Monday, 28 April 2025
กระทรวงกลาโหม

รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ให้การต้อนรับ ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย สานสัมพันธ์ด้านการทหาร เสริมความเข้มแข็ง และทันสมัยให้กับกองทัพ

(6 ธ.ค.67) พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กห. ได้กล่าวว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้การต้อนรับ นาง Anna Hammargren (อันนา ฮัมมาร์เกรน) ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย ณ ห้องสุรศักดิ์มนตรี ในศาลาว่าการกลาโหม 

โดย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชื่นชมความสัมพันธ์ที่มีมาแนบแน่นอย่างยาวนาน กว่า 156 ปี ทั้งในระดับราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชน นํามาสู่ความร่วมมือระหว่างกัน ในหลายมิติ อาทิ การศึกษาและเทคโนโลยี นวัตกรรม พลังงานและสิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข รวมทั้งนโยบายป้องกันประเทศ เน้นย้ำความสัมพันธ์ความร่วมมือด้านความมั่นคงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมีนัยยะสําคัญ รวมทั้งยินดีที่ความร่วมมือทางทหารของทั้งสองประเทศ อันมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บังคับบัญชาและกําลังพล การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนา ขีดความสามารถด้านยุทโธปกรณ์ 

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหม หวังว่าจะสามารถขยายความร่วมมือร่วมกันต่อไป ทั้งในด้านความมั่นคงทางไซเบอร์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ด้านความมั่นคง ในภูมิภาค รวมถึงพัฒนาการของการนําเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ AI มาใช้ในกิจการทางทหาร 

อีกทั้ง เชื่อมั่นว่า ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย จะสามารถสานต่อการดำเนินงาน ระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ขอบคุณสวีเดนที่แสดงความประสงค์จะดำเนินความร่วมมือกับ กห. ในโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง และยินดีที่ บ.ขับไล่แบบ Gripen ของสวีเดนเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาของ ทอ. ด้วยมีความเข้ากันได้ของระบบที่ใช้งานในปัจจุบัน และมีความสอดคล้องกับปัจจัยด้านงบประมาณและความต้องการทางทหาร 

โครงการจัดหายุทโธปกรณ์ของ กห. ในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่เสริมความเข้มแข็ง และทันสมัยให้กับกองทัพเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความคุ้มค่า ผลประโยชน์ที่ประเทศและประชาชน จะได้รับตอบแทนกลับคืน 

ในโอกาสนี้ ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย ได้ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้ให้การต้อนรับ รวมทั้งกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน

‘รมช.กลาโหม’ ลั่น ‘กองทัพ’ พร้อมรบปกป้องอธิปไตย ย้ำชัด ‘ทหารไทย’ ไม่ได้อ่อน หลังถูกวิจารณ์ปมว้าแดงรุกล้ำเขตแดน

‘รมช.กลาโหม’ ลั่น ทหารไทย ไม่ได้อ่อน หลังถูกวิจารณ์ ปมว้าแดงรุกชายแดน ย้ำ 'กองทัพ' พร้อมปกป้องอธิปไตย ชี้ รบกันไม่ยาก แต่ผลกระทบเกินเยียวยา

(20 ธ.ค.67) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยเมียนมา กรณีพื้นที่ที่มีการพิพาทเกิดขึ้นกับกลุ่มว้าแดงในขณะนี้ ว่า ประเด็นนี้ไม่ขอลงรายละเอียด แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กองทัพพร้อมปกป้องอธิปไตยหากเกิดการรุกล้ำอธิปไตยเข้ามา เช่นเดียวกับกรณีที่เมียนมายังคงไม่ปล่อยตัว 4 ลูกเรือประมงไทย ไม่อยากจะลงในเรื่องของรายละเอียด เนื่องจากอยู่ระหว่างการพูดคุย ซึ่งอาจกระทบต่อขั้นตอนการเจรจา อาจทำให้คนไทยที่อยู่ฝั่งนู้นได้รับผลกระทบ 

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าหน่วยงานความมั่นคง ไม่ได้อ่อนเกินไป พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่ายืนยันอย่างหนักแน่นว่า ไม่ได้อ่อน เราพร้อมปฏิบัติการเมื่อรัฐบาลสั่งการ แต่การพูดคุยจะต้องคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน ทั้งสังคม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว แต่อยากให้เชื่อใจ หากเป็นเรื่องอธิปไตย กองทัพปกป้องแน่นอน ไม่ยอมให้ใครมารุกล้ำอธิปไตย แต่ในขณะเดียวกัน การพูดคุยก็ต้องคำนึงถึงทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน

"การรบกัน การปะทะกัน เป็นอาชีพของทหาร และความรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน เราต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย"

เมื่อถามว่ากลุ่มว้าแดง ไม่ได้รุกล้ำมาเพียงแค่จุดเดียว แต่ตลอดแนวชายแดนไทยเมียนมา มีการรุกล้ำถึง 80 จุด พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ถึงขนาดนั้น ซึ่งพื้นที่ตามแนวชายแดน เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ปัจจุบันยังปักปันชายแดนไม่แล้วเสร็จ จึงมีพื้นที่ที่ไม่ชัดเจนหลายแห่ง ก็ต้องมีการพูดคุยกันในคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย - เมียนมา (TBC)และยืนยันว่าไม่มีเดดไลน์อย่างที่เป็นข่าว 

เมื่อถามว่า กระทรวงกลาโหมมีแนวทางอื่นหรือไม่ ในเมื่อการปักปันเขตแดนไม่สามารถทำได้ในพื้นที่ที่เกิดการสู้รบ เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องนี้ พล.อ.ณัฐพล ระบุว่า ที่ผ่านมาก็มีอยู่แล้ว แม้ไม่มีแนวเขตแดน แต่เรามีเส้นปฏิบัติการที่กำหนดว่าทั้งสองฝ่ายจะอยู่กันบริเวณไหน เพื่อเป็นกรอบการปฏิบัติของแต่ละฝ่าย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเรามีคนไทยในการพูดคุยอยู่แล้ว และมีความแน่นแฟ้นกับชนกลุ่มน้อย แต่พื้นที่ตรงนั้น เป็นพื้นที่ที่เราไม่ได้พูดคุยกับเมียนมาโดยตรง มีชนกลุ่มน้อย ที่ประกอบด้วยหลายกลุ่มอยู่ตรงนั้น เราจึงใช้กลไกทั้ง TBC และกลไกอื่น ๆ เข้ามาเสริม

นอกจากนี้ พล.อ.ณัฐพล ยังฝากไปถึงสื่อโซเชียลที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้ว่า ขอให้มั่นใจ กองทัพพร้อมปกป้องอธิปไตย และในการพูดคุยเราไม่ได้มองแค่ประเด็นด้านความมั่นคงหรือการทหารเพียงอย่างเดียว มีเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ ผลกระทบต่อประชาชน การรบการปะทะกันน่ะง่าย แต่เรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ยากที่จะเยียวยา กองทัพจึงคำนึงถึงเรื่องนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า คำนึงจนอ่อนอย่างที่สังคมวิจารณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตย เราก็พร้อม ปฏิบัติการได้ทันที

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการบริหารราชการแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

(27 ธ.ค.67) เวลา 08.30 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการบริหารราชการแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจระดับสูง ให้การต้อนรับและร่วมประชุมรับมอบนโยบาย ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีหัวหน้าหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศ ร่วมรับมอบนโยบายผ่านทางระบบการประชุมทางไกลพร้อมกันด้วย

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเรื่องการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การส่งเสริมความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และการแก้ปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย การปฎิบัติงานต้องมีความโปร่งใสและยึดหลักธรรมภิบาล เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในองค์กรตำรวจ สำหรับปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ตนให้ความสำคัญมีดังนี้

1. การป้องกันและปราบปรามปัญหายาเสพติด : การเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง โดยมีการสำรวจพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของยาเสพติดอย่างจริงจัง นอกจากการจับกุมในระดับผู้ใช้หรือผู้ค้ารายย่อย เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องให้ความสำคัญกับการสืบสวนขยายผลเพื่อเข้าถึงเครือข่ายหรือแก๊งค้ายาเสพติดขนาดใหญ่

2. การแก้ไขปัญหาผู้มีอิทธิพล : ปัญหาผู้มีอิทธิพลเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญต่อความสงบสุขในสังคมไทย ปัญหาการทุจริต การข่มขู่ การใช้อำนาจในทางที่ผิด และการกระทำผิดกฎหมายทั้งปวง ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ โดยบูรณาการการปฎิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

3. การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ : รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่สมัยรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวด ให้ปัญหาหนี้นอกระบบลดน้อยลงหรือหมดไป

4. การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและเหมาะสม เพื่อให้ปัญหาต่างๆได้รับการจัดการแก้ไข เช่น การปราบปรามสินค้าเถื่อน หนีภาษี ลักลอบเข้ามาตามบริเวณแนวชายแดน ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ปัญหาแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย ต้องติดตามเร่งรัดการดำเนินการเพื่อนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ รวมถึงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด 

5. การเพิ่มประสิทธิภาพในการรับเรื่องร้องทุกข์ โดยเร่งรัดการดำเนินการในคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและส่งผลต่อประชาชนในวงกว้าง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

6. สถานีตำรวจนับเป็นด่านหน้าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นที่พึ่งหลักของประชาชน ขอให้ปฏิบัติงานเชิงรุก หัวหน้าสถานีต้องเป็นแบบอย่างที่ดี พร้อมปฎิบัติหน้าที่และเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ นายภูมิธรรมฯ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นช่วงที่ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา ท่องเที่ยว หรือร่วมกิจกรรมเฉลิมฉลอง อาจมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ความปลอดภัย และอาชญากรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงมีความสำคัญยิ่งเพื่อดูแลความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย ขอเน้นย้ำการตั้งจุดบริการประชาชนตามเส้นทางหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและการให้ข้อมูลการเดินทาง การช่วยเหลือเหตุฉุกเฉิน และจัดทีมพร้อมชุดปฏิบัติการฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ การดำเนินงานจะสำเร็จลุล่วงได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน รวมถึงภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในการปฏิบัติงาน โดยจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อตำรวจมีหัวใจคือประชาชน ตำรวจก็จะอยู่ในใจของประชาชน”

'บิ๊กอ้วน' ต้อนรับ รมว.กห.มาเลเซีย เยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-มาเลเซีย

นายภูมิธรรม  เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้การต้อนรับ Dato' Seri Haji Mohamed Khaled bin Nordin (ดาโต๊ะ ซรี ฮาจิ โมฮาเม็ด คาเล็ด บิน นอร์ดิน) รมว.กห.มาเลเซีย พร้อมนำตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย - มาเลเซีย

โดย รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและมาเลเซีย ในโอกาสครบรอบ ๖๘ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต โดยมีพัฒนาความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง และขอขอบคุณทางมาเลเซีย ที่ได้ให้การต้อนรับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ในการเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ เมื่อ๑๖ ธันวาคม ๖๗ ณ เมืองปูตราจายา ซึ่งผลของการหารือจากการเดินทางในครั้งนั้น กำลังถูกผลักดันอย่างจริงจัง โดยหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วน เพื่อให้ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศมีความแน่นแฟ้นและไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ อีกหนึ่งผลลัพท์จากการเยือนของนายกรัฐมนตรีในครั้งนั้น คือการที่มาเลเซียที่พร้อมจะดำรงการสนับสนุนความร่วมมือในการเสริมสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีเป้าหมายหลักร่วมกันคือเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยขอแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจที่ ฝ่ายมาเลเซียแสดงออกถึงจุดยืนที่ชัดเจนในทุกโอกาสว่าไม่ประสงค์จะยกระดับปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นประเด็นระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ผลการเยือนดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหมได้นำมากำหนดเป็นหัวข้อสำคัญในการประชุม GBC ในครั้งนี้ เพื่อให้เกิดผลการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมต่อไป โดยเฉพาะการเสริมสร้างความร่วมมือที่สามารถแก้ไขปัญหาสถานการณ์ด้านอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงและขยายตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนทั้งสองประเทศได้

‘ภูมิธรรม’ ตอกสหรัฐ-ชาติตะวันตก เคยเสนออุยกูร์ลี้ภัย แต่ถูกเมิน เพราะคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศตัวเอง ยันไทยไม่มีทางเลือก-ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ วอนสื่อไทยบางราย อย่าโหมจนเป็นเรื่อง ไม่กังวลเรื่องก่อการร้าย

(28 ก.พ. 68) ที่กระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีข้อกังวล จะมีเหตุก่อการร้าย หลังจากส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ว่า หากเราส่งชาวอุยกูร์แล้วได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ก็เป็นเรื่องที่จะต้องขบคิดกัน แต่การดำเนินการครั้งนี้ เรามีหนังสือที่เป็นทางการจากจีนที่ควรแก่การเชื่อถือ ในขณะเดียวกันจีนมีสิทธิที่จะขอตัวชาวอุยกูร์ ที่ถูกควบคุมตัวในประเทศไทยมานานกว่า 11 ปี เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเหตุเพราะเรา แก้ไขปัญหาที่ผ่านมาไม่ได้ ขณะเดียวกันเรื่องการส่งตัวไปประเทศที่ 3 เราดำเนินการมา 11 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ส่งไปตุรกีกว่าร้อยคนเราประสบความสำเร็จ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครตอบรับเลย และตนก็ได้บอกกับชาติตะวันตกแล้วว่าหากเขารับไป ก็ไม่มีปัญหา แต่เขาก็ไม่รับ เพราะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเขา ดังนั้นเมื่อทางการจีนยืนยันว่าทั้งหมดเป็นพลเรือนของจีนที่มีเชื้อสายอุยกูร์ มีที่อยู่ชัดเจน จึงอยากขอตัวกลับไป เราจึงดำเนินการตามขั้นตอน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ชี้แจงกับประเทศตะวันตกหลายชาติ เช่น สหรัฐ ก็ได้พูดคุยกับตน ซึ่งก็ได้ย้ำไปว่า เราจะทำภายใต้อธิปไตยและกฎหมายของไทย คำนึงถึงหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องนี้ รวมถึงคำนึงถึงกฎหมายที่จะไม่ส่งคนไปเสียชีวิต เรามีสถานะอยู่แค่นี้กักตัวเอาไว้ก็ทำผิดกฎหมาย เราไม่มีทางเลือก และชัดเจนว่าเราไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรในเรื่องนี้ เพียงแต่ต้องดำรงประเทศให้มีความถูกต้องและเหมาะสม เพราะการที่เราขังชาวอุยกูร์ ก็ถูกร้องเรียนมาตลอดว่าเป็นการทรมาน ซึ่งขัดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 2565 ดังนั้น การส่งอุยกูร์กลับไปจีน จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด อีกทั้งรัฐบาลก็จะติดตามเรื่องของความปลอดภัยเป็นระยะ

นายภูมิธรรม ยังขอวิงวอนให้สื่อไทยและสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะสื่อในประเทศไทยบางราย ที่นำเสนอเหมือนอยากให้ประเด็นไม่จบ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเลย อยากให้คำนึงถึงประเทศไทยด้วย ยืนยันรัฐบาลไทยมีความปรารถนาดี เพื่อไม่ให้ไทยถูกกล่าวหาและปฏิเสธจากทุกฝ่าย เราไม่ได้มีเจตนาร้าย หรือโหดเหี้ยม อำมหิต ที่จะส่งคนไปตาย เพียงแต่ต้องการแก้ไขปัญหาภายในประเทศของเรา เพื่อไม่ต้องมารับภาระ และจากการติดตามตอนนี้ไม่มีอะไรน่ากังวลสิ่ง แต่หลังจากนี้ก็ต้องติดตามและพิจารณาเป็นระยะ พร้อมยืนยันว่าไทยมีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าการส่งอุยกร์กลับจีน ปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง และมองว่าไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้เป็นเรื่อง

เมื่อถามว่าในด้านการข่าว มีการเคลื่อนไหวในเรื่องการก่อความไม่สงบหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อยากให้ช่วยกัน เราไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ได้มีการละเมิดใคร หากส่งเขาไปเสียชีวิตอาจต้องกังวล แต่ปัจจุบันนี้เขายังอยู่ดี แต่หากมีปัญหาหลังจากนี้ ก็เป็นเรื่องของคนที่ผิดจากสิ่งที่ควรจะเป็น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top