Friday, 9 May 2025
ค้นหา พบ 47963 ที่เกี่ยวข้อง

‘เจ้าชายแฮรี่’ แพ้คดี!! ขอการรักษาความปลอดภัยใน สหราชอาณาจักร ‘พระเจ้าชาร์ลส์’ ทรงตัดขาดการสื่อสาร!! หลังข้อพิพาททางกฎหมาย

(3 พ.ค. 68) ศาลอุทธรณ์มีมติยืนตามคำตัดสินเดิมของศาลสูง ปฏิเสธคำร้องของเจ้าชายแฮร์รี่ที่ทรงเรียกร้องให้ได้รับการคุ้มครองจากตำรวจ ขณะเสด็จฯ กลับสหราชอาณาจักร โดยศาลเห็นว่า “ความรู้สึกไม่พอใจ” ของพระองค์ไม่เพียงพอเป็นข้อกฎหมายในการท้าทายการตัดสินใจของคณะกรรมการ Ravec

การเปลี่ยนแปลงระดับการคุ้มครองเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2020 หลังจากเจ้าชายแฮร์รี่และดัชเชสเมแกนประกาศลดบทบาทจากราชวงศ์ โดย Ravec ได้พิจารณาให้ความปลอดภัยในลักษณะเฉพาะกิจเป็นรายกรณี แทนที่จะเป็นการคุ้มครองแบบถาวรเหมือนสมาชิกราชวงศ์ระดับสูง

ฝ่ายทนายความของเจ้าชายแฮร์รี่โต้แย้งว่าพระองค์ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม แต่ผู้พิพากษาทั้งสามมีความเห็นสอดคล้องกันว่าไม่พบความผิดในกระบวนการตัดสินของ Ravec

แนวโน้มการอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

นักกฎหมายชี้ว่า เจ้าชายแฮร์รี่อาจพิจารณายื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา แต่ต้องได้รับอนุญาตก่อน และมีแนวโน้มต่ำ เนื่องจากคดีนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากกว่าจะเป็นประเด็นผลประโยชน์สาธารณะ

พระเจ้าชาร์ลส์ “ไม่ตรัสกับเจ้าชายแฮร์รี่” หลังข้อพิพาทเรื่องความปลอดภัย
เจ้าชายแฮร์รี่ทรงเผยว่าพระเจ้าชาร์ลส์ไม่ตรัสกับพระองค์อีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่า “เพราะเรื่องความปลอดภัย” และทรงกล่าวว่าพระองค์ต้องการคืนดีกับราชวงศ์

“ผมมองไม่เห็นโลกที่ผมจะพาภรรยาและลูก ๆ กลับไปอยู่ที่สหราชอาณาจักรในตอนนี้ได้เลย” พระองค์ตรัสกับ BBC

หลังการพ่ายคดี เจ้าชายแฮร์รี่ต้องรับภาระค่ากฎหมาย กว่า 1.5 ล้านปอนด์ ซึ่งพระองค์ทรงระบุว่ารู้สึก “เสียใจมาก”

โฆษกพระราชวังบักกิงแฮมชี้แจงว่า คดีทั้งหมดได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนโดยศาลแล้วหลายครั้ง และมีข้อสรุปเดียวกันในทุกครั้ง

พระองค์ทรงกล่าวเพิ่มเติมว่า มีความขัดแย้งและความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกับสมาชิกในครอบครัวหลายประเด็น และทรงยอมรับว่าไม่เห็นอนาคตที่ครอบครัวของพระองค์จะกลับไปใช้ชีวิตในสหราชอาณาจักรได้อีก

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ยืนยัน!! ไม่เคยทำเอกสารข่าว กล่าวหา!! ‘นายอนุทิน’ แอบอ้างสถาบัน

(3 พ.ค. 68) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และรองผู้อำนวยการสำนักกิจการมวลชน และสารนิเทศ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ชี้แจงกรณีเอกสารรายงานข่าวที่เผยแพร่ในสื่อมวลชน ซึ่งมีการนำไปตีความหมายผิดพลาด จนอาจสร้างความเข้าใจผิดต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และต่อองค์กร

พลตรี วินธัย กล่าวว่า เอกสารดังกล่าวไม่ได้ระบุว่า นายอนุทินเป็นบุคคลที่แอบอ้างสถาบัน แต่ในข้อเท็จจริง เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับนายอนุทินเป็นไปในเชิงบวก โดยรายงานได้กล่าวถึงการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน ที่ระบุว่านายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่าจะไม่สนับสนุนพรรคการเมืองหรือบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567

ทั้งนี้ พลตรี วินธัย ยังได้เตือนผู้ที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วน อย่าพยายามนำข้อมูลมาปะติดปะต่อเชื่อมโยงกันเอง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อบุคคลและองค์กร

‘เสธ.หิ’ ชี้!! ‘พีระพันธุ์’ ทำงานมุ่งมั่น ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ลดค่าไฟฟ้า ปรับราคาน้ำมัน ไม่แปลกใจที่ถูกโจมตี จากผู้ที่เสียผลประโยชน์ ยัน!! ขอทำตามหน้าที่ จนวินาทีสุดท้าย

(3 พ.ค. 68)  ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'ผลงานเป็นที่ประจักษ์' พร้อมระบุว่า “ตั้งแต่ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สิ่งที่พยายามทำคือ การสร้างความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานราคายุติธรรมเพื่อประชาชน การควบคุมราคาน้ำมัน พยายามปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน การปรับลดค่าไฟฟ้า ตรึงราคาแก๊ส ซึ่งมีปัญหาอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะการพยายามปรับลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่า 4 บาท เพื่อส่งเสริมการแข่งขันทางด้านอุตสาหกรรมกับต่างประเทศ ตลอดจนลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน การประกาศนโยบายด้านการปรับลดราคาพลังงาน

นายหิมาลัย กล่าวว่า ช่วงแรกๆ ก็มีเสียงต่อต้านว่ามันเป็นไปไม่ได้ โครงสร้างเดิมของราคาไฟฟ้า ถ้าจำไม่ผิดน่าจะขึ้นไปถึง 4.6-4.7 บาท เมื่อท่านตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4.1 กว่าๆ ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ ว่าท่านจะทำให้ระบบโครงสร้างค่าไฟฟ้าเสียหาย จะตรึงได้แค่ระยะเวลาสั้น รัฐต้องเสียเงินชดเชยมากมาย แต่ในปัจจุบัน ท่านก็สามารถทำได้จริงโดยการใช้ระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพทำให้สามารถลดราคาค่าไฟฟ้าได้ตามนโยบาย และนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ที่ท่านสามารถ ทำให้มีการประกาศราคาค่าไฟฟ้า ลงไปต่ำกว่า 4.00 บาท 

นายหิมาลัย กล่าวว่า แน่นอนว่าค่าไฟฟ้าที่ลดลงไปนั้นจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีต้นทุนที่ลดลง ธุรกิจการค้าของประชาชนทั่วไป เช่น ร้านค้ารายย่อย แผงลอย วินมอเตอร์ไซค์ฯลฯ ค่าไฟฟ้าที่ลดลงไป นั่นหมายถึงกำไรที่เพิ่มขึ้นหรือรายรับที่เพิ่มขึ้นเป็นการกระจายรายได้ ที่รวดเร็วและเข้าถึงประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน  ท่านพีระพันธ์ุ ทราบดีว่านี่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ซึ่งเมื่อท่านพ้นตำแหน่งไปแล้ว หากยังใช้โครงสร้างราคาพลังงาน ในระบบนี้อยู่ ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าแก๊ส ก็มีโอกาสที่จะขึ้นราคา เหมือนก่อนหน้านี้ ท่านจึงมีแนวความคิดในการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ รวมทั้งระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมมากขึ้น จึงได้มีความพยายามที่จะเสนอกฎหมาย เพื่อความมั่นคงของพลังงานและโครงสร้างราคาที่เป็นธรรมอย่างยั่งยืน

“จึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะมีการโจมตี ทำลายภาพพจน์และชื่อเสียง ปล่อยข่าวลือต่างๆ เพื่อให้ท่านพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนที่กฎหมายต่างๆ ที่ท่านพยายามเสนอจะได้รับการบรรจุเข้าวาระของ ครม. ซึ่งถ้าหากกฎหมายพวกนี้ สามารถผ่านสภาฯ ออกมาบังคับใช้ได้ ก็จะทำให้ราคาน้ำมัน ไฟฟ้า ราคาแก๊ส มีความเป็นธรรมและมั่นคงมากขึ้น ท่านพีระพันธุ์พูดกับผมเสมอว่า ถ้าเราทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติแล้ว หากมีปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากผู้เสียผลประโยชน์ เราก็ต้องยอมรับและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ที่สำคัญที่สุดคือเรากล้าหาญที่จะทำตามหน้าที่หรือไม่ ครั้งหลังสุดนี้ มีการประกาศลดค่าไฟฟ้า ลงมาที่ราคา 3.98 บาท ซึ่งเกิดจากความพยายามของท่าน ที่ไม่ยอมแพ้ แม้มีอุปสรรคมากมาย สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ มีการออกข่าวโจมตีและด้อยค่าผลงานอย่างต่อเนื่อง”นายหิมาลัย กล่าว

นายหิมาลัย กล่าวด้วยว่า ขอขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่กรุณามอบให้ท่านพีระพันธุ์ และพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นอย่างสูง ขอให้ท่านทั้งหลายมั่นใจได้ว่า พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และพรรครวมไทยสร้างชาติ จะทำหน้าที่เป็นนักรบพลังงานเพื่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนจนวินาทีสุดท้าย

‘อัครเดช’ ยัน!! ‘พีระพันธุ์’ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ปม!! ‘ถุงยังชีพ’ พร้อมชี้แจงเมื่อถึงเวลา ชี้!! ผู้เสียผลประโยชน์ เข้ามาดิสเครดิต มั่นใจ!! พรรคไม่แตก ทุกคนพร้อมเดินไปด้วยกัน

(3 พ.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ถูกยื่นตรวจสอบการถือหุ้นในบริษัทเอกชน รวมถึงถูกโยงกับกระแสข่าวที่คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กําลังไต่สวนคดีถุงยังชีพ จะกระทบต่อพรรคหรือไม่ ว่า นายพีระพันธุ์ชี้แจงได้หมดอยู่แล้ว ทั้งเรื่องการถือหุ้น และเรื่องที่ถูกร้องเรียนใน ป.ป.ช. ซึ่งในข้อเท็จจริงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นายพีระพันธุ์ พร้อมชี้แจงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อถึงเวลาแน่นอน ท่านมั่นใจว่าไม่ได้กระทำความผิด ขอให้ผู้สนับสนุนพรรคสบายใจได้

นายอัครเดช กล่าวว่า กรณีถุงยังชีพ ยืนยันว่านายพีระพันธุ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งทางเจตนา และการเตรียมการ ซึ่งท่านพร้อมชี้แจงด้วยเหตุผล และเอกสารหลักฐานต่างๆ ยํ้าว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ตนตั้งข้อสังเกตว่าช่วงนี้ ทั้ง IO หรืออะไรหลายอย่าง เข้ามาดิสเครดิตนายพีระพันธุ์ เพราะท่านตั้งใจทำงานให้กับประชาชน จึงเป็นไปได้ที่ต้องมีแรงเสียดทานกับผู้ที่เห็นต่าง อย่างเช่นการลดค่าไฟ ก็ต้องไปต่อสู้กับหลายส่วน จนเกิดแรงเสียดทานหรือข้อกล่าวหาต่างๆ ด้วยหรือไม่ มองว่าอาจมีความเชื่อมโยงกัน

และเมื่อถามว่า เรื่องคดีจะเป็นจุดที่ทำให้พรรคแตกหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวว่า สส.เตรียมทิ้งนายพีระพันธุ์ นายอัครเดช กล่าวว่า ณ เวลานี้พรรคยังมั่นคง ขอให้สบายใจได้ นายพีระพันธุ์ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค รทสช. ยังสามารถบริหารพรรคได้ และ สส.ของพรรคส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ก็ชัดเจนแน่นอนว่าจะเดินไปพร้อมกับหัวหน้า และเลขาธิการพรรค เพื่อทำงานให้กับประชาชน เราต้องยึดผลประโยชน์ของประชาชน แม้จะมีแรงเสียดทาน เราก็ต้องอดทน และยืนหยัดให้ได้ 

“มั่นใจว่า สส. ส่วนใหญ่ ยังยืนหยัดกับพรรค และพรรคก็ไม่ได้แตกอย่างที่เป็นข่าวแน่นอน” นายอัครเดช กล่าวอย่างมั่นใจ

‘กระทรวงการคลัง’ เตรียมเสนอ!! ‘อารีย์ สกอร์’ เข้าครม. กลางปี 68 หวังช่วยปชช. เข้าถึงสินเชื่อ!! ผ่านแบงก์รัฐ ไม่ต้องพึ่งหนี้นอกระบบ

(3 พ.ค. 68) นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย หัวข้อ Ari Score Sandbox ว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการจัดทำ Ari Score ( อารีย์ สกอร์ )

ซึ่งเป็นนวัตกรรมการทำเครดิตสกอริ่ง ( คะแนนเครดิต ) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างคะแนนเครดิตหรือข้อมูลเครดิตที่สามารถใช้ในการเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น สำหรับกลุ่มคนเหล่านี้ที่มักจะมีรายได้ไม่แน่นอน มีเงินออมและสินทรัพย์น้อย รวมถึงมีภาระค่าใช้จ่ายสูง

ทั้งนี้ อารีย์ สกอร์ ใช้ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ข้อมูลจากสวัสดิการแห่งรัฐ,ข้อมูลภาษี,หนี้สิน,เงินฝาก และข้อมูลเครดิตบูโร เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้และวินัยทางการเงินของผู้ใช้บริการ มุ่งหวังที่จะช่วยให้คนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ คาดเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) กลางปีนี้หรือไม่เกินมิ.ย.2568

“อารีย์ สกอร์ จะช่วยให้ประชาชนตัวเล็ก เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน สินเชื่อ เพื่อใช้ประกอบอาชีพหรือการดํารงชีวิต เพื่อจะไม่ได้เกิดเรื่องของสุญญากาศทางการเงินของครอบครัวต่อไป”

นายพรชัย กล่าวว่า ปัจจุบันคลังมีข้อมูลคนไทย จาก 3 แหล่งมาพัฒนาเวอร์ชันแรกเป็นอารีย์สกอร์ Gen 0-0.5 เช่น ทรัพย์สิน รายได้ และการรับสวัสดิการของรัฐ ซึ่งรวบรวมมาจากเครดิตบูโร สถาบันคุ้มครองเงินฝาก และกรมภาษีทั้งหมด

ซึ่งมีข้อมูลจากประชาชนที่มาลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจนถึงปี 2565 ประมาณ 19 ล้านคน รวมทั้งดูความสามารถประชาชนจากประวัติการชำระค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ เพื่อมาจัดทำเป็นคะแนนเครดิต

ทั้งนี้ในระยะต่อไปจะมีการพัฒนาเป็น อารีย์สกอร์ Gen 1 โดยใช้ข้อมูลจาก Data Lake ที่มีอยู่ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น ข้อมูลจากไปรษณีย์ ข้อมูลนิติบุคคลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งจะมีการขอข้อมูลจากทางกองทุนเพื่อการกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มาใช้ประกอบด้วย

สำหรับโดยสถาบันการเงินที่จะนำอารีย์ สกอร์ ไปใช้ในการอนุมัติสินเชื่อกลุ่มแรก คือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top