Monday, 28 April 2025
กระทรวงกลาโหม

‘กระทรวงกลาโหม’ ประกาศแต่งตั้ง นางสาวชุติมา กุมาร เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้านสื่อสารและประชาสัมพันธ์

ประกาศแต่งตั้ง นางสาวชุติมา กุมาร เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้านสื่อสารและประชาสัมพันธ์
 

แง้มแผนลด ‘นายพล’ ยุค ‘บิ๊กทิน’ แรงจูงใจชวนเออรี่ก่อนเกษียณเพียบ

(11 ม.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ฝ่ายการเมือง เปิดเผยกรณีนโยบายการปรับลดจำนวนนายพลทุกเหล่าทัพ ในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ของ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ว่า รัฐมนตรีได้กำชับให้แต่ละเหล่าทัพเร่งทำความเข้าใจกับกำลังพลในโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนนายพลในตำแหน่งดังกล่าวเกินความจำเป็น ลงกว่า 50% ภายใน 3 ปี หรือเหลือน้อยกว่า 300 คน ในปี 2570 ซึ่งที่ผ่านมามีชั้นนายพลประมาณ 2,000 นาย โดยเป็นกำลังหลักประมาณ 1,300 นาย ซึ่งกำลังหลักจำเป็นต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ความมั่นคงของโลกและในภูมิภาค รวมทั้งรูปแบบในยุทธวิธีต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีสงครามไซเบอร์หรือ Cyber warfare และเรื่องอวกาศเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนจำนวนนายพลกว่า 700 นาย ในตำแหน่งประจำ ได้เริ่มดำเนินการมาก่อนแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลสัมฤทธิ์เป็นไปตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ รมว.กลาโหม ได้กำหนดนโยบายเร่งรัดให้มีผลสัมฤทธิ์ในช่วงรัฐบาลท่านนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในปี 2568 - 2570 โดยนายพลในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ จะต้องลดลงให้เหลือน้อยที่สุดตามความจำเป็นของกองทัพ อีกทั้งยังให้นโยบายสร้างแรงจูงใจในการลดจำนวนชั้นยศ พันเอก (พิเศษ) ที่จะขึ้นไปเป็นนายพลในอนาคต ให้ลดลงอีกกว่า 570 อัตรา เพื่อให้สอดรับกับตำแหน่งนายพลที่จะลดลงไปด้วย

"เป็นวิสัยทัศน์ของ รมว.กลาโหม ที่ให้นโยบายในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แก้ปัญหาการลดนายพล แต่ฐานพันเอก (พิเศษ) ยังมีมาก ก็จะไปสร้างปัญหาใหม่ในอนาคต ซึ่งนโยบายนี้ กองทัพยังสามารถปฏิบัติงาน และอาชีพทหาร ยังมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้กองทัพอีกด้วย มั่นใจโครงการเออร์รี่นายพลผู้รับใช้ชาติต้องอยู่ดีมีเกียรติ คาด ก.พ.นี้ นำเข้าสภากลาโหมก่อนชงเข้า ครม.ทันในงบปีนี้"

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า รมว.กลาโหม ได้กำชับให้จัดทำนโยบายสร้างแรงจูงใจให้นายทหารเกษียณก่อนกำหนด Early Retire เช่น การจ่ายเงินชดเชย หรือ ‘เงินก้อน’ ประมาณ 7 แสนบาท ขึ้นอยู่กับชั้นยศ และเวลารับราชการ ซึ่งจะมีสูตรคำนวณชัดเจน รวมทั้งสิทธิบำเหน็จ/บำนาญก็จะได้รับตามปกติ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ และกำลังใจต่อกำลังพลของกองทัพ เมื่อตัดสินใจในช่วงนี้ ถือว่าได้สิทธิประโยชน์มากที่สุดเมื่อเทียบกับโครงการที่ผ่าน ๆ มา และในการบริหารของรัฐบาลจะสามารถลดภาระงบประมาณประเทศในระยะยาวอีกด้วย

ส่วนความคืบหน้าถือว่าเป็นนโยบายสำคัญของรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันได้จัดทำรูปแบบข้อเสนอแรงจูงใจต่าง ๆ แล้ว อยู่ในขั้นตอนรับฟังความเห็นจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะนำเข้าที่ประชุมสภากลาโหม จากนั้นจะนำเข้า ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติแผนและกรอบงบประมาณ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ทันปีนี้ ดังนั้น ในช่วงการเกษียณอายุราชการของข้าราชการในเดือนตุลาคม 2567 นี้ สำหรับโครงการนี้จะใช้เงินงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ประมาณ 600 ล้านบาท ภายใน 3 ปี (2568 - 2670) หรือเฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปี

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า แม้ที่ผ่านมากองทัพจะมีแผนปรับลดจำนวนนายพลระยะยาว ปี 2551 - 2571 แต่นโยบายครั้งนี้ จะผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย รวดเร็วขึ้นภายใน 3 ปี โดยเน้นกลุ่มพลตรี, พลโท, พลเอก ในตำแหน่ง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ, ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทุกเหล่าทัพ 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาพบว่าในช่วงรัฐบาล คสช. ปี 2557 - 2561 เคยทำโครงการเกษียณก่อนกำหนดทุกชั้นยศทุกตำแหน่ง โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการมากกว่า 26,000 ตำแหน่ง จึงเชื่อว่าโครงการลดนายพลครั้งนี้จะได้รับการตอบรับดีอย่างแน่นอน

'สส.ก้าวไกล' ถาม 'กองทัพ' ทำไมต้องตั้งงบเทิดทูนสถาบันเพิ่ม  'ปลัด กห.' สวน!! ปรับตามภัยคุกคามที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด

(17 ม.ค.67) นายชยพล สท้อนดี สส.ก้าวไกล กมธ.การทหาร ในฐานะ กมธ.พิจารณางบประมาณฯ ปี 2567 ได้ตั้งคำถามถึงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ถึงงบพิทักษ์รักษา เทิดทูนสถาบัน เปรียบเทียบงบประมาณปี 2566-2567 ที่งบประมาณส่วนนี้เพิ่มขึ้น จากเดิม 1,449 ล้านบาท เป็น 1,843 ล้านบาท หรือ 27.18 % โดยเฉพาะกองทัพเรือ ที่เพิ่มจาก 45 ล้านบาท เป็น 395 ล้านบาท หรือกว่า 769 % และกองทัพอากาศ ที่เพิ่มจาก 35 ล้านบาท เป็น 65 ล้านบาท หรือกว่า 81 % จึงขอถามว่าเพิ่มขึ้นมาอย่างไรบ้าง

พร้อมกันนี้นายชยพล ยังได้ถามถึงได้ถามรายละเอียดงบประมาณและการดำเนินการทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเข้าใจ เพื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ รวมทั้งถามถึงเงินราชการลับ ที่มีการขอเท่าเดิมไปเรื่อยๆ มีการใช้งานอย่างไรบ้าง เพราะงบประมาณปี 2566-2567 เท่ากัน 469 ล้านบาท ซึ่ง กมธ. จะรับทราบได้หรือไม่ เพราะทางเหล่าทัพจะชี้แจงว่าเป็นชั้นความลับ แต่เป็นงบที่เรามองไม่เห็น จึงอยากให้กองทัพชี้แจงเรื่องนี้

นอกจากนี้ นายชยพล ยังถามเรื่องการตัดลบงบประมาณในส่วนตำแหน่ง ‘ผู้ทรงคุณวุฒิ’ ต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นมายกแผงทั้งรุ่น

อีกทั้งขอระเบียบประกาศการใช้รถประจำตำแหน่และงบประมาณย้อนหลัง 3 ปี และรายละเอียดการลดจำนวนนายพล ไม่ใช่กั้นแค่เพียงการลดจำนวนนักเรียนเตรียมทหาร เพื่อรอเวลานายพลดลดลงไป เพราะตนมองว่าควรจะปรับลดได้เลย

จากนั้น พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ชี้แจงงบราชการลับว่าเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ปี 2547 ผ่าน 4 ภารกิจ ด้านความมั่นคงและการป้องกันราชอาณาจักร ภารกิจด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภารกิจด้านข่าว และภารกิจอื่นที่มีลักษณะปกปิด เพื่อประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือโดยสภาพแห่งเทคโนโลยี ซึ่งงบส่วนนี้ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว

ส่วนเรื่องรถประจำตำแหน่งยึดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ ปี 2523 ที่กำหนดรถราชการใช้กับตำแหน่งใดบ้าง ส่วนหลักเกณฑ์ค่าตอบแทนแบบเหมาจ่ายยึดตามมติ ครม. ปี 2457

ส่วนงบประมาณพิทักษ์รักษาเทิดทูนสถาบัน หน่วยทหารกระจัดกระจายทั่วประเทศ มีพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง ตั้งอยู่ตามจังหวัดอำเภอ ของแต่ละเหล่าทัพชัดเจนเหมือนกับพื้นที่บรรเทาสาธารณภัยที่เข้าไปช่วยเหลือกับประชาชน ดังนั้นมีความจำเป็นในเรื่องของงบประมาณที่พิทักษ์รักษาเทิดทูนสถาบันจะต้องมีทุกหน่วยงานและงบประมาณที่เพิ่มของสำนักงบประมาณที่ตั้งงบฯมิให้ใช้งบกลางให้ตั้งงบตัวเอง จึงเป็นที่มาของงบปีนี้ที่เพิ่มขึ้น และงบพิทักษ์เทิดทูนสถาบันสัดส่วน 0.93% ของงบกระทรวงกลาโหมทั้งหมด

พล.อ.สนิธชนก ยังระบุต่อว่า กำลังให้กรมพระธรรมนูญดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่ล้าหลัง ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งขัดกับกฎหมายใหม่ที่ออกมาอยู่ระหว่างการดำเนินการ

จากนั้น พล.อ.สนิธชนก ได้กล่าวสรุปจบการชี้แจงงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมว่า กระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ได้ปรับตัวตามยุคสมัยตามเหตุการณ์ตามภัยคุกคามมาโดยตลอด ไม่ได้ปล่อยให้ล้าหลัง และจะใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์คุ้มค่ากับประเทศชาติและตระหนักอยู่ตลอดว่าเม็ดเงินมาจากภาษีของราษฎร

‘กลาโหม’ จับมือ ‘กมธ.ทหาร’ ผลักดันโครงการพลทหารปลอดภัย เปิดช่องร้องเรียนหากพบพฤติกรรมไม่เหมาะสมในค่ายทหาร

(2 ก.พ. 67) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม พร้อม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าหารือกันประมาณ 2 ชม. ว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี มีการพูดคุยซักถามกันหลายประเด็น ถือเป็นความร่วมมือระหว่างกัน

สำหรับไฮไลต์สำคัญอยู่ที่โครงการพลทหารปลอดภัย ที่ทางคณะกรรมาธิการการทหาร มาบอกเล่าให้ทางกระทรวงกลาโหมได้รับรับทราบ ซึ่งเกิดจากความเป็นห่วงพลทหาร ที่มีทหารออกนอกลู่นอกรอย ในการถูกลงโทษลงทัณฑ์พลทหาร ทางคณะกรรมาธิการทหารจึงได้เกิดโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะเปิดช่องทาง ให้ทหารเกณฑ์หรือทหารกองประจำการ ได้มีการสื่อสารหากได้รับวิธีการลงโทษที่ไม่ถูกต้อง

ซึ่งทางกระทรวงกลาโหมก็มีความยินดีให้ความร่วมมือ จะได้ช่วยทางกระทรวงกลาโหมกำกับดูแล แม้ว่าเราจะมีนโยบายที่ดีที่ดีและกวดขัน ขนาดไหนก็ตาม ก็ยังมีกำลังพลบางส่วนที่ยังไม่สนองนโยบาย หรืออาจจะนอกลู่นอกรอย ซึ่งทางคณะกรรมาธิการการทหารมีโครงการอย่างนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงกลาโหม

เรียกได้ว่าเป็น ‘โซเชียลคอนโทรล’ ก็จะทำให้พฤติกรรมนอกลู่นอกรอยดีขึ้น จึงถือว่าทางคณะกรรมาธิการการทหารและกระทรวงกลาโหมได้ร่วมมือกันทำให้โครงการนี้สำเร็จ โดยหลังจากนี้ก็จะมอบหมายให้หลังจากนี้จะพิจารณาว่าจะมอบหมายให้หน่วยงานใดในกองทัพเป็นผู้ประสานงานกับทางกรรมาธิการการทหารอาจเป็นหน่วยงานด้านกิจการพลเรือน

ด้าน นายวิโรจน์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการพูดคุยในเรื่องความเข้าใจในบทบาทซึ่งกันและกัน ซึ่งคณะกรรมาธิการการทหารก็มีอำนาจในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่ง นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ยังมีสถานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าเป็น สส.อาวุโส ได้เข้าใจบทบาทคณะกรรมาธิการเป็นอย่างดี ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ณ ปัจจุบันนี้การขอข้อมูล ข้อเท็จจริงใด ๆ จากกองทัพ จะได้รับการประสานงานและแนบแน่น ได้รับข้อมูลครบถ้วนและถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเรื่องการกู้เรือหลวงสุโขทัยและการจัดซื้อเรือดำน้ำ ธุรกิจกองทัพ หรือประเด็นปัญหาต่าง ๆ นับจากนี้ ก็จะได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่ จากกระทรวงกลาโหม

"เป็นที่น่ายินดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ตกปากรับคำว่าจะ ดำเนินโครงการพลทหารปลอดภัย ถือว่าเป็นข่าวดีให้กับคุณพ่อคุณแม่ และจะดำเนินการในโครงการนี้ ก่อนที่จะมีการเกณฑ์ทหาร จับใบดำใบแดง ในปี 2567 นี้ และจะได้ ทำงานร่วมกับทางกองทัพอย่างใกล้ชิดเพื่อสกัดกั้นการนอกลู่นอกรอย และอาจจะผิดหลัก สิทธิ มนุษยชน" นายวิโรจน์ กล่าว

‘กลาโหม’ แจง เครื่องบินพาณิชย์ ‘เมียนมา’ ลงจอด แม่สอด จ.ตาก กองทัพดูแล ตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง

(8 เม.ย.67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว ถึงกรณีเครื่องบินพาณิชย์เมียนมาลงจอดที่ประเทศไทย ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก  ว่า 

ประเด็นแรก ผู้ลี้ภัยจากสงครามเมียนมา ที่หลบหนีเข้ามาทางฝั่งไทย ทางด้านกองทัพภาคที่ 3 มีการเตรียมการ มาตั้งแต่ปี 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์สู้รบฝั่งตรงข้ามอำเภอแม่สอด และอำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก มีการสู้รบในฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา มาโดยตลอด ซึ่งตลอด 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้ลี้ภัยเข้ามายังค่ายผู้อพยพ ที่อำเภอแม่สอด และอำเภอแม่สะเรียง และทางกองทัพ  ก็ได้ดูแลช่วยเหลือ และให้ความเป็นธรรม ตามหลักสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (7เม.ย.67) รัฐบาลของเมียนมาที่จังหวัดเมียวดี สูญเสียฐานที่มั่น กองทัพไทย จึงให้ทางรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ ได้เจรจากัน ในเรื่องของความช่วยเหลือ ทั้งการนำเครื่องบินพาณิชย์ มารับข้าราชการ และครอบครัว ที่อยู่ในจังหวัดเมียววดี ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะต้องไปพูดคุยกับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน

ทหารใหม่ยุคเศรษฐา มาแล้วเน้นคุณภาพชีวิตหลังกองทัพขานรับปรับปรุงสถานที่รับพลัดหนึ่ง

บิ๊กทินสั่ง กองทัพเร่งปรับปรุงอาคารสถานที่รับทหารใหม่ผลัดหนึ่ง ทบ.ขานรับ สั่งยกเลิกนอนมุ้งจัดมุ้งลวดพร้อมเพิ่มสปริงเกอร์ลดร้อน มั่นใจเน้นคุณภาพทหารใหม่ไทยยุคใหม่ต้องไม่แพ้ชาติใดในโลก 

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า หลังการจบห้วงวาระการเกณฑ์ทหาร ตั้งแต่ วันที่ 2 ถึง 12 เมษายน ที่ผ่านมาพบว่านโยบายของรัฐบาลโดยกระทรวงกลาโหมในการจูงใจให้มีผู้มาสมัครการเกณฑ์ทหารนั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยปีนี้มีผู้มาคัดเลือกทหารแบบสมัครใจกว่า สี่หมื่นนายสูงกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา ซึ่งนโยบายนี้เป็นนโยบายที่รัฐบาลกำหนดไว้ว่าจะต้องนำไปสู่การยกเลิกการเกณฑ์ทหารในอนาคตอันใกล้นี้  โดยนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ให้นโยบายต่อเหล่าทัพที่จะต้องรับทหารใหม่ผลัด 1 เข้ากองทัพในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยให้แต่ละเหล่าทัพไปสำรวจและเร่งดำเนินการพัฒนาปรับปรุงสถานที่ต่างๆ ที่ทหารใหม่จะต้องเข้ามาประจำการใช้ อาทิ สถานที่ฝึก โรงนอน เป็นต้น         

ทั้งนี้ในส่วนของกองทัพทหารบกได้รายงานว่า ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งการให้สำรวจและพัฒนาปรับปรุงสถานที่ต่างๆ ของกองทัพบกทั่วประเทศที่จะต้องรับทหารใหม่โดยให้ดำเนินการปรับปรุงโรงนอนทหารใหม่จำนวน 366 แห่ง ทั่วประเทศแล้วโดยล่าสุดได้เพิ่มระบบการระบายอากาศให้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้น้อง ๆ ทหารใหม่พักผ่อนได้สบายมากขึ้น เพื่อคุณภาพในการพัฒนากำลังพลโดยยึดหลักการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ ของประเทศ ให้ดีขึ้น       

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า กองทัพบก ได้ขานรับนโยบายรัฐบาลเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยล่าสุด กองทัพบกได้ให้หน่วยทหารช่างเร่งดำเนินการปรับปรุงโรงนอน ทหารใหม่แล้วอาทิ ติดมุ้งลวดโรงนอน และทยอยยกเลิกการนอนกางมุ้ง นอกจากนี้ยังเพิ่มระบบระบายอากาศด้วยการเพิ่มพัดลมขนาดใหญ่เพื่อทำให้อากาศหมุนเวียน นอกจากนั้นดำเนินการจัดทำระบบสปริงเกอร์ รดน้ำหลังคาไล่ความร้อนสะสมออกจากหลังคาและเพดาน ทำให้โรงนอนอากาศดีขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้กระทรวงทางกลาโหม ได้รับรายงานจากกรมการทหารช่างของกองทัพบก ว่าจะดำเนินให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนวันที่ 1 พฤษภาคมนี้เพื่อพร้อม ต้อนรับทหารใหม่ผลัด1 ที่จะ มารายงานตัวในช่วง เดือนพฤษภาคนี้ ส่วนกองทัพอื่นๆอยู่ระหว่างการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเช่นเดียวกัน

‘เศรษฐา’ ห่วงปัญหาภัยแล้ง สั่ง!! ‘ก.กลาโหม’ บริหารจัดการ เร่งจัดหารถบรรทุกน้ำทหาร บรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกร

(3 พ.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X ถึงปัญหาภัยร้อนและภัยแล้งว่า ภัยร้อนและภัยแล้งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ รัฐบาลทราบถึงปัญหา และมีความเป็นห่วงว่าจะส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งภาคเกษตรกรรม ความเป็นอยู่ การลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยว จึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานวางแผนบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมเพื่อรับมือและบรรเทาสถานการณ์ และช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

“นอกจากนี้ ผมได้ประสานสั่งการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยซึ่งกำกับบรรเทาสาธารณภัยให้ดูแลเรื่องน้ำ ซึ่งขณะนี้มีรถผลิตน้ำดื่มเคลื่อนที่ และรถขนน้ำไปให้บริการประชาชน รวมถึงกำลังเร่งการขุดลอกแหล่งน้ำ และซ่อมบำรุงระบบประปาแก่ชุมชนด้วย ผมยังสั่งการไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้นำสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ภัยแล้ง โดยให้กองบัญชาการทหารพัฒนา กรมการทหารช่าง มณฑลทหารบกทุกมณฑล และหน่วยทหารทุกหน่วยที่อยู่ใกล้ชุมชน ใช้รถบรรทุกน้ำของทหารฯ ที่มีอยู่ทั่วประเทศเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกร (โดยเฉพาะพืชที่มีมูลค่าสูง) ร่วมกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ในรูปแบบกองกำลังเฉพาะกิจ ซึ่งผมได้กำชับให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องรายงานสถานการณ์มาทุกระยะเพื่อพิจารณาปรับแผนการดำเนินการที่เหมาะสมครับ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

'กลาโหม' เตรียมปรับค่ายทหาร บำบัดผู้ติดยาที่มีอาการจิตเวช สร้างความหวัง ไม่ให้ตกอยู่ในภาวะ 'อกหัก-หลักลอย-คอยงาน'

(9 พ.ค. 67) ที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีแนวคิดจะนำผู้ติดยาเสพติด และมีอาการจิตเวช ให้หน่วยทหารดูแล ว่า สถานการณ์ยาเสพติดในขณะนี้ ผู้ติดยาเสพติดมักจะเป็นเด็ก และจะมีอาการทางจิตเวชอยู่หลายระดับ ซึ่งอาการทางจิตมักจะรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากการนำไปบำบัด  โดยวิธีที่ทหารทำได้คือจัดตั้งค่ายบำบัด ซึ่งอาจต้องปรับวิธีการมากขึ้นกว่าเดิม 

เช่น การนำตัวผู้มีอาการทางจิตไปขัง ไปฝึก หรือไม่ให้ผู้ติดยาเสพติดได้เสพยาอีก ซึ่งค่ายทหารจะต้องมีเรื่องทางการแพทย์ กิจกรรมต่าง ๆ และจิตวิทยาด้านอาชีพเพิ่มเติม เพื่อรองรับการบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่มีอาการทางจิตเหล่านี้ด้วย เพื่อสร้างความหวังให้ผู้เข้ารับการบำบัดไม่ตกอยู่ในภาวะ ‘อกหัก หลักลอย คอยงาน’

เพราะฉะนั้นสิ่งที่กองทัพจะต้องทำต่อไป คือ จัดตั้งค่ายบำบัดในค่ายทหาร โดยการดูแลในค่ายจะต้องเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะแต่ก่อนคนติดยา ไม่ถึงกับมีอาการทางจิตเวช เพียงจับมาขังไว้ไม่ให้เสพ ลงโทษเล็กน้อย หรือใช้วิธีขู่ก็เลิกเสพแล้ว แต่การรักษาในลักษณะที่ว่ามา ไม่อาจใช้กับทุกวันนี้ได้แล้ว

กลาโหมส่งมอบ 'รถหุ้มเกราะ-ปืน' ฝีมือคนไทยให้ภูฏาน เพื่อนำไปใช้ในภารกิจรักษาสันติภาพในประเทศ

กห.ส่งมอบ 'รถหุ้มเกราะ-ปืน' ฝีมือคนไทยให้ภูฏานใช้รักษาสันติภาพ ขณะที่ 'มาดามรถถัง' ผู้บริหารชัยเสรี ภูมิใจร่วมงานกลาโหมส่งเสริมอุตสาหกรรมอาวุธ ระบุ กองทัพฟิลิปปินส์มีแผนสั่งซื้อรถหุ้มเกราะ First Winอีก 900 คัน 

(27 พ.ค.67) ที่อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีส่งมอบรถยานเกราะล้อยางแบบ 4x4 จำนวน 10 คัน ของบริษัท ไทยดีเฟนส์อินดัสตรี จำกัด (TDI) และ อาวุธปืนเล็กสั้น อาวุธปืนพก จำนวน 230 กระบอก ของบริษัท อุตสาหกรรมผลิตอาวุธ จำกัด (WMI) ให้กับเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรภูฏานประจำประเทศไทย เพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติราชอาณาจักรภูฏาน นำไปใช้ในภารกิจรักษาสันติภาพ โดยมี พลเอกพอพล มณีรินทร์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บริหารบริษัท TDI และ บริษัท WMI ร่วมพิธีส่งมอบ

นายสุทิน ระบุว่า ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และความสัมพันธ์อันดี ระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ ซึ่งสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ หรือ สทป. ร่วมกับ บริษัทร่วมทุนทั้งสองบริษัทดำเนินการสอดคล้องตามนโยบายในการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุน ภาคเอกชน โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาต่อยอดและเพิ่มขีดความสามารถของทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงความสำคัญของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ที่มีบทบาทในการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของรัฐบาล ไปสู่การผลิตและจำหน่ายได้อย่าง เป็นรูปธรรม 

ขณะที่นางนพรัตน์ กุลหิรัญ ผู้บริหารบริษัทชัยเสรี ที่ร่วมทุนกับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ในนามบริษัท ไทยดีเฟนส์อินดัสตรี จำกัด ระบุว่า ยานเกราะล้อยาง First Win 4x4 รุ่น ATV (Armored Tactical Vehicle) จำนวน 10คัน ราชอาณาจักรภูฏานจะนำไปใช้ สหภาพแอฟริกากลาง หลังจากที่ ปี 2564 ได้ส่งมอบให้ทางภูฏานไปแล้ว 45 คัน 

นอกจากนี้ยังมีการให้บุคลากรทางภูฏานมาเรียนรู้แลกเปลี่ยนในเรื่องของการผลิตการ ซ่อม และองค์ความรู้ต่าง ๆ อีกทั้งยังมีประเทศอื่น ๆ ที่สั่งซื้อรถหุ้มเราะของทางบริษัทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกองทัพฟิลิปปินส์ ที่มีแผนสั่งซื้อ 900 คัน ชุดแรกสั่งซื้อก่อน 200 คัน ขณะเดียวกันยังมี 46 กองทัพทั่วโลกที่จัดซื้อรถหุ้มเกราะของบริษัทชัยเสรีไปใช้งาน โดยมีการอออกแบบตามความต้องการของลูกค้าและการใช้งาน เช่น การออกแบบหลังคากันกระสุน ป้องกันการโจมตีจากโดรน   

ส่วนความต้องการภายในประเทศไทย ยังมีการสั่งซื้อจาก กอ.รมน. กองทัพเรือ ตำรวจตระเวนชายแดน  และย้ำว่า เป็นความภูมิใจของบริษัทที่ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศร่วมกับกระทรวงกลาโหม โดยได้เห็นยุทโธปกรณ์จากฝีมือคนไทยไปใช้ในภารกิจสหประชาชาติ

สำหรับยุทโธปกรณ์ที่มีการส่งมอบประกอบด้วย ยานเกราะล้อยาง First Win 4x4 รุ่น ATV (Armored Tactical Vehicle) จำนวน 10 คัน ที่ออกแบบและผลิตโดยคนไทย ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ไทยมาอย่างต่อเนื่องในระดับนานาชาติ โดยยานเกราะล้อยาง First Win 4x4 รุ่น ATV เป็นยานเกราะล้อยาง สมรรถนะสูงด้วยเครื่องยนต์ขนาด 300 PS ที่มาพร้อมกับการป้องกันตามมาตรฐาน Nato standard Stanag 4569 ที่ระดับ 2 ซึ่งจะช่วยป้องกันกำลังพลที่อยู่ในรถได้กว่า 11 นาย ให้ปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จและปลอดภัย ในทุก ๆ สภาพภูมิประเทศ 

พร้อมกันนี้ยังมีอีกหนึ่งยุทโธปกรณ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยจากการส่งมอบในครั้งนี้ คือ อาวุธปืนเล็กสั้น และอาวุธปืนพก ของบริษัท WMI ที่ได้มีการส่งมอบอาวุธปืนเล็กสั้น ขนาด 7.62 มิลลิเมตร รุ่น MI-47 จำนวน  200 กระบอก และอาวุธปืนพก ขนาด 9 มิลลิเมตร รุ่น MI-9 จำนวน 30 กระบอก โดยอาวุธปืนทั้งสองแบบได้รับ การออกแบบให้มีความแม่นยำและคล่องแคล่วในการใช้งาน อีกทั้งยังมีความแข็งแรงและมีความทนทานเป็นอย่างดี ความสำเร็จของบริษัท TDI และ WMI 

นับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย ไปสู่การขับเคลื่อนเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เพื่อการพึ่งพาตนเอง การผลิตและจำหน่ายที่เป็นรูปธรรม

ขอนแก่น - 'บิ๊กทิน' ร่วมเปิบข้าวเหนียว ลาบหมู เมนูมื้อเที่ยง ให้กำลังใจ ทหารใหม่ค่าย ร.8

นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาในวันนี้ เพื่อรับฟังปัญหาแนวทางปฏิบัติในการช่วยเหลือประชาและเยี่ยมหน่วยฝึกทหารใหม่ พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินการฝึกทหารใหม่ โดยได้เน้นย้ำถึงการดูแลน้องทหารใหม่เสมือนคนในครอบครัว 

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่น รายงานว่า ที่กรมทหารราบที่ 8 ค่ายสีหราชเดโชไชย ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยกรมทหารราบที่ 8 เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติในพื้นที่และตรวจเยี่ยมหน่วยฝึกทหารใหม่ พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินการฝึกทหารใหม่ โดยมี พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ แม่ทัพภาคที่ 2 , พลโท ณรงค์ สวนแก้ว เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก, พล.ต.นรธิป โพยนอก ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 3 , นายพันธ์เทพ เสาโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น, พล.ต. กิตติพงษ์ เนื่องชมภู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 23, พ.อ. สุพรเทพ ไชยยงค์ รองผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 8 เป็นผู้แทน ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 8, พ.ท.ยุทธพล บิดร ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3. กรมทหารราบที่ 8, ผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 8 พร้อมด้วยส่วนราชการในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ 

นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่าในการเดินทางมาในวันนี้ เพื่อรับฟังปัญหาแนวทางปฏิบัติในการช่วยเหลือประชาและเยี่ยมหน่วยฝึกทหารใหม่ เพื่อรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินการฝึกทหารใหม่ โดยได้เน้นย้ำถึงการดูแลน้องทหารใหม่เสมือนคนในครอบครัว เพราะเขาคือน้องเล็กของกองทัพบก ซึ่งปัจจุบันการฝึกทหารใหม่เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงมาดูความคืบหน้าในเรื่องกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สิ่งแรกคือได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของพลทหาร ซึ่งมีการฝึกเพียง 2 สัปดาห์กว่า

นายสุทิน กล่าวอีกว่าแต่ก็สามารถเปลี่ยนจากพลเรือนเป็นทหารได้รวดเร็ว ทั้งเรื่องวินัยและความพร้อมทาง ถือเป็นความภูมิใจที่ได้เห็นทหารเกณฑ์เหล่านี้เปลี่ยนจากพลเรือนมาเป็นทหารอย่างที่กองทัพต้องการได้ อีกทั้งครูฝึกมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเห็นกระบวนการฝึกที่จัดไว้ให้พลทหารอย่างดี พร้อมเน้นย้ำเรื่องการฝึกทหารใหม่ ให้ดูแลช่วยเหลือ สร้างขวัญกำลังใจ รวมทั้งคุณวุฒิทางด้านการศึกษาให้มีการศึกษาที่เพิ่มขึ้น พัฒนาทักษะวิชาชีพเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างอนาคตที่ดี สร้างเยาวชนที่เข้มแข็ง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง หันหลังให้กับยาเสพติด

ต่อจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เยี่ยมชมโรงเลี้ยงร่วมรับประทานอาหารกับทหารใหม่ในภาชนะถาดหลุม ซึ่งเป็นอาหารอีสาน ได้แก่ ข้าวเหนียว ลาบหมู ผัดผัก และเมนูของหวาน คือ ทับทิมกรอบ โดยก่อนรับประทานอาหาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สอบถามทหารใหม่ถึงอาหารมื้อนี้เหมือนกับมื้ออื่นๆ หรือไม่ พร้อมกล่าวอีกว่า ทหารอีสานต้องทานข้าวเหนียวด้วย เพื่อให้อยู่ท้อง บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และอบอุ่นเป็นกันเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top