Thursday, 15 May 2025
ค้นหา พบ 48100 ที่เกี่ยวข้อง

‘เอกอัครราชทูตจีน’ ร่วมสัมมนาวุฒิสภาไทย ย้ำสร้างประชาคม ‘จีน-ไทย’ ฉลอง 50 ปี สัมพันธ์การทูต

เมื่อวันที่ (13 พ.ค.68) เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย นายหาน จื้อเฉียง ได้รับเชิญเข้าร่วมและกล่าวสุนทรพจน์ในงานสัมมนาเรื่อง “ภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโลก และบทบาทของจีน: โอกาสและความท้าทายสำหรับประเทศไทย” ซึ่งจัดโดยวุฒิสภาไทย โดยมีคุณมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 และสมาชิกวุฒิสภาเกือบ 100 คนเข้าร่วม

ทูตหานได้กล่าวถึงจุดยืนของจีนในเวทีเศรษฐกิจโลก โดยเน้นย้ำความสำคัญของความยุติธรรม การคัดค้านการใช้อำนาจในทางที่ผิด และการรักษาระเบียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ พร้อมแสดงความตั้งใจของจีนในการแบ่งปันโอกาสในการพัฒนาแก่ทุกประเทศ รวมถึงไทย โดยถือโอกาสวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน

ด้านประธานและรองประธานวุฒิสภาไทยกล่าวชื่นชมบทบาทของจีนในเวทีโลกและย้ำว่ารัฐสภาไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีกับจีน โดยสนับสนุนความร่วมมือในการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศในระยะยาว

(สุรินทร์) มทบ.25 มอบทุนการศึกษาให้กับบุตรของกำลังพล เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลและครอบครัว

เมื่อวานนี้ (14 พ.ค.68) พลตรี ไชยนคร กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อมด้วย คุณสายธาร กิจคณะ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขา มณฑลทหารบกที่ 25 และคณะนายทหาร มณฑลทหารบกที่ 25 มอบทุนการศึกษาเรียนดีให้กับ บุตรข้าราชการ, ลูกจ้าง และพนักงานราชการ ประจำปี 2568 ณ สโมสรค่ายวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดสุรินทร์ มีจำนวน 146 ทุน แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้  

ทุนระดับชั้นประถมศึกษา ถึง มัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 107 ทุนๆ ละ 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 160,500 บาท ทุนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ถึง อนุปริญญา จำนวน 24 ทุนๆ ละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 48,000 บาท ทุนระดับปริญญาตรี 15 ทุนๆ ละ 2,500 บาท รวมเป็นเงิน 27,500 บาท รวมทุนทั้ง 3 ระดับ เป็นเงินทั้งสิ้น 246,000 บาท ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริม และกระตุ้นให้บุตรของกำลังพล ตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียน มีความภาคภูมิใจในผลการเรียน เพื่อเป็นอนาคตที่สำคัญของครอบครัว, สังคม และประเทศชาติต่อไป

‘พีระพันธุ์’ เยือนลาวหารือลงทุนไฟฟ้าระหว่างรัฐ ปัดหนีหมายเรียก ป.ป.ช. - พบหมายเรียกส่งโดยมิชอบ

‘พีระพันธุ์’ เยือนลาวเจรจาแนวทางลงทุนพลังงานไฟฟ้าระหว่างภาครัฐ ตัดทอนตัวกลางภาคเอกชน ช่วยลดต้นทุนพลังงานสะอาด จับโป๊ะ ป.ป.ช. ส่งหมายเรียกผิด

(15 พ.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามคำเชิญของนายโพไซ ไซยะสอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  ระหว่างวันที่ 14-16 พฤษภาคม 2568 เพื่อหารือเรื่องพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของไทยและ สปป.ลาว ทั้งนี้เพื่อให้ได้ราคาพลังงานที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์ของสองประเทศ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง และจะมีการพบปะกับ นายสะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ด้วย

ในการนี้ นายพีระพันธุ์ได้พบหารือกับ นายโพไซ ไซยะสอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ และคณะ เพื่อติดตามความคืบหน้าของข้อตกลงที่ทำไว้ระหว่างไทยและ สปป.ลาว รวมทั้งร่วมหารือเกี่ยวกับแนวทางในการลงทุนของบริษัท EGATi  หรือ บริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นบริษัทในกลุ่มการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่จะเน้นลงทุนใน สปป.ลาว จากเดิมที่ลงทุนหลากหลายประเทศและหลายธุรกิจ เนื่องจากประเทศไทยรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว อยู่แล้ว ซึ่งหากมีการลงทุนร่วมกันระหว่าง กฟผ. และ สปป.ลาวโดยตรง แทนที่จะซื้อจากเอกชนก็จะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และทำให้ประเทศไทยได้ไฟฟ้าสะอาดและราคาต้นทุนที่ถูกลงเพราะเป็นการลงทุนของรัฐวิสาหกิจของไทยเองและเหมือนซื้อไฟฟ้าจากตัวเอง

อย่างไรก็ตาม การเยือน สปป.ลาว ของนายพีระพันธุ์ในครั้งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเรียกไปรับข้อกล่าวหาของคณะกรรมการไต่สวน ป.ป.ช. ตามที่สื่อหลายสำนักได้นำเสนอแต่อย่างใด  โดยจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า หมายเรียกของ ป.ป.ช. แท้ที่จริงแล้วไม่เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการส่งหมายโดยไม่ชอบ  และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.เองก็ยอมรับว่ามีความผิดพลาดในการส่งหมายเรียกไปยังนายพีระพันธุ์ จึงต้องถือว่ายังไม่มีหมายเรียก

นายกฯ ยืนยันยังไม่ยกเลิก ‘เงินดิจิทัลเฟส 3’ ขอเวลาคิด พร้อมเปิดรับข้อเสนอเปลี่ยนรูปแบบแจกเงิน

(15 พ.ค. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 สำหรับกลุ่มอายุ 16-20 ปียังไม่ถูกยกเลิก แม้จะมีข่าวว่ารัฐบาลอาจต้องทบทวนเพื่อรับมือกับนโยบายภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ตั้งภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้สูงถึง 36% โดยระบุว่าขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย และจะประกาศข้อสรุปเมื่อได้ข้อยุติ

นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า รัฐบาลยังคงมุ่งหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยยังไม่ตัดสินใจยกเลิกโครงการใด พร้อมเปิดรับข้อเสนอ เช่น การปรับรูปแบบการแจกเงินให้คล้ายโครงการ 'คนละครึ่ง' เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง

เมื่อถูกถามว่าโครงการจะดำเนินต่อในรูปแบบใด และหากยกเลิกจะกระทบต่อคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีไม่ตอบในประเด็นนี้ แต่ย้ำว่าทุกนโยบายต้องสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ และครอบคลุมทุกช่วงอายุ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

‘เอกนัฏ’ สั่งลุยล้างบาง 3 โรงงานรีไซเคิล นอมินี จ.ชลบุรี อายัดวัตถุอันตรายกว่า 550 ตัน พร้อมฟันโทษอาญาอ่วม

(15 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ “ทีมสุดซอย” พร้อมด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ลงพื้นที่ บริษัท เจี๋ยเซ่ง พลาสติก จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 88/2 หมู่ที่ 5 ต.หนองรี อ.เมือง จ.ชลบุรี ประกอบกิจการผลิตเม็ดพลาสติก บด ย่อย พลาสติก ทำผลิตภัณฑ์จากพลาสติก อัดเศษโลหะ อัดกระดาษ ทำยางแผ่น และบริษัท ติงซิ่ง (ไทย-จีน) เมทัล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ประกอบกิจการ บด ล้าง ร่อน จำพวกเศษพลาสติก เศษโลหะ และติดตั้งเครื่องจักร โดยพบว่ามีการประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบโรงงานทั้งสองแห่งเป็นโรงงานของนายทุนจีนถือหุ้นร่วมกับคนไทย โดยพบว่าบริษัท เจี๋ยเซ่งฯ มีใบอนุญาตประกอบกิจการ แต่ประกอบกิจการไม่ถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาต และตรวจสอบพบวัตถุต้องสงสัย จำนวน 300 ตัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้ยึดอายัดไว้  รวมทั้งเครื่องจักรที่ใช้ในการบดย่อยโลหะ ส่วนบริษัท ติงซิ่งฯ พบว่าเป็นโรงงานที่ไม่มีใบอนุญาต และพบการลักลอบประกอบกิจการ มีการครอบครองวัตถุอันตรายที่เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ใช้แล้ว รวมกับเศษสิ่งของไม่สามารถระบุชนิดกว่า 250 ตัน และยังพบร่องรอยการนำเศษพลาสติกที่บดย่อยมาถมดินข้างบ่อน้ำภายในโรงงาน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในดินและแหล่งน้ำ อาจเป็นอันตรายกับชาวบ้านและชุมชนใกล้เคียงได้ ทางเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี จึงแจ้งความดำเนินคดีกับทั้งสองบริษัท ใน 3 ข้อหาที่ สภ.เมืองชลบุรี ได้แก่ 1. ตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ 3.ครอบครองวัตถุอันตราย โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ เนื่องจากวัตถุอันตรายที่พบมีมากกว่า 250 ตัน  ซึ่ง 2 บริษัท มีน้ำหนักรวมกว่า 550 ตัน จึงส่งเรื่องให้ DSI เพื่อดำเนินคดีและขยายผลการลักลอบนำเข้าและเครือข่ายนอมินีต่อไป พร้อมเก็บตัวอย่างส่งไปยังศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก กรอ. เพื่อทำการตรวจพิสูจน์หาส่วนประกอบและสิ่งปนเปื้อนต่อไป 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวต่ออีกว่า “ทีมสุดซอย” ได้ลงพื้นที่ต่อไปยัง บริษัท ชัยเมธี จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 69 ม.6 ต.หนองหงษ์ อ.พานทอง จ.ชลบุรี ประกอบกิจการคัดแยกสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นอันตราย และทำเม็ดพลาสติก พบว่ามีการลักลอบประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำกากตะกรันจากเตาหลอมโลหะ มาบดย่อยและร่อนแยกทองแดงจากกากตะกรัน เพื่อนำทองแดงที่ได้ไปจำหน่ายต่อ ส่วนกากที่เหลือส่งให้บริษัทอื่นไปบดย่อย โดยภายในพื้นที่โรงงานพบกองวัตถุดิบและสิ่งปฏิกูลจากวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว จึงได้เก็บตัวอย่างเพื่อทำการตรวจสอบ 

“รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้มีนโยบายให้เร่งรัดจัดการกับโรงงานรีไซเคิลเถื่อนที่ลักลอบประกอบกิจการอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการครอบครองวัตถุอันตรายที่เป็นโลหะหนัก สามารถปนเปื้อนในแหล่งน้ำและดิน ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดอันตรายกับประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังพบการเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายโรงงานที่มีความผิดและได้ดำเนินการเอาผิดไปแล้ว จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันติดตามและขยายผลไปยังบริษัทหรือโรงงานที่คาดว่าจะมีความเกี่ยวพันกัน เพื่อกวาดล้างเอาผิดถึงต้นตอต่อไป” นางสาวฐิติภัสร์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top