Friday, 16 May 2025
ค้นหา พบ 48145 ที่เกี่ยวข้อง

'อลงกรณ์-ประชาธิปัตย์' วิเคราะห์งบประมาณ 2569 ชี้งบประจำลดลงส่งสัญญาณบวกแต่กังวลงบลงทุนหดมากกว่า ห่วงผลกระทบ 'ทรัมป์2.0' ทำรายได้ประเทศลด แนะทำแผนงบสมดุลควรเริ่มระบบงบประมาณฐานศูนย์ปี 2570

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.และอดีตกรรมาธิการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีของสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กวันนี้เรื่อง “วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 : งบประมาณในภาวะผันผวน“

โดยชี้ว่าเป็นงบประมาณที่มีเปอร์เซ็นของงบประจำลดลงเล็กน้อย1%ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นแนวโน้มที่ดีแต่งบลงทุนลดลงมากกว่าคือ 7.3 %ในขณะที่งบชำระคืนเงินกู้เพิ่มขึ้น0.7%เป็นการชำระดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นและยังไม่ปรากฏว่าแนวทางว่าจะเริ่มจัดทำงบประมาณสมดุลอย่างไรเมื่อใดซึ่งต้องรอฟังคำแถลงนโยบายงบประมาณของนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง

โดยนายอลงกรณ์เขียนบทความ“วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 : งบประมาณในภาวะผันผวน“ ดังนี้

“บทวิเคราะห์นี้จะกล่าวถึงโครงสร้างของงบประมาณปี2569ในด้านงบประจำงบลงทุนงบชำระหนี้เงินกู้กับการเตรียมงบประมาณรับมือนโยบาย 'ทรัมป์ 2.0' และปัจจัยเสี่ยงโดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะประกอบการพิจารณา

ทั้งนี้ไทม์ไลน์ของกระบวนการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 มีกำหนดที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี 20 พ.ค  2568 จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการของสภาผู้แทนราษฎรวาระที่ 1 วันที่ 28–30 พ.ค. 2568 และวาระที่ 2-3 วันที่ 13–15 ส.ค. 68 (เป็นกำหนดการเท่าที่ยืนยันขณะนี้)

ประเด็นสำคัญของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 มีดังนี้
1. โครงสร้างและวงเงินงบประมาณวงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 27,900 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
1.1 รายจ่ายประจำ 2.65 ล้านล้านบาท (ลดลง 1%)  
1.2 รายจ่ายลงทุน 864,077 ล้านบาท (ลดลง 7.3%)  
1.3 รายจ่ายชำระคืนเงินกู้ 151,200 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.7%)   
1.4 งบขาดดุล 860,000 ล้านบาท

ภายใต้โครงสร้างงบประมาณเช่นนี้มีข้อสังเกตที่ควรไตร่ตรอง
1. การลดรายจ่ายลงทุนอาจกระทบโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤต   
2. การเพิ่มวงเงินชำระหนี้สะท้อนภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นซึ่งต้องจับตาการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้กระทบความมั่นคงทางการคลังระยะยาว  
3. การเตรียมงบประมาณรับมือวิกฤต เศรษฐกิจจากผลกระทบของนโยบาย “ทรัมป์ 2.0”

จากกรณีสหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 36% ส่งผลให้ภาคส่งออกและอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบหนัก โดยคาดว่า GDP จะปรับลดเหลือ 2.1% หรือต่ำกว่า 2.0%ทั้งนี้ขึ้นกับผลการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯในเร็ว ๆ นี้

ซึ่งเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะใช้กลไกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณปี2569ของสภาฯ ปรับโอนงบประมาณจากรายการไม่จำเป็นเข้างบกลาง 25,000 ล้านบาท (ตามที่ปรากฏเป็นข่าว) เพื่อรับมือความผันผวนทางเศรษฐกิจ 
อย่างไรก็ตามการไม่ปรับแก้ในชั้น ครม. อาจทำให้ขาดรายละเอียดแผนรองรับที่ชัดเจน เช่น การจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐ   
และอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่างบกลางที่เพิ่มขึ้น25,000 ล้านบาทจะเป็นการ 'ตีเช็คเปล่า' ไม่มีแผนและรายละเอียดในการตรวจสอบโดยรัฐสภาระหว่างการพิจารณางบประมาณซึ่งรัฐบาลและสำนักงบประมาณควรสร้างความชัดเจนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ
ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 เป็นงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะสั้นผ่านการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเป็นงบประมาณในภาวะผันผวนซึ่งมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะได้แก่  
1. งบกลาง
การจัดสรรงบกลางเพื่อรับมือวิกฤตยังคลุมเครือสามารถแก้ไขได้โดยเพิ่มความโปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลงบประมาณแบบ Real-time ผ่านแพลตฟอร์ม Open Data 
2. งบประจำ
รายจ่ายงบประจำลดลงแม้เพียง1%ก็ถือเป็นสัญญาณบวกควรดำเนินการต่อในปีงบประมาณถัดไปอย่างต่อเนื่อง
3. งบลงทุน
การลดลงของงบลงทุนอาจกระทบการเติบโตระยะยาว  
4. งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าควรชะลอไว้ก่อน
ได้แก่โครงการลงทุนที่ไม่เร่งด่วน
เช่น โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ยังไม่จำเป็นต้องดำเนินการทันทีหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจเพื่อรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อน   
และโครงการที่ยังไม่มีแผนรองรับการใช้งานอย่างชัดเจน หรือโครงการที่ใช้งบประมาณสูงแต่มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำ  
5. หนี้สาธารณะ 

หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ปี 2564 มีสัดส่วน62.44% ของ GDP และปี 2569 จะเพิ่มใกล้แตะเพดาน 70 % ของ GDP   ทั้งนี้หนี้สาธารณะรวมเมื่อถึงปี 2569 คาดว่าจะสูงถึง 13.6 ล้านล้านบาท  เป็นภาระหนักของประเทศเสมือนโคลนติดล้อ
6. ความเสี่ยงของประเทศ
ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเช่น ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิอาการเปลี่ยนแปลง และภูมิเศรษฐศาสตร์ เช่นสงครามการค้า ความผันผวนทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนผันแปรเร็วและแรงมากขึ้นอาจทำให้รายได้ประเทศจากภาษีและการพาณิชย์ลดลงและกดดันให้ต้องกู้หนี้สาธารณะเพิ่มจึงควรเตรียมงบประมาณให้พร้อมสำหรับการรับมือและปรับตัว
7. ความยั่งยืนของงบประมาณและการคลัง 
7.1 ควรมีแนวทางการจัดทำงบประมาณแบบสมดุลในคำแถลงนโยบายงบประมาณต่อสภาฯ.
7.2 ตัดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและไม่คุ้มค่า
7.3 ปรับลดงบประจำและเพิ่มงบลงทุน
7.4 ควรเริ่มเตรียมแผนการการปฏิรูประบบงบประมาณแบบใหม่โดยจัดทำงบประมาณฐานศูนย์(Zero based budgeting)ถ้ามีความพร้อมควรเริ่มในปีงบประมาณ 2570

หากรัฐบาลสามารถบริหารงบประมาณในภาวะผันผวนด้วยความโปร่งใส ใช้เทคโนโลยีและเพิ่มการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่าภาษีของประชาชนมากขึ้น.”

ผู้เขียน :
นายอลงกรณ์ พลบุตร
รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์และประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. อดีต สส.6 สมัย
อดีตกรรมาธิการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ

‘ปูติน-ทรัมป์’ ไม่ร่วมวงเจรจาสันติภาพที่อิสตันบูล ทิ้ง ‘เซเลนสกี’ ผู้นำยูเครนผิดหวัง…มองรัสเซียไม่จริงใจ

(16 พ.ค. 68) แผนการเจรจาสันติภาพระหว่างผู้นำยูเครนและรัสเซียในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันพฤหัสบดีต้องล่มไม่เป็นท่า หลังประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่เข้าร่วม แม้ก่อนหน้านี้ปูตินเคยส่งสัญญาณว่า “พร้อมเจรจาโดยไม่มีเงื่อนไข” ขณะที่ทรัมป์กดดันให้ยูเครนเข้าร่วมการพูดคุยทันที

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนระบุว่าเขาจะยินดีเข้าร่วมก็ต่อเมื่อผู้นำรัสเซียเข้าร่วมด้วยตนเอง แต่สุดท้ายรายชื่อของปูตินไม่ปรากฏในคณะผู้แทนของรัสเซีย โดยมีเพียงวลาดิมีร์ เมดินสกี ผู้ช่วยประธานาธิบดีเป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับรองของกระทรวงกลาโหมและการต่างประเทศ

เซเลนสกี แสดงความผิดหวังพร้อมกับเผยว่า ระดับของคณะผู้แทนรัสเซียสะท้อนว่ามอสโกว์ยังไม่จริงใจ และตั้งคำถามถึงอำนาจในการตัดสินใจของตัวแทนดังกล่าว “เราทุกคนรู้ว่าใครเป็นคนตัดสินใจในรัสเซีย” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าคณะผู้แทนของยูเครนประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทหาร และที่ปรึกษาประธานาธิบดี

ด้านสหรัฐฯ ส่งตัวแทนระดับสูง ได้แก่ สตีฟ วิตคอฟ, คีธ เคลล็อก และรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ เข้าร่วมการเจรจาแทนทรัมป์ โดยก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้โพสต์เรียกร้องให้ยูเครน “มีการเจรจาเดี๋ยวนี้” เพื่อให้รู้แน่ชัดว่า ข้อตกลงสันติภาพเป็นไปได้หรือไม่ และให้ชาติตะวันตกเตรียมรับมือในทุกกรณี

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนผู้ใช้ป้ายทะเบียนรถผิดกฎหมาย ดัดแปลงป้าย เสี่ยงโทษหนัก

(16 พ.ค.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์จราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้พบผู้ขับขี่จำนวนหนึ่งมีการใช้รถที่ติดป้ายทะเบียนไม่ถูกต้อง ดังปรากฏในคลิปวิดิโอที่เผยแพร่ทางสื่อโซเชียล ไม่สามารถมองเห็นชื่อจังหวัดได้ชัดเจน เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้ใช้มาตรการเชิงแนะนำ ว่ากล่าวตักเตือนโดยไม่ดำเนินคดี พร้อมให้ผู้ขับขี่แก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อส่งเสริมความเข้าใจ ลดความขัดแย้งบนท้องถนน และยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ถูกต้อง เช่น ตัวอักษรจาง ตัวอักษรเลอะเลือนใช้กรอบป้ายทะเบียนที่บดบังข้อมูลสำคัญ หรือติดตั้งกันชนหน้า/หลัง แล้วปิดบังข้อความบนแผ่นป้ายทะเบียน เป็นต้น

ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ ย้ำว่า การไม่ติดป้ายทะเบียนให้เห็นชัดเจน หรือปล่อยให้เลือนลางจนไม่สามารถอ่านได้ ถือว่าฝ่าฝืนพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 11 มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และหากมีการใช้กรอบป้ายที่บดบังตัวอักษร เข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 7 มีโทษปรับไม่เกิน 4,000 บาท โดยกฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าต้องติดแผ่นป้ายทะเบียนให้สามารถมองเห็นได้โดยสะดวก และต้องไม่มีการปิดบังหรือทำให้แผ่นป้ายชำรุด

อีกกรณีที่น่าเป็นห่วงคือ การปลอมแปลง หรือดัดแปลงป้ายทะเบียน เช่น การใช้ตัวเลขหรืออักษรที่ผิดจากทะเบียนจริง การทำเลียนแบบ หรือการแก้ไขข้อมูล ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมาย ซึ่งนอกจากจะฝ่าฝืนพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 60 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดปลอมแปลงหรือใช้แผ่นป้ายทะเบียนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ยังอาจเข้าข่ายความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 100,000 บาท และหากมีการใช้เอกสารราชการปลอมดังกล่าว ยังอาจถูกดำเนินคดีเพิ่มตาม มาตรา 268 ฐานใช้เอกสารปลอมอีกด้วย

หากประชาชนพบว่าป้ายทะเบียนรถของตนมีสภาพชำรุด สูญหาย หรือซีดจางไม่ชัดเจน ขอให้รีบดำเนินการขอเปลี่ยนแผ่นป้ายใหม่โดยเร็ว โดยสามารถยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานขนส่งประจำจังหวัด หรือสำนักงานขนส่งพื้นที่ใกล้บ้าน พร้อมแนบเอกสาร ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถ ,สำเนาทะเบียนรถ (เล่มทะเบียน) ส่วนกรณีป้ายทะเบียนสูญหาย ต้องมีใบแจ้งความจากสถานีตำรวจแนบประกอบด้วย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวใช้เวลาไม่นาน และเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งลดความเสี่ยงหากมีผู้ไม่หวังดีนำป้ายทะเบียนไปใช้ในทางที่ผิด

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การมีป้ายทะเบียนที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อสังคม หากรถเกิดอุบัติเหตุหรือหลบหนีการกระทำผิด การอ่านทะเบียนได้ชัดเจนถือเป็นข้อมูลสำคัญในการช่วยเหลือหรือจับกุมผู้กระทำผิด

หากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนพบเหตุผิดปกติ ต้องการสอบถามเส้นทาง หรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถติดต่อสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผบ.ตร. เปิดโครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

(16 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ และผู้เข้าร่วมสัมมนาระดับ พล.ต.ต. ขึ้นไป หรือเทียบเท่า จากส่วนป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม 10 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 , ส่วนสนับสนุนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม 7 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , กองบัญชาการตำรวจสันติบาล , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และส่วนการศึกษา 2 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการศึกษา และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รวมจำนวน 185 นาย พร้อมผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธี ณ สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

โครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จัดขึ้นเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกผู้สัมมนาให้เกิดความรัก ความหวงแหน พรัอมธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของไทย อันได้แก่ สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยมีทัศนคติที่ดี รู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการถวายความปลอดภัยและการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ผู้สัมมนา พบปะ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างกลไกการปฏิบัติงานร่วมกัน ตลอดจนสามารถนำความรู้ความเข้าใจที่ได้รับไปต่อยอด ขยายผล เพื่อเผยแพร่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยได้อย่างถูกต้อง โดยมี นายกองเอก ธารณา คชเสนี วิทยากรประจำศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และนายหมวดไท น้ำเพ็ชร คชเสนี สัตยารักษ์ วิทยากรพิเศษ กอ.รมน.ภาค 2 ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้

ทั้งนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ร่วมโครงการทุกท่านจะได้รับในวันนี้ เป็นเรื่องราวและข้อมูลความจริงที่สำคัญ ที่ทุกท่าน ณ ที่นี้ ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วย ทั้งผู้บัญชาการ ผู้บังคับการ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะได้รับฟังเพื่อให้เข้าใจถึงรากเหง้าในความเป็นชาติไทย ความเป็นคนไทย ข้าราชการไทย ที่มีความรักและหวงแหน จงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นและถูกร้อยเรียงเรื่องราว ส่งผลมายังสถานการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน การได้เรียนรู้ความเชื่อมโยงของอดีตและปัจจุบัน จะช่วยให้ทุกท่านตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้สั่งสม ปกปักรักษาไว้เพื่อชนรุ่นหลังในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ขอให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกิดสำนึกในบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย และนำไปขยายเผยแพร่กับผู้ใต้บังคับบัญชาและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องต่อไป

จเรตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 9 กำชับการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมหารือกับทัพเรือภาคที่ 2 ในความร่วมมือปราบปรามการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และน้ำมันเถื่อน

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศตคม./ผอ.ศปนม.) ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 9 พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พ.ต.อ.พัลลภ สุภิญโญ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 2 และ พ.ต.อ.กิตติพงศ์ วิเศษสงวน รองผู้บังคับการกองการสอบ 

โดยวานนี้ (15 พฤษภาคม 2568) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้ประชุมสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ เพื่อสั่งการและกำชับการปฏิบัติในงานจเรตำรวจ , ศปอส. , ศตคม. และ ศปนม. ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 9 โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 , ผู้บังคับการในสังกัดตำรวจภูธรภาค 9 , ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 , ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา โดยได้กำชับให้ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทาง 15 นโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทุกระดับ ทำงานโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง สอบถามและตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไม่ประมาท ห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในทางตรงหรือทางอ้อม

จากนั้นเวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัยฯ และคณะ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมกับฝ่ายทหาร โดยมี พล.ร.ท.นเรศ วงศ์ตระกูล (รน.) ผบ.ทรภ.2/ผอ.ศรชล.ภาค 2 , พล.ร.ต.ปรีชา รัตนสำเนียง รอง ผบ.ทรภ.2 , พล.ร.ต.โชคชัย เรืองแจ่ม ผบ.ฐท.สข.ทรภ.2 , พล.ร.ต.อิทธิพัทธ์ กวินเฟื่องฟูกุล รอง ผอ.ศรชล.ภาค 2 , พล.ร.ต.มรุเดช บุญนิตย์ ผอ.สน.ฝอ.ศรชล.ภาค 2 , พล.ร.ต.ปนิธาน สิทธิโยธาคาร รองเจ้ากรมกิจการพลเรือน กองทัพเรือ ณ กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 เพื่อหารือใน 3 ประเด็น ได้แก่

1. กรณีการค้ามนุษย์ : ประเทศไทยอยู่ในระดับ tier 2 ถ้ามีการโดนลดระดับจะมีผลในเรื่องการส่งออกของประเทศไทย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทัพเรือภาคที่ 2 นอกจากมีการตรวจเรือประมงแล้ว ให้พิจารณาตรวจเรือขนส่งในระยะใกล้ หรือเรือต่าง ๆ ป้องกันเหตุผิดกฎหมาย เหตุการณ์ที่นำเด็กไปล่วงละเมิดทางเพศบนเรือขนส่งในทะเล

2. กรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ : รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าจะใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน โดยในส่วนของทัพเรือภาคที่ 2 ขอให้ประสานในเรื่องการตรวจบุคคลที่ลักลอบเข้าเมืองทางทะเล รวมไปถึงสิ่งของ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ไปสนับสนุนในการกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

3. กรณีน้ำมันเถื่อน : ขอให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกองทัพเรือในการประสานงานทุกมิติในการปฏิบัติงานเรื่องน้ำมันเถื่อน

จากนั้นเวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัยฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมข้าราชการตำรวจ กองกำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ โดยมี พ.ต.อ.วันพิชิต วัฒนศักดิ์มณฑา ผู้กำกับการ 7 กองบังคับการตำรวจน้ำ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด ให้การต้อนรับ จเรตำรวจแห่งชาติได้กำชับให้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา และประพฤติอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top