้

การเปิดเวทีปราศรัย รถแห่ รวมถึงการติดตั้งป้ายแนะนำตัว เป็นภาพด้านกว้างของการหาเสียง คะแนนหลักต้องมาจากการจัดตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งผ่านหัวคะแนน แกนนำชุมชน ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นการจัดการในทางลับที่คนนอกไม่อาจรู้ได้ และไม่รู้ว่า คู่แข่งทำกันไปแล้วแค่ไหน เพียงพอจะประเมินว่าจะชนะได้แล้วหรือยัง

เหลือเวลาอีกเพียง 3 ยก หรือ 30 วัน เมื่อเกมเดินไปสู่ยก 3-4-5 เชื่อว่า แต่ละคนจะต้องออกหมัดหนักขึ้น และยก 5 ต้องออกหมัดน็อคกันแล้ว ใครน้ำเลี้ยงดี ฟิตซ้อมมาดี ก็จะมีแรงอึด ยืนแลกหมัดได้จนยกสุดท้าย และเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะไปครอง

‘เจ้ต้อย’ ยังเหนือกว่า!! ด้วยกระบวนการ และเครือข่าย ‘น้ำ’ เหนื่อยกับการเปลี่ยน ‘กระแส’ ให้เป็น ‘คะแนน’

(17 พ.ย. 67) อาทิตย์สุดท้าย อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช (อบจ.) เหลือเวลาในการหาเสียงหาคะแนนนิยมกันเพียง 7 วันเท่านั้น กล่าวได้ว่า 40 กว่าวันของการหาเสียงที่ผ่านมาผู้สมัครทั้ง 4 ท่าน ได้ใช้แนวทางของตัวเองในการหาคะแนนนิยมกันอย่างสุดความสามารถแล้ว

กล่าวสำหรับแชมป์เก่า ‘เจ้ต้อย กนกพร เดชเดโช’ เบอร์ 1 นอกจากการชูนโยบายที่จะทำต่อแล้ว การเดินสายพบปะ ปราศรัยย่อยแจกแจงผลงานในรอบ 4 ปี พร้อมแก้ข้อครหา บวกรวมกับการใช้เครือข่าย ทั้งกลุ่มสตรี การเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุดปัจจุบัน รวมถึงชาว อบต.ปฏิบัติการในระดับพื้นที่ฐานราก สามารถกุมฐานเสียงระดับล่างเอาไว้ได้ ที่สำคัญคือการมี สส.อยู่ในกำมือถึง 6 คน ภายใต้การกำกับของ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ ของพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าไม่ธรรมดา

กล่าวสำหรับแทน เชื่อถือได้ในการจัดการคะแนน เพราะเขาผ่านสนามเลือกตั้ง มาตั้งแต่เด็กๆ สมัยพ่อ ‘วิฑูรย์ เดชเดโช’ ลงสมัครนายกฯอบจ. น่าจะได้ซึมซับกลยุทธ์ กลวิธี เรียนรู้เอาไว้ได้มาก การจัดการคะแนนจึงน่าจะเป็นต่อคนอื่นๆ ที่มีเครือข่ายในระดับพื้นที่พร้อมขับเครื่องอาวุธหนักออกถล่มค่ายกลของคู่ต่อสู้ได้อย่างไม่ยาก เพียงแต่ว่า ทหารราบได้มีการประเมินกันอย่างรอบคอบรอบด้านแล้วหรือยังในการปล่อยกระสุนออกสู่เป้าหมาย ยิงแล้วไม่พลาด

แน่นอนว่า แชมป์จะต้องถูกโดนชกหนักหน่อย ทั้งชกใต้เข็มขัดก็มี กัดหูก็มี ถือเป็นเรื่องธรรมดา กรรมการ คือประชาชนเขานั่งจับตามองอยู่ ถึงวันหนึ่งเขาจะตัดสิทธิ์ว่า จะให้เจ้ต้อยไปต่อ หรือพอแค่นี้

ส่วนน้ำ-วาริน ชิณวงศ์ เบอร์ 2 แม้ในช่วงแรกจะมีคนถามกันไม่น้อยว่า เบอร์ 2 คือใคร แต่เมื่อผ่านช่วงเวลาหนึ่งมา คำถามนี้หายไป พร้อมกับกระแสที่พุ่งแรงขึ้นมาจนมีการกล่าวขานถึงในระดับเป็นคู่เทียบคู่ชิงกับเจ้ต้อยเลยทีเดียวบวกกับการใช้สื่อโซเชี่ยลกระโดดข้ามกำแพงบ้าน เข้าถึงห้องนอนอย่างได้ผล เพียงแต่เนื้อหาอาจจะยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ลงรายละเอียดในนโยบายที่โดนใจ จึงอาจจะยังมีคำถามว่าแล้วนโยบายนั้นนโยบายนี้จะทำอย่างไร น้ำเองการโพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ค ยังไม่ค่อยมีรายละเอียด ยังต้องให้คนมาโพสต์ถาม เช่น โพสต์ว่า วันนี้ปราศรัย ‘ขนอม-สิชล’ แต่ไม่รู้ว่าที่ไหน จุดไหน เวลาใด น่าเสียดายน้ำไม่ได้ใช้โอกาสในช่วงขาขึ้นอธิบายรายละเอียดของนโยบายดีๆหลายเรื่อง พูดซ้ำๆเรื่องเดิมๆด้วยช่วงทำนองที่ฉะฉานของสาวมั่น

การที่น้ำประกาศว่า ไม่ซื้อเสียง ในทางทฤษฎีถือว่า เป็นจุดแข็ง ยืนหยัดในหลักการประชาธิปไตย ที่ต้องการสร้างสรรค์การเมืองที่บริสุทธิ์ แต่การประกาศว่า ไม่มีหัวคะแนน อาจจะล็อคคอตัวเองเอาไว้แน่นเกินไป ใครจะเป็นคนจัดการคะแนนในระดับพื้นที่ การจะหวังกระแสอย่างเดียวอาจไม่เดินไปถึงเป้าหมาย แม้กระแสจะดี แต่จะทำอย่างไรให้กระแสแปรเปลี่ยนเป็นคะแนน นี้คือ โจทย์ยากของน้ำ และทีมยุทธศาสตร์

น้ำอาจจะกุมคะแนนเสียงคนระดับกลาง-บน คนในเมืองเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ถามว่า ระดับกลาง-บน เป็นคนกี่เปอร์เซ็นต์ของประชากรจังหวัด อาจจะไม่ถึง 20% ด้วยซ้ำ จุดอ่อนอีกอย่างของทีมน้ำ คือการปราศรัยบนเวทีแล้ว ใช้คำหยาบ ด่าทอคู่แข่ง ซึ่งเป็นการเมืองแบบเก่า ที่ขัดกับบุคคลิกของน้ำที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้ามาเพื่อสร้างการเมืองใหม่ แต่สุดท้ายทีมงานก็ยังไม่เข้าใจในเจตนารมย์ ปล่อยมุกบนเวทีด้วยคำหยาบ ด่าทอด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมที่คนนครฯไม่ชอบ

ถามว่ากระแสเปลี่ยนมีไหม ตอบได้ว่า มี และแรงด้วย แต่ต้องยอมรับความจริงว่า ภูมิทัศน์ทางการเมืองได้เปลี่ยนไปแล้ว และเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงและเร็ว ส่วนหนึ่งภูมิใจไทยได้เข้ามาร่วมสร้างภูมิทัศน์ใหม่ให้กับเมืองคอนในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เงินสะพัดไปทุกหย่อมหญ้า เงินไม่มาก้าวขาออกจากบ้านไม่เป็น

ชาวบ้านระดับรากหญ้านั่งรออยู่ว่า เมื่อไหร่เงินจะมา ต้องการเปลี่ยนแต่เงินคือปัจจัยในการเปลี่ยน

สรุปรวมโค้งสุดท้ายนี้ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ ยังเป็นต่อด้วยกระบวนการบริหารจัดการและปัจจัยที่พร้อมกว่า น้ำต้องเหนื่อยกับการเปลี่ยนกระแสให้เป็นคะแนน

‘นครโมเดล’ สะเทือน!! ถึง ‘สงขลา’ ถ้า ‘ไพเจน’ ปักหลักสู้!! ‘สุพิศ’ ก็เหนื่อย

(30 พ.ย. 67) พลันเมื่อ ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.สงขลา) ถอนตัวไม่ลงรักษาแชมป์ ชื่อของ ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ที่ลาออกจากราชการ มาอาสาเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลาก็โดดเด่นอยู่คนเดียว

‘สุพิศ’ มีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเข้ามาขอทำงานเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลา ด้วยยแนวคิด ‘สงขลาเมืองสะอาด’ อันสะท้อนให้เห็นว่า สงขลายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องปัดกวาดแก้ไข และมองเห็นปัญหาบ้านเกิดอีกหลายอย่างถึงยอมเสียสละหน้าที่ราชการในระดับอธิบดีที่ไม่ใช่จะเป็นกันง่ายๆ

เมื่อไพเจนถอนตัว เส้นทางนายกฯอบจ.สงขลาของสุพิศก็คล่องขึ้น หายใจสะดวกขึ้น ถ้าสุพิศปักหลักสู้ สุพิศก็จะเหนื่อย เพราะ 4 ปีของไพเจนบนตำแหน่งนายกฯอบจ.สงขลา แน่นอนว่า คนสงขลาจะต้องมองเห็นผลงานมากกว่าของสุพิศ

แต่แม้นสุพิศ พิทักษ์ธรรม จากทีมสงขลาพลังใหม่ จะยืนโดดเด่นอยู่คนเดียวก็ยังจะประมาทไม่ได้ ยังมีนิรันดร์ จินดานาค จากพรรคประชาชน ที่พรรคใช้ความพยายามอย่างแรงกล้าในการขอแจ้งเกิดในสนามท้องถิ่น แต่ยังไม่เคยสำเร็จ และไม่ควรลืมว่า สงขลาคือบ้านเกิดของ ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้นธารของพรรคประชาชน และยังมีน.ส.อภิญญา ยอดแก้ว ผู้สมัคอิสระ ที่เปิดตัวเสนอเป็นนายกอบจ.หญิงคนแรกของ จ.สงขลา ก็จะมาร่วมแบ่งคะแนนในรอบนี้ด้วย

แต่นั้นยังไม่น่าประหวั่นพลั่นพรึงเท่ากับการปรากฏชื่อ ‘ถาวร เสนเนียม’ จะร่วมลงชิงกับเขาด้วย เพราะไม่ควรลืมว่า ถาวร คืออดีต สส.สงขลาหลายสมัย อดีตอัยการที่คนสงขลารู้จัก แถมยังผ่านงานบริหารราชการแผ่นดินมาแล้วถึงสองกระทรวง รมช.มหาดไทย และ รมช.คมนาคม มีประสบการณ์ และคุณสมบัติพร้อม

แม้ถาวรจะยังไม่ตัดสินใจว่าจะลงสมัคร เพราะยังมีข้อกังวลเรื่องคดีที่รอศาลฏีกาตัดสิน ถาวรเกรงว่า ถ้าลงสมัครแล้วได้รับเลือกตั้ง แต่อีก 1 ปีต่อมาศาลฏีกาตัดสินออกมาเป็นลบ อบจ.สงขลาก็ต้องสูญเสียงบร่วม 100 ล้าน เพื่อจัดเลือกตั้งใหม่

แต่พลันที่มีชื่อถาวรปรากฏผ่านสื่อโซเชี่ยล ข่าวถูกแชร์ไปทั่ว เพียงวันเดียวก็สร้างความฮือฮาไปทั่ว ร้านน้ำชากาแฟต่างกล่าวขานถึงในเชิงสนับสนุน-เหมาะสม สมน้ำสมเนื้อกับสุพิศ ‘ถาวร’ ขอเวลา 4-5 วันในการประเมินคดี ประชุมร่วมกับทนายความเพื่อประเมินว่าคดีจะออกมาทางบวก หรือทางลบ แล้วจะตัดสินใจ แล้วจะแถลงข่าวให้ทราบโดยทั่วกัน เพียงแต่ถาวรอาจถูกตั้งคำถามเรื่องอายุ แต่ในทางการเมืองอายุเป็นเพียงตัวเลข โดนัล ทรัมป์ อายุเท่าไหร่แล้ว โจ ใบเด็น อายุเท่าไหร่กว่าจะหยุด

ที่ต้องประหวั่นพลั่นถึงถ้าถาวรลงสมัคร เพราะถาวรไม่ได้ไปคนเดียว เขามีองคาพยพมากมายในการจัดทัพกับช่วงเวลาสั้นๆ และอาจจะมีพรรครวมไทยสร้างชาติที่เขาสังกัดอยู่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และมีพรรคภูมิใจไทย ที่มีพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นแม่ทัพภาคใต้อยู่ และ ดร.นที รัชกิจประการ ภรรยา ก็จะพ้นโทษออกจากคุกในวันที่ 8 ธันวาคมนี้แล้ว ก็จะมาเป็นมือเป็นไม้ได้เป็นอย่างดี

สรุปความง่ายๆ ว่า ถ้าถาวรลงสมัคร ก็จะเป็นคู่ชิงของสุพิศที่สนุก เพราะเป็นสนามของคนรู้ใจ รู้เกมกันอยู่ แต่ถ้าถาวรไม่ลงสุพิศก็จะลอยลำ แต่ทำอย่างไรให้สุพิศ สลัดพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นตัว เดินออกห่างจากคนที่คนสงขลา และคนใต้ไม่ชอบให้ดี เพราะจะเป็นตัวถ่วงคะแนนในสถานการณ์ประชาธิปัตย์ขาลง อ่อนแอ

ประชาธิปัตย์อ่อนแอจนนำพาให้ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ พ่ายแพ้ในสนาม อบจ.นครศรีฯ เปิดทางให้ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ เข้ามาสร้าง ‘นครโมเดล’ ได้สำเร็จ

นครโมเดล
-ไม่ซื้อเสียง
-ไม่มีหัวคะแนน
-ไม่ฮั้วประมูล
-ไม่โกงกิน
-ไม่รังแกคนอื่น
-ไม่ใช่บ้านใหญ่

นครโมเดลนอกจากการสร้างปรากฏการณ์เหล่านี้แล้ว ‘นครเข้มแข็ง’ ยังใช้สื่อโซเชี่ยลในการแนะนำตัว หาเสียงอย่างเป็นระบบ เนื้อหาที่โดนใจในอารมณ์คนนครฯ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับบุคลิกการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของสาวมั่น จึงทำให้นครโมเดลสำเร็จ

ความพ่ายแพ้ของเจ้ต้อย ทำให้นครโมเดลถูกกล่าวขานถึง และสั่นสะเทือนไปถึงสงขลา นี้คือปรากฏการณ์ที่ ‘สุพิศ’ ต้องทบทวน และกำหนดทิศทางใหม่ให้ชัดเจน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top