Tuesday, 20 May 2025
ก้าวไกล

'สุหฤท' โพสต์คอมเมนต์ถึง 4 ฝ่าย "เรามาถึงจุดตกต่ำอะไรได้ขนาดนี้"

(8 ส.ค. 66) นายสุหฤท สยามวาลา นักธุรกิจและนักจัดรายการชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘DJ Suharit Siamwalla’ ระบุว่า...

ความเห็นสามสี่ข้อดังนี้ (มีหลายข้อนะอ่านเพลิน)

แด่กลุ่มทะลุวัง

จะโกรธอะไรแค่ไหนก็ประท้วงแบบคนที่เจริญแล้วก็ได้ มีคนโกรธร่วมด้วยมากมาย ความหยาบคายจะกลบทุกอย่างลงสิ้น ตอนนี้หยาบเกินบรรยายจร้า ไม่มีประโยชน์นะ ลองหาครีเอทีฟสร้างสรรค์เก่ง ๆ ในกลุ่มดู

แด่เพื่อไทย

ไม่รู้ว่ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรเลย คืองงมาก ๆ งงแบบที่สุด ผมไม่ติดด้วยถ้าจะได้นายกจากเพื่อไทย จริง ๆ นะ ถ้ามันสง่างามมีคลาสกว่านี้ แต่ถ้าทำเพื่อให้ทักษิณกลับบ้านให้ได้ คุณทักษิณก็โหดเหี้ยมเกินเบอร์มากๆ มีอีกกี่ชีวิตในเพื่อไทยหรือคนที่รักที่แบกคุณเขาจะโกรธแค้นอ่ะ งง มากจริง ๆ มึนสุด มันไม่ใช่การพูดหลอกการหาเสียงนะ มันคือคำสัตย์ที่สัญญาไว้

แด่ผู้รักลุง

มีแต่คนด่าเพื่อไทย แต่ถ้าพรรคของลุงมาร่วมกับเพื่อไทยจริง ๆ ผมก็ว่าน่าละอายมาก ๆ มากที่สุด มันไม่มีชัยชนะอะไรเลยนะ เราอยู่บนรัฐบาลที่ตั้งขึ้นด้วยกลอุบายตั้งแต่แรก จะรักกันร่วมกันบริหารเพื่อประเทศอย่างไรอ่ะ งงมาก ๆ อึนสุด ๆ นอกจากจะสะใจที่หลอกเพื่อไทยสำเร็จ การบริหารงานราชการช่างแม่ง

แด่ก้าวไกล

คุณไม่ใช่เทวดามาจากไหนนะ มันไม่มีเทวดาที่จะอยู่ในนรกได้ อยู่ในการเมืองไทยเป็นเทวดาไม่ได้เพราะมันคือนรกที่แฝงอำนาจที่หอมหวน จงเป็นมนุษย์ที่เข้าใจมนุษย์ที่กำลังอยู่ในนรก แบบประชาชน มนุษย์แบบก้าวไกลต้องมีจุดยืนที่น่ายกย่อง สัญญาไว้สามร้อยอย่างถ้าทำสำเร็จ 299 อย่าง พลาดข้อเดียวก็ยังดี น่าจะรู้ว่าข้อไหน และโปรดรังเกียจพรรคที่บอกว่ายังไงกูก็ไม่เอาก้าวไกลแบบเหมารวม มันไร้เหตุเกินไป

ใครไม่งง กูงงครับ ว่าเรามาถึงจุดตกต่ำอะไรได้ขนาดนี้

จากผมที่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในนรกการเมืองไทย ทุกคนอยู่กลุ่มความเชื่อไหนก็ตามจะรู้สึกแย่หมด

สุหฤท สยามการเมืองไทยหมดศักดิ์ศรีสิ้นแล้ว

'อ.ไชยันต์' เปรียบการเมืองเนเธอร์แลนด์ แล้วย้อนดูการเมืองไทย พรรคคะแนนสูง แต่ไม่เกินครึ่งสภา อกหักเป็นเรื่องธรรมดา

(8 ส.ค.66) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'ในเนเธอร์แลนด์ พรรคการเมืองอะไรที่พรรคอื่น ๆ ไม่อยากยุ่งด้วย' ว่า...

"ดูการเมืองเนเธอร์แลนด์ แล้วย้อนดูการเมืองเรา"

โดย Luket Chusorn นักศึกษาชาวเนเธอร์แลนด์ เชื้อสายไทย เผยว่า...

หากการทำนายผลเลือกตั้งถูกต้อง พรรค PVV (พรรคเพื่อเสรีภาพ : Partij voor de Vrijheid) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัด จะกลายเป็นพรรคที่ได้ สส. มากที่สุด แต่ไม่เกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งที่จะมาถึง 

และนั่นไม่ได้หมายความว่า พรรค PVV จะได้จัดตั้งรัฐบาลโดยอัตโนมัติ 

ตรงกันข้าม โอกาสที่ PPV จะได้จัดตั้งรัฐบาลหรือร่วมรัฐบาลมีน้อยมาก เพราะไม่มีพรรคใหญ่ไหนอยากร่วมงานกับ PVV 

ถึงแม้ ดูเหมือนว่า พรรค VVD (พรรคประชาชนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย : Volkspartij voor Vrijheid en Democratie) จะเปิดทางไว้บ้าง เพราะเนื่องจากหลักของพรรค VVD เห็นว่า 'ไม่ควรประกาศล่วงหน้าว่าจะไม่ร่วมมือกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง' ก็ตาม

แต่จริง ๆ แล้ว VVD และพรรคการเมืองแนวเสรีนิยมอื่น ๆ ต่างพยายามหาทางกำจัด PVV ให้เร็วที่สุด 

ไม่น่าเป็นไปได้ที่ PVV และ VVD จะได้เสียงข้างมากในรัฐสภาร่วมกัน 

เพราะทันทีที่พรรคของ Geert Wilders หรือ PVV ถูกเขี่ยออกไป การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่แท้จริงก็จะเริ่มขึ้น

ปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในประเทศเนเธอร์แลนด์ 

เพราะในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผลการเลือกตั้ง พรรค PvdA (พรรคแรงงาน : Partij van de Arbeid) ก็ได้เป็นพรรคที่มี สส. มากที่สุดสองครั้ง แต่ก็ยังต้องลงเอยเป็น 'ฝ่ายค้าน'

แต่กระนั้น พรรค PVV ก็ไม่ได้กังวลอะไรกับการที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล

เพราะ Geert Wilders หัวหน้าพรรค PVV เชื่อว่า การที่พรรคของเขาถูกขัดขวางทางการเมือง ก็ยิ่งจะทำให้พรรค PVV ของเขาได้รับความนิยมมากขึ้น

ชาวเน็ต จับโป๊ะ!! แกนนำแท็กซี่บุกถอดเสื้อแดง แท้จริงเป็น ‘ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ’ พรรคก้าวไกล

(9 ส.ค. 66) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์อย่างมาก หลังแกนนำแท็กซี่ทวงคืนความยุติธรรมนัดรวมพลหน้าพรรคเพื่อไทย และถอดเสื้อแดงส่งคืนให้แก่พรรค โดยอ้างว่าพรรคเพื่อไทยทำคนเสื้อแดงอกหักซ้ำสองที่ยอมไปจับมือกับพรรคภูมิใจไทย

ภายหลังจากมีภาพและข่าวหลุดออกไปแล้ว ก็มีชาวเน็ตตาดีสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง โดยผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ @wn29wn29 ‘เพื่อไทยตลอดไป’ ได้ออกมาโพสต์คลิปพร้อมแคปชันว่า “จ้าาาาา 🤔 #พรรคก้าวไกล #สลิ่ม #ม็อบ” และแคปชันในคลิประบุว่า “บุกไปประท้วงพรรคเพื่อไทย จับโป๊ะสลิ่มเฟส 2 อ้างเป็นแดงเลือกเพื่อไทย”

โดยในคลิปดังกล่าวเป็นภาพของ 1 ในแกนนำแท็กซี่ทวงคืนความยุติธรรมที่กำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ซึ่งเมื่อสืบค้นข้อมูลก็พบว่าเป็น ‘ศดิศ ใจเที่ยง’ ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับ 64 ของพรรคก้าวไกล

'อุ๊งอิ๊ง' เผยเจรจา 'พท.-กก.' ไร้ขัดแย้ง ปัดตอบเรื่องช่วยโหวต ส่วนกองเชียร์ 2 ฝั่งอาจทะเลาะกันบ้าง แต่ 2 พรรคไม่เคย

(9 ส.ค. 66) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ระบุหลังหารือร่วมกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแกนนำพรรคก้าวไกล ว่า วันนี้ได้รับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน ทั้งทางก้าวไกลและทางเพื่อไทย ซึ่งเป็นการมาพูดคุยกันมากกว่า ว่าขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ใดกันบ้างเพื่อทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย

ส่วนคำตอบที่สื่อมวลชนต้องการนั้น ในวันนี้ยังไม่ได้คำตอบ ขอให้รออีกสักเล็กน้อย เพราะวันนี้ยังไม่พร้อมที่จะให้คำตอบ ที่ผ่านมาการพูดคุยระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยย้ำเสมอว่า แม้บางทีกองเชียร์ของทั้ง 2 ฝ่ายจะทะเลาะกัน แต่ทั้ง 2 พรรคไม่เคยทะเลาะกัน พูดคุยกันด้วยเหตุและผล

ทั้งนี้ จากที่ได้พูดคุยกับนายพิธา มีความเข้าใจกันในหลายส่วน หากจะตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์ของสองพรรคให้ลองไปถามทางพรรคก้าวไกลด้วยก็ได้ เพื่อยืนยันว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะเราทำงานกันแบบผู้ใหญ่ เพื่อทำให้ประเทศชาติเดินหน้า

‘อ.เจษฎ์’ เตือน!! ‘ก้าวไกล’ ต้องรีบปราม ‘ชาวด้อมก้าวร้าว’ ชี้!! ยิ่งปล่อยให้อาละวาด ยิ่งสร้างภาพด้านลบให้พรรค

(9 ส.ค. 66) รองศาสตราจารย์เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มทะลุวังว่า ในความเป็นพรรคก้าวไกล มันมีเรื่องของกลุ่มทะลุวัง ที่กำลังเป็นประเด็นกันอยู่ ไปจนถึงเรื่องของคณะก้าวหน้า 

สำหรับพรรคก้าวไกลเอง ปัจจุบันนี้ ไม่ได้รับการยอมรับในสายตาของพรรคการเมืองด้วยกัน ยกเว้นกลุ่มที่ต้องเข้าไปจับมือด้วยความจำเป็น ซึ่งมีไม่มากนัก ขณะที่ภาพรวม พรรคส่วนใหญ่ ไม่เอาด้วยกับก้าวไกล ด้วยประเด็นของการที่พรรคก้าวไกล มุ่งมั่นจะแก้ไข ยกเลิก ม.112 เรื่องนี้หลายพรรคเขาไปต่อด้วยไม่ได้ เพราะมันกระทบกันหมด กระเทือนกันหมด 

นอกจากนั้น อย่างที่บอกว่าพรรคก้าวไกล มันมีคณะก้าวหน้า และกลุ่มนู้นกลุ่มนี้เต็มไปหมด ซึ่งการทำงานของพรรคก้าวไกลคือ การไม่ผูกมิตร สวนทางกับธรรมชาติการเมือง ที่มันไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร แน่นอน เมื่อใครเห็นก้าวไกล ก็ไม่อยากทำงานด้วย

“มวลชนของพรรคก้าวไกล คือ ตัวฉุดพรรค ให้ดิ่งต่ำลง ยกตัวอย่าง ถ้าพรรคก้าวไกล มีความคิด มีชุดอุดมการณ์ เขาปรับแต่งได้ เรื่องการทำงานกับฝ่ายต่าง ๆ ประสบการณ์จะสอนเขาเอง เรื่องท่าทีทางการเมือง เขาจะเข้าใจ เมื่อมีพัฒนาการ เมื่อมีวุฒิภาวะ ว่าจะทำอย่างไร ให้ได้ในสิ่งที่ตั้งใจ แต่มวลชน ซึ่งไม่ว่าจะช่วงอายุไหน ก็เห็นความก้าวร้าว และไม่ย่อท้อในการสร้างเงื่อนไขไปสู่ความขัดแย้ง นี่คือ สิ่งที่แบกก้าวไกล ไปพร้อม ๆ กับดึงรั้งพรรคก้าวไกล มวลชนพรรคก้าวไกล มีความคิดดี ๆ ก็มาก เช่น การปราบทุจริต การทำลายระบบทุนผูกขาด การทำลายเรื่องเส้นสาย แต่ปัญหาคือ วิธี ที่เขามุ่งจะใช้ความรุนแรงในการทำลาย และสิ่งใหม่มาแทนที่ มันถึงได้เกิดการไล่ล่า” รองศาสตราจารย์เจษฎ์ กล่าว

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกล ต้องรับผิดชอบกับพฤติกรรมของมวลชนหรือไม่ รองศาสตราจารย์เจษฎ์ กล่าวว่า ตนว่าคนทำงานการเมือง เข้าไปนั่งในสภา คงไม่อยากไปไล่ล่าใคร เขาแค่ต้องการแบ่งแยก แล้วปกครอง แต่ที่สุดแล้ว พรรคการเมืองหนึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อกองเชียร์ของตน ในแง่ของการเข้าไปห้ามปรามไม่ให้เกิดความก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งเชื่อว่าต้องจัดการในเรื่องนี้ก่อน

‘โบว์ ณัฏฐา’ งัดหลักฐานความสัมพันธ์ ‘ก้าวไกล-ทะลุวัง’ เคยประกันตัว ‘ตะวัน’ ชูรูป ‘บุ้ง’ ในสภา แต่วันนี้บอกไม่รู้จักกัน

จากกรณี นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ที่รวมตัวไปที่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 66 ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าไม่ทราบรายละเอียด และไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวทุกคน โดยปฏิเสธว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้เกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าว

ล่าสุด (10 ส.ค.66) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ นักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Bow Nuttaa Mahattana’ ระบุว่า เมื่อปีที่แล้ว ศาลเคยมอบหมาย คุณพิธา ในฐานะนายประกัน ‘ตะวัน ทะลุวัง’ ให้ดูแลให้จำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขการประกันตัว

ต่อมา น.ส.ณัฏฐา ยังได้แชร์ข่าวกรณีศาลอาญาสั่งปล่อยชั่วคราว ‘ตะวัน’ อดีตสมาชิกทะลุวัง เป็นเวลา 1 เดือน - ติดกำไลข้อเท้าอีเอ็ม โดยวางเงื่อนไขห้ามกระทำการกระทบสถาบันฯ ห้ามก่อความวุ่นวาย ตั้ง ‘พิธา’ เป็นผู้กำกับดูเเลให้ปฏิบัติตามเงื่อนไข รวมทั้งกรณีตำรวจยื่นถอนประกันตัวชั่วคราวผู้ชุมนุมกลุ่มทะลุวัง หลังบุกก่อความวุ่นวายที่พรรคเพื่อไทย

นอกจากนี้ น.ส.ณัฏฐายังได้แนบรูปภาพพร้อมคอมเมนต์เพิ่มเติมว่า รูป ‘บุ้ง ทะลุวัง’ ที่ชูในสภาวันนั้น…วันนี้ไม่รู้จักกันแล้ว

'หมอเก่ง' ยอมรับคุย 'ไผ่ ลิกค์' ชวนโหวตจริง แต่ถามในบริบทเพื่อน ไม่ได้ดีลให้ร่วมรัฐบาล

จากกรณีที่ นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคจะโหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยพาดพิงว่าพรรคก้าวไกล ก็เคยมาขอคะแนนจากพรรค พปชร.ให้โหวตให้แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกลเช่นกันนั้น

ซึ่งต่อมานายไผ่ ออกมาเปิดเผยว่าคนจากพรรคก้าวไกล ที่โทรมาขอคะแนนเสียงจากพรรค พปชร.คือ นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งวันที่โทรมาขอนั้น มีมดดำ คชาภา ตันเจริญ อยู่ด้วย

ล่าสุด นพ.วาโย เปิดใจในรายการแฉของ มดดำ คชาภา ถึงประเด็นดังกล่าวว่า ต้องตอบว่า จริง แต่ขอเล่าในบริบทวันนั้น ตนอยู่บ้านของมดดำ และเราก็นั่งคุยกันสบายๆ ซึ่งตนก็จำไม่ได้ว่าใครโทรหาใครก่อน เพราะตอนนั้นพรรคก้าวไกล สื่อสารกับ สส. ทุกพรรค เพื่อให้ช่วยกันโหวตนายพิธา เป็นนายกฯ เพราะว่าเราต้องการปิดสวิตช์ สว. โดยพฤติการณ์ตอนนั้น ยอมรับเลยว่า เราต้องการให้ช่วยโหวต นายพิธา เพราะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่มาจากพรรคอันดับหนึ่งในการเลือกตั้ง และพรรคอันดับหนึ่งสามารถรวมเสียงได้ 312 เสียง ซึ่งเกินกว่ากึ่งหนึ่งของ สภาผู้แทนราษฎร เราก็เรียกร้องไปกับทุกฝ่ายทั้ง สส. และ สว. เราพยายามคุยกับทุกคนเท่าที่จะคุยได้

ซึ่งในส่วนของพรรค พปชร. คนที่จะพูดคุยด้วยได้มีไม่เยอะมาก หนึ่งในนั้นที่เราคุยเล่นได้ได้ คือ นายไผ่ วันนั้น เราคุยกันแบบเพื่อนคุยกัน แล้วมดดำก็อยู่ด้วย

มดดำถามว่า แต่ทางนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ออกมายืนยันว่า พรรคก้าวไกลไม่เคยขอให้ พรรค พปชร.โหวตให้ ด้าน นพ.วาโย กล่าวว่า "ถูกต้อง วันนั้นไม่ใช่การดีลกันเป็นกิจลักษณะเพื่อให้มาโหวตกัน และร่วมรัฐบาลกัน เรียกว่าขอลม ว่างั้นเถอะ เราขอแบบเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนกันทำงานร่วมกันมาที่มีความสนิทระดับหนึ่ง"

‘ไอซ์ รักชนก’ ขอบคุณ ‘วัน อยู่บำรุง’ ยังคงลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน

หลังจากเป็นกระแสดรามาและเกิดวิวาทะกันขึ้น ระหว่าง น.ส.รักชนก ศรีนอก หรือไอซ์ สส.กทม. เขตบางบอน-จอมทอง-หนองแขม พรรคก้าวไกล กับ นายวัน อยู่บำรุง อดีต สส.กทม. พรรคเพื่อไทย

แต่ล่าสุดเหมือนรอยร้าวของทั้ง 2 คนจะจบลงแล้ว เมื่อ น.ส.รักชนก รีโพสต์ของนายวัน ที่แม้จะไม่ได้เป็น สส. แต่ยังลงพื้นที่ทำงานให้กับประชาชนอยู่ โดยในโพสต์นั้น นายวันระบุว่า “ทางเดิน คสล.คลองสรศักดิ์ข้างโรงงานมิตซูมารุ บางบอน 5 ที่ผมประสานเขตบางบอนมาซ่อมแซม บัดนี้เรียบร้อยแล้วครับ #ใจถึงพึ่งได้ #ป๋าวันไม่ทิ้งประชาชน #ผู้แทนนอกสภา”

หลังจาก น.ส.รักชนก แชร์โพสต์ดังกล่าว ยังมีข้อความระบุว่า “พี่วันยังทำพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน ยังคงเป็นที่พึ่งให้พ่อแม่พี่น้องเหมือนดังเดิม น่ารักที่สุด ในฐานะ สส.เขตต้องขอบคุณแทนพ่อแม่พี่น้องประชาชนด้วยค่ะ”

'เพชร กรุณพล’ ถาม? เอกสารประชุมรายงานสภาแบบเก่า ควรเปลี่ยนเป็นไฟล์ดิจิทัลได้หรือยัง ชี้!! สร้างขยะมากไป

(9 ส.ค.66) นายเพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ สส.พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านเพจ 'Karoonpon Tieansuwan' ระบุว่า...

"เราควรเปลี่ยนการเสนอรายงานแบบเก่าเป็น ไฟล์ดิจิตอล ได้รึยังนะ ทั้งหมดนี้พิมพ์แจกส.ส.ทุกคน ให้อ่านเพื่อตรวจสอบและขออภิปรายแก้ไขหรือตั้งข้อสังเกต เรากำลังสร้างขยะมากเกินไปหรือไม่"

หลังจากโพสต์ไปไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก เช่น...

“พิมพ์แค่บทสรุปผู้บริหาร ส่วนไฟล์รายละเอียด ถ้าสนใจให้สแกนเป็น QR Code ก็พอครับ” 
“เดี๋ยวงบประมาณไม่ได้ใช้ครับ” 
“งานพิมพ์ต้องมา” 
“สมควรมาก ๆ โดยเฉพาะการนำไปให้ทีมงานเอาไปทำฐานข้อมูลเพื่อวิเคราะห์หรือติดตามงานได้ง่ายขึ้นมาก ส่วนที่พิมพ์เอาเท่าที่จำเป็นพอ”

‘วิโรจน์’ โวย!! รบ.รักษาการลักไก่ เปลี่ยนเกณฑ์จ่าย ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ จากเดิมได้แบบถ้วนหน้า ตั้งแต่ 12 ส.ค. ต้องมาพิสูจน์ความจน

(14 ส.ค.66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘เรื่องใหญ่ลักไก่เปลี่ยนหลักเกณฑ์จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากเดิมจ่ายแบบถ้วนหน้า ตั้งแต่ 12 สิงหา ต้องมาพิสูจน์ความจน’ ระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กระทบกับสิทธิของประชาชนอย่างร้ายแรงมาก เพราะรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลักไก่ กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 เสียใหม่

โดยแต่เดิมการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะเป็นการจ่ายแบบถ้วนหน้า ผู้สูงอายุทุกคนได้รับ 600-1,000 บาทต่อเดือน(อายุ 60-69 ปี ได้ 600 บาทต่อเดือน 70-79 ปี ได้ 700 80-89 ได้ 800 90 ปีขึ้นไป ได้ 1,000) แต่ตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค. 66 เป็นต้นไป ตามข้อที่ 6 (4) ผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ เท่านั้นถึงจะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แม้ว่าในบทเฉพาะกาล ข้อที่ 17 จะระบุว่า ผู้สูงอายุที่ได้ขึ้นทะเบียน และรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก่อนวันที่ 12 ส.ค. 66 ยังมีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อไป แต่หลักเกณฑ์นี้ จะส่งผลกระทบกับสิทธิของประชาชนทุกคน ที่จะทยอยอายุครบ 60 ปี ในอนาคต นอกจากนี้ประชาชนที่จะมีอายุครบ 70 ปี 80 ปี 90 ปี ที่ต้องได้รับการปรับเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ ก็มีคำถามต่อว่า จะได้รับการปรับเพิ่มหรือไม่

นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่แต่เดิมพอจะมีรายได้จุนเจือตนเองบ้าง ซึ่งตามหลักเกณฑ์ใหม่จะไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ หากในเวลาต่อมา รายได้ที่เคยดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ เกิดหดหายไป ผู้สูงอายุคนนั้นจะไปติดต่อขอรับเบี้ยยังชีพได้ที่ไหนอย่างไรปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (60+ ปี) อยู่ 11 ล้านคน ทราบข่าวมาว่า จะมีการใช้ฐานข้อมูลบัตรคนจน ในการพิจารณาจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้มีผู้สูงอายุได้รับเบี้ยยังชีพเพียงแค่ 5 ล้านคนเท่านั้น โดยผู้สูงอายุอีก 6 ล้านคน จะถูกรัฐลอยแพ

ที่สำคัญ คือ เราก็รู้อยู่แล้วว่าฐานข้อมูลของบัตรคนจน นั้นมีความมั่วอยู่พอสมควร มีคนจนถึง 46% ที่ไม่ได้รับบัตร ในขณะที่ 78% ของคนที่ถือบัตร เป็นคนที่ไม่ยากจนแต่อยากจน ข้อมูลตกหล่นมากมายแบบนี้ แล้วจะเอามาใช้เป็นเกณฑ์ในการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้อย่างไร นอกจากนี้ ในมาตรา 11 (11) ของพ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ได้กำหนดเอาไว้ว่า การจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุจะต้องจ่ายเป็นรายเดือน โดยต้องจ่ายให้ทั่วถึง และเป็นธรรม ซึ่งก็มีประเด็นว่า การบังคับให้ผู้สูงอายุต้องพิสูจน์ความจน นั้นอาจเป็นการกีดกันประชาชนไม่ให้ได้รับสวัสดิการจากรัฐ ซึ่งขัดกับ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ก็เป็นได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top