Sunday, 25 May 2025
ชุมพร

‘รร.ในชุมพร’ ประกาศยกเลิกระเบียบการแต่งกายนักเรียน หลังโดนดรามาสนั่น เหตุห้ามเด็ก ‘กันคิ้ว-แต่งหน้า-ใส่คอนแทคเลนส์-พกมือถือ’ ถ้าเจอจะยึดไม่คืน

(2 เม.ย.67) จากกรณีโลกโซเชียลมีการวิพากษ์วิจารณ์ โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.สวี จ.ชุมพร เผยแพร่กฎระเบียบและเครื่องแบบการแต่งกาย บนเฟซบุ๊กแฟนเพจของโรงเรียน โดยห้ามนักเรียนพกมือถือ-อุปกรณ์แต่งหน้า หากตรวจพบจะถูกยึดและไม่คืนให้ทุกกรณี รวมถึงห้ามกันคิ้ว ห้ามแต่งหน้า ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ ซึ่งปรากฏอยู่ในข้อ 11, 12, 14, 15 และ 16 มีรายละเอียดดังนี้

- ข้อ 11 คิ้ว ไม่ถอน ไม่โกน ไม่กัน ไม่เขียนคิ้ว
- ข้อ 12 ใบหน้า ไม่ตกแต่งใบหน้าด้วยเครื่องสำอางทุกชนิด
- ข้อ 14 ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ กรณีสายตาสั้นให้ใส่แว่นตา
- ข้อ 15 ห้ามนำอุปกรณ์การใช้โทรศัพท์ทุกชนิดมาโรงเรียน หากตรวจพบทางโรงเรียนจะเก็บอุปกรณ์เหล่านั้นและไม่คืนให้ในทุกกรณี
- ข้อ 16 ห้ามนำอุปกรณ์การแต่งหน้า ทำผม และเครื่องประทินผิวทุกชนิดมาโรงเรียน หากตรวจพบทางโรงเรียนจะเก็บอุปกรณ์เหล่านั้นและไม่คืนให้ในทุกกรณี

หลังจากข้อความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้าไปแสดงความคิดเห็นในเพจของโรงเรียนเป็นจำนวนมาก อาธิ เป็นการละเมิดสิทธินักเรียนหรือไม่ กฎดังกล่าวมีความเข้มงวดจนเกินไป ควรปรับเปลี่ยนกฎให้ทันโลกนั้น 

ล่าสุด เว็บไซต์ของโรงเรียนได้ออกประกาศ ยกเลิกระเบียบการแต่งตัวนักเรียน หลังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ กรณีห้ามใส่คอนแทคเลนส์-ห้ามนำโทรศัพท์มือถือทุกชนิดมาโรงเรียน

สตม.จับกุมผู้ประสานงานขบวนการขนชาวบังกลาเทศ/เมียนมา ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (เครือข่ายชาลิสา)

ตม.จว.ชุมพร, ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม., สภ.บ้านมาบอำมฤต จว.ชุมพร จับกุม นายยุธพงษ์ฯ (นามสมมติ) อายุ 47 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดชุมพร ที่ จ.86/2567 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านมาบอำมฤต จว.ชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้านพักแห่งหนึ่งใน ต.บางใหญ่ อ.บางใหญ่ จว.นนทบุรี

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจยานพาหนะ บ้านพละ อ.ปะทิว จว.ชุมพร จับกุมนายกรวิทย์ (นามสมมติ) ขณะขับรถยนต์ส่วนบุคคล (รถเก๋ง) บรรทุกคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง สัญชาติบังกลาเทศ 4 ราย จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าชาวบังกลาเทศทั้งหมดได้ลักลอบเข้ามาทางชายแดนไทย-กัมพูชา พบพยานหลักฐานเป็นการติดต่อสั่งการว่าจ้างขนคนผ่านทางไลน์กับ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก (นามสมมติ) และพบหลักฐานการโอนเงินเป็นค่าน้ำมัน และค่าจ้างขนคนต่างด้าวฯ โดยก่อนเกิดเหตุกลุ่มของผู้ต้องหารับคนต่างด้าวฯ จากพื้นที่ อ.บางปะกง จว.ฉะเชิงเทรา เพื่อไปส่งที่ อ.บางกล่ำ จว.สงขลา ตกลงค่าจ้างคนละ 2,500 บาท ซึ่ง น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะโอนค่าจ้างบางส่วนซึ่งเป็นค่าน้ำมันมาให้ก่อนออกเดินทาง และจะได้ค่าจ้างทั้งหมดเมื่อถึงปลายทาง จากการขยายผลพบว่าในวันเกิดเหตุกลุ่มผู้ต้องหาขนชาวบังกลาเทศมาทั้งสิ้น ๑๒ คน โดยใช้ขบวนรถเก๋ง ๓ คัน คันละ ๔ คน มีการเคลื่อนที่จาก จว.ฉะเชิงเทรา มายังถนนพระราม ๒ และเข้าถนเพชรเกษม โดยมีนายปรีชา (นามสมมติ) ขับรถนำทาง และนายยุธพงษ์ฯ ขับรถขนคนต่างด้าวฯ อีกคัน ซึ่งทั้งหมดมีการติดต่อกันผ่านแอปพลิเคชัน Zello ในระหว่างขนคนต่างด้าวฯ เพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ในเส้นทาง ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ และต่อมาศาลจังหวัดชุมพรได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ที่ร่วมกระทำความผิดในฐานความผิดช่วยเหลือซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม ดังนี้ (1) น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ผู้ว่าจ้าง (2) นายปรีชาฯ ทำหน้าที่ขับรถนำ (3) นายยุธพงษ์ หรือต๋อย ทำหน้าที่ขับรถขน คนต่างด้าว และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. ได้จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้ในเวลาต่อมา

จากข้อมูลของ บก.สส.สตม. ยังพบว่า นายกรวิทย์ฯ (นามสมติ)/ผู้ต้องหา เป็นหัวหน้าทีมขนคนในพื้นที่ ภาคกลางโดยจะติดต่อรับงานมาจาก น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายสมชายฯ (นามสมมติ) ซึ่งทั้งสองจะทำหน้าที่ประสานงานและจัดหารถเพื่อจัดส่งคนไปยังพื้นที่ภาคใต้ โดยพบว่า น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ยังมีความเกี่ยวข้องกับคดีลักลอบขนคนต่างด้าวฯ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.รัตภูมิ จว.สงขลา ซึ่งจับกุมนายสำฤทธิ์ (นามสมมติ) และ นายยุธพงษ์ฯ พร้อมชาวบังกลาเทศหลบหนีเข้าเมือง 10 ราย ซึ่งนายยุธพงษ์ฯ ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายกรวิทย์ฯ และ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ให้ขนชาวบังกลาเทศจาก จว.ฉะเชิงเทรา ไปยัง จว.สงขลา โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา ได้รวบรวมพยานหลักฐานและจัดทำรายงานการสืบสวนส่งพนักงานสอบสวนเพื่อยื่นต่อศาลออกหมายจับ จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายบุญเชิด (นามสมมติ) ทำหน้าที่รถนำ, นายกรวิทย์ฯ ผู้ว่าจ้าง และ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ผู้ว่าจ้าง ซึ่งทั้ง 3 รายอยู่ระหว่างรอออกหมายจับ นอกจากนี้ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายกรวิทย์ฯ ยังมีความเชื่อมโยงในคดีช่วยเหลือ ซ่อนเร้นฯ อีก 3 คดี ดังนี้

1. คดีเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2567 สภ.พะวอ จว.ตาก จับกุม นายสุริยงค์ฯ และ น.ส.ฐิติกานต์กมล (นามสมมติ) ขณะลักลอบขนชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 2 ราย จากการสืบสวนขยายผล พบว่าผู้ต้องหามีความเชื่อมโยงกับทีมรถขนคนของนายกรวิทย์ฯ
2. คดีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.หนองปลิง จว.นครสวรรค์ จับกุมนายนิรันดร์ฯ (นามสมมติ) พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 25 ราย โดยจากการสืบสวนขยายผลของ ตม.จว.นครสวรรค์ ร่วมกับ บก.สส.ภ.6สามารถออกหมายจับ 1.นายกรวิทย์ฯ (นามสมมติ) 2.นายสุริยงค์ (นามสมมติ) 3.นายอนุภัทรฯ (นามสมมติ) 4.นายวิโรจน์ฯ (นามสมมติ) ซึ่งนายกรวิทย์ฯ /ผู้ต้องหาตามหมายจับ มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายลักลอบขนชาวบังกลาเทศของ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ถูกจับกุมได้ทั้งหมด
3. คดีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.เมืองชุมพร จับกุมนายณัฐวัฒน์ฯ (นามสมมติ) ผู้ต้องหาตามหมายจับความผิดฐาน ช่วยเหลือซ่อนเร้นฯ จำนวน 2 คดีในพื้นที่ สภ.เสวียด จว.สุราษฎร์ธานี และ สภ.วัฒนานคร จว.สระแก้ว พร้อมคนต่างด้าวชาวไต้หวันหลบหนีเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร ได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ นายสมชายฯ (นามสมมติ) ต่อมา กก.สส.บก.ตม.3 ได้จับกุมนายสมชายฯ ในพื้นที่ สภ.บางศรีเมือง จว.นนทบุรี ซึ่งจากการสืบสวนพบว่านายสมชายฯ ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานเรื่องรับส่งคนต่างด้าวกับ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายกรวิทย์ฯ ร่วมกันมาแล้วหลายครั้ง

เมื่อวิเคราะห์แผนประทุษกรรมในเครือข่าย น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก นั้น น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะทำหน้าที่   เป็นนายหน้าประสานงานและจัดหารถขนคนเช่นเดียวกับนายสมชายฯ โดยมีนายกรวิทย์ฯ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมรถขนคนต่างด้าว คอยจัดหาขบวนรถประกอบไปด้วย รถนำทางและรถขนคน โดยจะมีการจัดหารถขนคนทั้งจากพื้นที่ภาคกลาง ไปยังพื้นที่ภาคใต้ เมื่อคนต่างด้าวถึงพื้นที่ จว.สงขลา จะมีนายหน้าจังหวัดชายแดนใต้ จัดหารถขนคนมารับที่จุดพักคอย ซึ่งจะเป็นโรงแรมขนาดเล็กหรือพื้นที่รกร้างที่อยู่ริมถนนหลวง เพื่อนำไปยัง จว.นราธิวาส และลักลอบเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่ง น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะได้รับค่าจ้างขนคนต่างด้าวมาจากนายหน้าตามแนวชายแดน ฝั่งประเทศกัมพูชา ซึ่งใช้บัญชีร้านแลกเงินที่อยู่ตามแนวชายแดน เป็นจำนวน 4,000 บาท/คน ก่อนจะหักไว้ 500 บาท/คน และติดต่อว่าจ้างนายกรวิทย์ฯ ในราคา 3,500 บาท/คน ก่อนที่นายกรวิทย์ฯ จะจัดหารถขนคน และหักส่วนต่างไว้ 500 บาท/คน โดยในเส้นทาง ฉะเชิงเทรา-สงขลา รถขนคนจะได้รับค่าจ้าง 2,500 - 3,000 บาท/คน เมื่องานสำเร็จขบวนรถขนคนจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินโอนจากบัญชีของนายกรวิทย์ฯ ซึ่งนายกรวิทย์ฯ จะได้รับค่าจ้างมาจากบัญชีของ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก

สรุปผลการปฏิบัติการจับกุมมีความเชื่อมโยง 5 คดี จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 12 ราย เป็นการขยายผลออกหมายจับ 8 หมายจับ ผู้ต้องหา 8 ราย / จับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 42 ราย / ตรวจยึดยานพาหนะ 6 รายการ (กระบะ 1 ตู้ทึบ 1 รั้วคอก 1 รถเก๋ง 3)

สตม.จับกุมนายหน้าผู้ประสานงานขบวนการขนคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จับกุมนายฮาวาย (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดชุมพร ที่ จ.247/2567 ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ร่วมกันให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวซึ่งรู้ว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อให้พ้นจากการจับกุม" นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.สลุย จว.ชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ริมถนนเทศบาล 4 ต.ระแหง อ.ลาดหลุมแก้ว จว.ปทุมธานี

ตามที่เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2566 เวลาประมาณ 06.30 น. ได้เกิดอุบัติเหตุรถกระบะ (ตู้ทึบ) ขนคนต่างด้าวชาวเมียนมาพลิกคว่ำบริเวณ ต.สลุย อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ที่เกิดเหตุพบคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจำนวน 18 คน (ได้รับบาดเจ็บ) ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน คือ นายสิทธิศักดิ์ หรือบาส (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี ส่ง สภ.สลุย จ.ชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย นั้น
ต่อมา ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.6 และ บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนขยายผลพบว่า ผู้ต้องหาได้รับการว่าจ้างให้ไปรับคนต่างด้าวชาวเมียนมา ที่ ต.ปากแพรก อ.เมือง จว.กาญจนบุรี เพื่อไปส่งยัง อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา โดยในครั้งนี้มีรถที่ไปรับคนต่างด้าวด้วยกันอีก 1 คัน คือ นายธีรพงษ์ (ได้ออกหมายจับดำเนินคดีไปแล้ว) จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า นายธีรพงษ์ ได้รับโอนเงินค่าน้ำมันมาจากนายฮาวาย จึงได้สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับนายฮาวาย และจับกุมตัวนายฮาวายได้ในพื้นที่ จว.ปทุมธานี จากการขยายผล พบว่า นายฮาวาย ได้รับการประสานจากนายหน้าในพื้นที่ จว.กาญจนบุรี โดยนายฮาวาย ทำหน้าที่เป็นนายหน้าจัดหา  รถขนคนต่างด้าว จากพื้นที่ภาคกลางไปยังพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับนายอนุรักษ์ หรือบอย โดยจะได้ส่วนต่างจากการติดต่อจัดหารถหัวละ 1,000 บาท ซึ่งมีคดีที่พบความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับนายฮาวาย และนายอนุรักษ์ อีก 3 คดี ดังนี้

1. เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง, ตม.จว.พัทลุง และ สภ.นาขยาด ร่วมกันจับกุมนายอนุรักษ์ และ น.ส.เพ็ญ (ภรรยา) พร้อมพวกรวม 6 คน พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 58 คน ตรวจยึดรถกระบะ (รั้วคอก 3 คัน) จากการขยายผลพบว่านายอนุรักษ์ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายหน้า ในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ให้รับคนต่างด้าวในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ไปยัง จว.สงขลา โดยนายอนุรักษ์ได้รับงานขนคนต่างด้าว จากนายหน้ารายนี้มาแล้วหลายครั้ง (ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบตัวบุคคล)
2. เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง, ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, สภ.ท่าฉาง ร่วมกันจับกุม นายวีระพล พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 15 คน และรถกระบะรั้วคอก 1 คัน เมื่อสืบสวนขยายผลพบว่านายวีระพล/ผู้ต้องหา ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายอนุรักษ์ ให้รับคนต่างด้าวในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ไปยัง จว.สงขลา ในราคา 15,000 บาท ซึ่งผู้ต้องหาเคยติดต่อรับงานเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง เมื่องานสำเร็จจะได้รับเงินโอนค่าจ้างจากนายอนุรักษ์ โดยพบพยานหลักฐานต่าง ๆ ระหว่างผู้ต้องหากับนายอนุรักษ์ และนายหน้าในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ต่อมาศาลจังหวัด   ไชยา อนุมัติหมายจับนายอนุรักษ์ เจ้าหน้าที่สืบสวนติดตามจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 10 พ.ค.2567 ในความผิดฐาน “ช่วยเหลือซ่อนเร้นฯ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นการจับกุม”
3. เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2567 (วันเดียวกับคดีที่ สภ.ท่าฉาง) เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง, ตม.จว.นครศรีธรรมราช, สภ.ทุ่งสง ร่วมกันจับกุมนายอัสดา และภรรยา พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 11 คน ตรวจยึดระกระบะตู้ทึบ 1 คัน เมื่อสืบสวนขยายผลพบว่านายอัสดา/ผู้ต้องหา ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายอนุรักษ์ ให้รับคนต่างด้าวในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร ไปยัง จว.สงขลา ในราคา 15,000 บาท ซึ่งผู้ต้องหาเคยติดต่อรับงานเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง เมื่องานสำเร็จจะได้รับเงินค่าจ้าง นอกจากนี้ยังพบพยานหลักฐานต่าง ๆ ระหว่างผู้ต้องหากับนายอนุรักษ์ และนายวีระพล ผู้ต้องหาในคดีที่ 3 ขณะนี้อยู่ในระหว่างพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ร่วมกระทำความผิดเพิ่มเติมในคดีนี้

จากการวิเคราะห์แผนประทุษกรรมในกลุ่มเครือข่ายนายอนุรักษ์ พบว่า กลุ่มเครือข่ายดังกล่าวมีความเคลื่อนไหว มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 จนถึงปัจจุบัน โดยนายอนุรักษ์ และนางเพ็ญ (ภรรยา) เป็นผู้ประสานงานกับนายหน้าชาวเมียนในพื้นที่ จว.สมุทรสาคร และ นายฮาวาย ผู้ทำหน้าที่ประสานงานในพื้นที่ภาคกลาง โดยจะเป็นตัวกลางในการประสานงานทีมขนจาก จว.กาญจนบุรี หรือ จว.สมุทรสาคร มายังพื้นที่ จว.สงขลา ซึ่งนายอนุรักษ์จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมขน และจะได้รับค่าตอบแทนหัวละ 3,500 บาท ซึ่งจะประสานงานกับกลุ่มรถขนจาก จว.สงขลา ไปยัง จว.นราธิวาส เพื่อลักลอบข้ามไปยังประเทศมาเลเซีย โดยพบความเชื่อมโยงกับเครือข่ายของนายซัฟยัน และกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดำเนินคดีในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

สรุปผลการปฏิบัติ พบการกระทำความผิดในเครือข่ายของนายอนุรักษ์ทั้งสิ้น 4 คดี จับกุมผู้ต้องหา 12 คนขยายผลออกหมายจับ 3 คน (จับกุมทั้งหมด) จำนวนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 102 คน ยึดยานพาหนะ 6 คัน จากการสืบสวนขยายผลยังพบว่าเครือข่ายนายอนุรักษ์ มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายที่ สตม. ร่วมกับ บก.ทล., บก.ปคม. ภ.7, 8, 9 และหน่วยงานความมั่นคง ร่วมกันสืบสวนขยายผลการลักลอบขนคนต่างด้าวที่ใช้เส้นทางด้าน อ.สังขละบุรี จว.กาญจนบุรี ได้แก่ เครือข่ายนายวิทยา จับกุมเมื่อวันที่ 5 เม.ย.2566 พื้นที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี, เครือข่ายซูก้า-นิตาเว จับกุมเมื่อวันที่ 4 เม.ย.2566 พื้นที่ สภ.ทุ่งตะโก จว.ชุมพร และเมื่อวันที่ 30 เม.ย.2566 พื้นที่ สภ.ทองผาภูมิ จว.กาญจนบุรี, เครือข่ายวุธ แม่กลอง จับกุมเมื่อวันที่ 7, 25 มิ.ย.2566 พื้นที่ สภ.รัตภูมิ จ.สงขลา และเครือข่ายลักลอบขนคนต่างด้าวที่ใช้เส้นทางผ่าน จว.ตาก ได้แก่ เครือข่ายซูซูมา จับกุมเมื่อวันที่ 15 มี.ค.2566 พื้นที่  สภ.บางกล่ำ จ.สงขลา

โดยความเชื่อมโยงกับกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ มีการกระทำความผิดในลักษณะขบวนการ ที่มีการแบ่งหน้าที่กันทำ (นายหน้าประสานงานแนวชายแดน/นายหน้าประสานงานพื้นที่ชั้นใน จว.กาญจนบุรี-ปทุมธานี-สมุทรสาคร-สงขลา-จชต. (จัดหารถ)/ผู้ดูแลจุดพักคอย/หัวหน้าทีมขน-ทีมขน (ตอนบน/ตอนล่าง) ซึ่ง สตม. ได้ร่วมกับ ภ.7,8,9, บช.ก. เฝ้าระวังกลุ่มขบวนการดังกล่าวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จนนำมาสู่การจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาของในเครือข่ายนายอนุรักษ์ ซึ่งชุดสืบสวน สตม. จะได้ดำเนินการขยายผลเพื่อนำผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีต่อไป สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘หมอสุภัทร’ ปธ.ชมรมแพทย์ชนบท โพสต์แรง!! งดเข้าร้านดังชุมพร เหตุมีป้ายสนับสนุนแลนด์บริดจ์

(30 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึง การขึ้นป้ายสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์ ว่า..

ปิดบัญชีร้านที่จะแวะทานแถวชุมพรอีกร้าน 
“งดเข้าห้องอาหารคุณสาหร่ายที่เปิดมายาวนาน“ 
จนกว่าป้ายข้างๆ จะเอาออก แล้วค่อยคิดทบทวนใหม่
ชีวิตต้องเลือกข้าง ไม่มีเป็นกลาง เป็นกลางคือ ignorance

คนขับสิบล้อ จอดรับ!! ชาวต่างชาติ ติดรถไป ‘ชุมพร’ ด้วยกัน ดูแลอย่างดี!! มีน้ำบริการ ให้นอนหลับพักผ่อน อย่างสบาย

(17 พ.ย. 67) อีกหนึ่งเรื่องราวที่ถูกแชร์ต่อกันในโลกโซเชียล หลังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นโชเฟอร์ขับรถบรรทุก ได้จอดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติระหว่างทาง

ชายชาวต่างชาติคนดังกล่าวได้โบกรถ พร้อมถือป้ายจากลังกระดาษที่เขียนข้อความว่าชุมพร ซึ่งโชเฟอร์รถบรรทุกก็เรียกขึ้นมาแต่โดยดี

ระหว่างทางโชเฟอร์ยังยื่นน้ำสมุนไพรชนิดหนึ่งให้นักท่องเที่ยวดื่ม ซึ่งเมื่อพอกินไปนักท่องเที่ยวคนดังกล่าวดูคล้ายถูกใจในรสชาติอีกด้วย

หลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมายในเรื่องความมีน้ำใจของโชเฟอร์ แม้อุปสรรคทางภาษาจะติดขัดไปบ้าง แต่สุดท้ายเรายังทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี ดูแลนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ ให้ทั้งติดรถ มีน้ำสมุนไพรบริการ แถมให้นอนหลับพักบนรถได้เต็มอิ่ม

‘หอการค้าไทย’ ประกาศ!! สนับสนุนผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร–ระนอง ชี้!! ไม่เพียงท้องถิ่นจะได้ประโยชน์ แต่ยังส่งผลดีต่อ เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

(23 มี.ค. 68) ที่ศาลากลางจังหวัดชุมพร นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายอภิชาติ สาราบรรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร ได้ให้การต้อนรับ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คุณภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายสลิล โตทับเที่ยง รักษาการประธานหอการค้าภาคใต้ และคณะผู้บริหารระดับสูงหอการค้าไทย เพื่อประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการหอการค้าไทย คณะกรรมการหอการค้าจังหวัดชุมพร และ YEC หอการค้าจังหวัดชุมพร ณ ห้องเกาะเสม็ด ศาลากลางจังหวัดชุมพร ชั้น 4

ช่วงบ่าย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายสลิล โตทับเที่ยง รักษาการประธานหอการค้าภาคใต้ นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร นายไพบูลย์ ลิ้มเลิศวาที ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดชุมพร และคณะกรรมการหอการค้าไทย เดินทางไปหาดแหลมริ่ว ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร เพื่อลงพื้นที่ที่จะก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกชุมพร(แหลมริ่ว)ในโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อรับฟังข้อมูลในการดำเนินงานของโครงการจากทาง ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข) และผู้แทนการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตลอดจนข้อมูล

ของประชาชนในพื้นที่ นำโดย นายจีรศักดิ์ แสงหอย นายอำเภอหลังสวน นายสุชาติ ตังสุรัตน์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำจืด เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาในทุกมิติ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมให้มีความสอดคล้องกัน อยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี

นายสนั่น อังอุบลกุล กล่าวว่า ได้รับฟังปัญหาในหลายๆด้าน โดยทางหอการค้าไทยให้การสนับสนุนการสร้างโครงการ แลนด์บริดจ์ ชุมพร –ระนอง ซึ่งคิดว่าถ้าโครงการออกมาแล้วจะสร้างประโยชน์ไม่เพียงแต่ให้ท้องถิ่นเท่านั้น แต่โครงการโดยรวมแล้วเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ประโยชน์ เรายินดีที่จะสนับสนุนเต็มที่

นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวเพิ่มเติม เป็นโครงการสมัยท่านนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาซึ่งหอการค้าเราก็ได้ให้การสนับสนุนและเพื่อที่จะแก้ไขปรับปรุงเพื่อจะให้มีโครงการแลนด์บริดจ์ขึ้นอย่างสมบูรณ์โดยควรพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะเป็นโครงการระหว่างจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนอง ทั้งสองจังหวัดจะต้องพร้อมโครงการก็จะดำเนินเดินหน้าไปได้หากจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งไม่พร้อมโครงการก็อาจจะเกิดการสะดุดได้จึงลงมาดูพื้นที่และแก้ไขปัญหาให้กับจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนองเพื่อที่จะดำเนินการต่อไป 

นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า โครงการแลนด์บริดจ์ นอกจากส่วนท่าเรือน้ำลึกแล้ว ส่วนที่สำคัญมากที่ทำให้เกิดgame changer คือ พื้นที่หลังท่าเรือชุมพร ที่มีจำนวนมากหลายหมื่นไร่ ที่จะพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขนาดใหญ่ คำนึงถึงพลังงานสะอาดและสิ่งเเวดล้อม จะเปลี่ยนทิศทางsupply chain ประเทศไทยจากผู้ซื้อเป็นผู้ผลิตได้เลย เช่น ด้านเกษตร เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองเกษตร โดยเฉพาะชุมพรและภาคใต้เป็นแหล่งวัตถุดิบทางการเกษตรและประมงมหาศาลพร้อมแปรรูป หรือด้านอาหารฮาลาล หรือ ด้านอุตสาหกรรมไฮเทค หรือ ผลิตภัณฑ์ด้านอื่นๆที่สามารถขนส่งผ่านทางรางจากเหนือลงใต้(รถไฟรางคู่ปัจจุบันถึงชุมพรแล้ว)และทางหลวงแผ่นดิน(อนาคตจะขยายเป็น8เลน) จะทำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพสูงในการหาวัตถุดิบป้อนแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หากมีการพัฒนาจัดสรรใช้ประโยชน์พื้นที่อย่างเต็มที่ เช่น โครงการของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ นิคมอุตสาหกรรมของเอกชนขนาดใหญ่ สินค้าที่สำเร็จรูปผลิตแล้วจัดส่งที่ท่าเรือน้ำลึกชุมพรหรือระนองเพื่อส่งตลาดโลกได้ทันที ทำให้มีการใช้ประโยชน์ท่าเรืออย่างคุ้มค่า ไม่ต้องหวังลูกค้าจากสายเรืออย่างเดียว อีกส่วนที่สำคัญ คือ เส้นทางวางท่อส่งน้ำมัน หากพิจารณาให้ดีจะสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับประเทศ ดังนั้น หากจะมองความคุ้มค่าของโครงการ อย่ามองเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดจะทำให้หลงทาง บางส่วนอาจขาดทุนก่อน บางส่วนอาจกำไรเร็วกว่า บางส่วนไม่หวังกำไรแต่ต้องมี ต้องถอยมามองภาพใหญ่ให้ครอบคลุมทุกมิติแล้วจะเห็นทั้งหมด หากโครงการแลนด์บริดจ์เสร็จสมบูรณ์ในทุกส่วนแล้ว ยามที่เครื่องจักรทางเศรษฐกิจของไทยอ่อนแรงแทบทุกตัวแล้ว เชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นหัวรถจักรตัวใหม่ที่จะฉุดเศรษฐกิจของไทยให้กลับทะยานไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง สร้างชีวิตใหม่ให้กับชาวไทยได้ครั้งใหญ่อีกครั้ง 

อนึ่ง วันนี้จึงนับเป็นข่าวดีมากสำหรับชาวไทย ที่ทางหอการค้าไทยได้ประกาศชัดเจน เดินหน้าสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์อย่างเต็มที่ ตามนโยบายรัฐบาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top