Saturday, 26 April 2025
ค้นหา พบ 47667 ที่เกี่ยวข้อง

‘เหว่ย ซือเฮ้า’ ชายชราที่เป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ยอมเก็บขยะยังชีพ ส่งเงินบำนาญให้เด็กยากจนเรียน

เพจลึกชัดกับผิงผิง ได้ถ่ายทอดเรื่องราวสุดประทับใจของชายชรานาม ‘เหว่ย ซือเฮ้า’ ว่า...

เรื่องจริงที่อบอุ่นในโลกใบนี้

เดือนพฤศจิกายนปี 2014 ผู้เฒ่าเก็บขยะเดินเข้าหอสมุดเมืองหางโจว ล้างมืออย่างละเอียดเป็นเวลานาน แล้วจึงนั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ 

ผู้เฒ่าคนนี้มีชื่อว่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' (韦思浩)เป็นหนึ่งในคนเก็บขยะและคนเร่ร่อนที่ชอบอ่านหนังสือ โดยมักขอเข้ามาอ่านหนังสือ ผู้อ่านส่วนหนึ่งเคยแสดงความไม่พอใจ แต่ผู้อำนวยการหอสมุดตอบว่า “ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่ให้ใครเข้ามาอ่านหนังสือ แต่คุณมีสิทธิ์ตัดสินใจออกจากที่นี่” ดังนั้น หอสมุดหางโจวยังได้ชื่อว่า 'หอสมุดที่อบอุ่นที่สุด'

ส่วนผู้เฒ่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' ตั้งอกตั้งใจอ่านข่าวสารอย่างมากจนทุกคนต่างยกย่องให้เป็นคนเร่ร่อนที่ใฝ่หาความรู้อย่างแท้จริง พร้อมให้ฉายาว่า 'ผู้เฒ่านักอ่าน'

วันที่ 18 พฤศจิกายนปี 2015 เขาหมดลมหายใจเพราะถูกรถชนจนเสียชีวิต เมื่อเขาตาย เรื่องราวชีวิตของเขาก็ถูกเปิดเผย ความลับนี้ทำให้ผู้คนตะลึงและเสียน้ำตาไปตามๆกัน 

ประวัติของเขาจบมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ปี 1960 ก่อนเกษียณอายุเป็นอาจารย์สอนใน รร.มัธยม ยังชีพด้วยเงินบำนาญไม่มากมายนัก และเขาก็เก็บขยะประทังชีวิตไปวัน ๆ ..

เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของเขา ล้วนไม่มีราคาค่างวดอะไร.. แต่กลับพบใบอนุโมทนาบัตร ที่บริจาคเงินเพื่อทุนการศึกษา ซึ่งเขาเก็บไว้จนกระดาษเก่ากลายเป็นสีเหลืองซีด และไปรษณียบัตรที่ส่งมาจากที่ต่าง ๆ ลงชื่อของผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาจากเขา แจ้งผลการเรียนทุกเทอมกลับมาให้เขาทราบทุกฉบับ 

แท้จริง .. ผู้เฒ่าต้องการประหยัด กินน้อย-ใช้น้อย มอบเงินที่มีอยู่ทั้งหมด พร้อมกับเงินบำนาญอันน้อยนิด บริจาคให้นักเรียนยากจน โดยไม่ยอมแม้แต่จะใช้ชื่อจริง เขาใส่ใจบรรดาเด็กๆที่ส่งเสียให้เรียน และเด็กที่ได้รับทุนทุกคนก็ไม่รู้ว่าผู้ส่งเสียให้เรียนยากจนข้นแค้นแค่ไหน เพราะผู้เฒ่าใช้ชื่อปลอม ปกปิดชื่อจริงในการให้ทุนมาตลอด ..

ชั่วชีวิต ผู้เฒ่ามีแต่ความเรียบง่าย อยู่อย่างประหยัดมัธยัสถ์ นอนเตียงไม้ 1 หลัง เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ไม่มีเลย, เมื่อ 10 ปีก่อน ก็ได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อว่าตายไป อวัยวะส่วนไหนพอจะนำไปช่วยคนได้ เขาจะดีใจมากที่สุด 

ปี 1953 เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเจ้อเจียง หลังจบการศึกษาเป็นครูสอนมัธยมปลายของโรงเรียนเฉาหยางเมืองหางโจว เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมาก ที่บ้านมีแต่ตู้เก็บหนังสือ เตียงนอน นอกจากนั้น ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่น 

เหล่าลูกสาวของเขากล่าวว่า อาหารการกินของพ่อก็ง่าย ๆ กินอิ่มก็พอ ใช้เงินประหยัดมาก ๆ หรือกล่าวได้ว่าขี้เหนียวเลย

หลังเกษียณอายุแล้ว เขามีเงินบำนาญเดือนละ 5,600 หยวน ตามแนวปกติก็จะใช้ชีวิตได้อย่างสบาย เลี้ยงนกหรือปลูกดอกไม้ที่บ้าน ไปเล่นหมากรุกในสวนสาธารณะ 

แต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะไปเก็บเศษขยะ ลูกสาวและนักเรียนเก่าของเขาล้วนไม่เข้าใจ แต่ไม่มีใครสามารถบอกให้เขายอมกลับไปพักที่บ้าน 

หลังเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ลูกสาวของเขาไปจัดเก็บของเก่าด้วยอารมณ์เศร้า แต่พบความลับที่สะเทือนใจ มรดกของเขามีกล่องเหล็กอันหนึ่ง ข้างในเก็บใบโอนเงินที่เก่าจนกระดาษเป็นสีเหลืองซีดปึกใหญ่และจดหมายหลายฉบับ แต่ลายเซ็นด้านบนเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคย 'เว่ย ติงจ้าว'

'เว่ย ติงจ้าว' เป็นใคร มีความผูกพันกับพ่ออย่างไร บรรดาลูกสาวของเขาเริ่มค้นหาตามข้อมูล จึงได้รู้ความจริง ปรากฏว่าในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา พ่ออุบเรื่องหนึ่งไว้ไม่บอกพวกเธอ

ตั้งแต่ทศวรรษปี 1900 พ่อก็ใช้ชื่อ 'เว่ย ติงจ้าว' ในระหว่างช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจนที่ไม่รู้จัก เริ่มตั้งแต่หลายสิบหยวนจนถึงหลายพันหยวน การใช้เงินเพื่อการนี้ พ่อไม่เคยประหยัดเลย 

เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่อ 'หลัน เยี้ยนเยี่ยน' ได้เขียนจดหมายว่า “ขอบคุณความช่วยเหลือของคุณปู่ ที่ทำให้ฉันสมหวังเรียนหนังสือในโรงเรียน” จดหมายแบบนี้มีจำนวนมาก 

จนถึงเวลานี้ เพื่อนๆ และนักเรียนของเขาจึงได้รู้ว่า ผู้เฒ่าที่ขี้เหนียวคนนี้ ใช้เงินเดือนของตนไปช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ยากจน ถึงแม้เกษียณอายุแล้ว ก็ยังขยันไปเก็บเศษขยะ เพื่อได้เงินช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น 

นอกจากนั้น เมื่อ 10 ปีก่อน พ่อได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อว่าตายไป อวัยวะส่วนไหนพอจะนำไปช่วยคนได้ เขาจะดีใจมากที่สุด 

เมื่อความจริงประจักษ์เช่นนี้ ลูกสาวสามคนพากันน้ำตาแตกเหมือนสายฝน นี่เป็นพ่อที่น่าเคารพมาก ๆ เสียดายที่แต่ก่อนไม่รู้เรื่องราวของพ่อ จึงไม่ได้สนับสนุนพ่อ 

ปี 2018 ชาวเน็ตจีนบริจาคเงินทำรูปปั้นของผู้เฒ่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' แล้วนำไปตั้งที่หอสมุดหางโจว ผู้ที่เคยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากคุณปู่ 'เหว่ย ซือเฮ้า' พากันเดินทางจากท้องที่ต่างๆ มาร่วมงาน พวกเขาน้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้คร่ำครวญ และทำความเคารพอย่างนอบน้อมที่สุด

ททท. ผนึก สตาร์ดรีมครูซ นำเรือสำราญ ‘Star Voyager’ ปักหมุดให้บริการขึ้นลงที่ไทยเป็นครั้งแรก

เมื่อวานนี้ ​(22 เม.ย.68) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ StarDream Cruises ส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวโดยเรือสำราญ ซึ่งถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ และมีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง นำเรือสำราญ Star Voyager ซึ่งมีความจุผู้โดยสารราว 1,940 คน มาให้บริการ โดยเลือกประเทศไทยเป็นจุดขึ้นลง (Home Port) เป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 22 เมษายน-12 พฤษภาคม 2568 โดยให้บริการในเส้นทางท่าเรือแหลมฉบัง-เกาะสมุย-สิงคโปร์-แหลมฉบัง 2 ครั้ง (Calls) ในวันที่ 22-27 เมษายน และ 7-12 พฤษภาคม 2568

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. เปิดเผยว่า การที่แบรนด์เรือสำราญ StarDream Cruises ได้ตกลงนำเรือเข้ามาให้บริการขึ้นลงที่ประเทศไทยครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่าง ททท. และผู้ประกอบการท่องเที่ยวเรือสำราญแบรนด์ระดับโลก ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเรือสำราญในประเทศไทย ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล สะท้อนถึงการทำงานร่วมกันอย่างเหนียวแน่นของพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดกิจกรรมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมรับประสบการณ์พิเศษไปกับเรือ Star Voyager ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการที่จะนำเสนอศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวโดยเรือสำราญในภูมิภาค และสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวผ่านการนำเสนอเสน่ห์วัฒนธรรมไทย แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม และการต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีของคนไทย

นายไมเคิล โก๊ะ ประธานบริษัท StarDream Cruises กล่าวว่า มีความยินดีและตื่นเต้นอย่างมากกับการนำเรือสำราญ Star Voyager มาขึ้นลงที่ Home port ของประเทศไทยในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ของ Star Cruises ที่กรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อ StarDream Cruises ด้วย และการเปิดตัวครั้งนี้ ยังถือเป็นก้าวสำคัญของความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเรือสำราญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตต่อไป

นอกจากนี้ ในวันที่ 22 เมษายน 2568 ททท. ยังได้ร่วมจัดกิจกรรมต้อนรับนักท่องเที่ยวในเที่ยวแรก ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี นำเสนอสีสันความสนุกสนานแบบไทย เช่น การแสดงกลองยาว และการแสดงจาก Alcazar Cabaret Show และมอบของที่ระลึกสุดพิเศษเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึงยังมีการจัดกิจกรรมสาธิตเพื่อสร้างการรับรู้เสน่ห์ไทย ให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมทำกิจกรรมบนเรือ เช่น การสาธิตระบายลวดลายบนร่มบ่อสร้างอย่างประณีต การทำบุหงาร่ำหรือถุงหอมสมุนไพรที่เคยใช้ในราชสำนักไทย และการแสดงฟ้อนรำไทยอันอ่อนช้อยที่สะท้อนรากเหง้าศิลปะชั้นสูงของไทย โดยกิจกรรมทั้งหมดจัดขึ้นภายใต้แนวคิด '5 Must Do in Thailand' ประกอบด้วย Must Taste, Must Try, Must Buy, Must Seek และ Must See ซึ่งมุ่งสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ทรงคุณค่าในประเทศไทยให้แก่นักท่องเที่ยวเรือสำราญในโอกาสปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง

สำหรับ StarCruises ถือเป็นแบรนด์เรือสำราญที่มีประสบการณ์ให้บริการการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญเชื่อมโยงในภูมิภาคเอเชียมากว่า 30 ปี ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน อินเดีย ไต้หวันและฮ่องกง ปัจจุบันได้รีแบรนด์ภายใต้ชื่อใหม่คือ StarDream Cruises และเปิดตัวแบรนด์อีกครั้งด้วยการนำเรือ Star Voyager ให้บริการเที่ยวปฐมฤกษ์แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ขึ้นลงที่ไทยเป็นครั้งแรก ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เส้นทางแหลมฉบัง-เกาะสมุย-สิงคโปร์-แหลมฉบัง ระยะเวลา 6 วัน 5 คืน โดยจะให้บริการ 2 เที่ยว (Calls) คือวันที่ 22-27 เมษายน และ 7-12 พฤษภาคม 2568 ภายในเรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน การให้บริการแบบพรีเมียมตลอด 24 ชั่วโมง มีกิจกรรมที่สร้างประสบการณ์ความสนุกสนานและท้าทาย เช่น การปีนผา ซิปไลน์ รวมถึงการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก ททท. นำการแสดงจาก Alcazar Cabaret Show จากพัทยา ชลบุรี มาสร้างสีสันในการต้อนรับนักท่องเที่ยว และสร้างความสนุกสนานบนเรือ เพื่อนำเสนอไฮไลต์การท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรีด้วย   

ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญอย่างมาก เนื่องจากความหลากหลายของสินค้าและบริการการท่องเที่ยว จากข้อมูลสถิติของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) พบว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับเรือสำราญถึง 162 เที่ยว มีผู้โดยสารทั้งหมด 379,036 คน และลูกเรือ 163,331 คน สร้างรายได้เข้าไทยถึง 1.89 พันล้านบาท มีการเติบโตมากกว่าปี 2566 ร้อยละ 6.9 และมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน ท่าเรือที่รองรับเรือสำราญมากที่สุดตามลำดับ ได้แก่ 1) อ่าวป่าตอง จังหวัดภูเก็ต 2) ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี 3) เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 4) ท่าเรือน้ำลึก จังหวัดภูเก็ต และ 5) ท่าเรือศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยนักท่องเที่ยวที่มากับเรือสำราญส่วนใหญ่มาจากประเทศสิงคโปร์ สหราชอาณาจักร มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี ตามลำดับ

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#13 'จีน' พันธมิตรสำคัญของเวียตนามเหนือ

สงครามเวียตนามเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางของโลกในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 แม้ว่าจะเป็นความขัดแย้งระดับภูมิภาคที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรอินโดจีน แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจเหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'จีน' ซึ่งมีบทบาทสำคัญในสงครามเวียตนาม โดยจีนให้การสนับสนุนทางการทหารแก่เวียตนามเหนือในการสู้รบกับเวียตนามใต้และสหรัฐฯ ในสงครามเวียตนาม

เดือนตุลาคม 1949 สาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ได้ก่อตั้งขึ้น และเดือนมกราคม 1950 สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียตนาม (DRV) ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการโดยสาธารณรัฐประชาชนจีน สิ่งนี้เปลี่ยนสถานการณ์ในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งกับเวียตมินห์ และส่งผลโดยตรงต่อสงครามเวียตนามในเวลาต่อมา รัฐบาลจีนภายใต้การบริหารของเหมาเจ๋อตุงมีบทบาทสำคัญในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง ในเดือนเมษายน 1950 เวียตมินห์ได้ร้องขอความช่วยเหลือทางทหารจากจีนอย่างเป็นทางการรวมทั้งอุปกรณ์ที่ปรึกษาและการฝึกอบรม จีนเริ่มส่งที่ปรึกษาของตนและต่อมาได้จัดตั้งคณะที่ปรึกษาทางทหารของจีน (CMAG) เพื่อช่วยเหลือเวียตมินห์ ซึ่งนำโดยนายพลเว่ยกัวชิง กับพลเอกอาวุโสเฉินเกิง นี่คือจุดเริ่มต้นของความช่วยเหลือของจีน

ตลอดช่วงทศวรรษ 1950 และช่วงส่วนใหญ่ของทศวรรษ 1960 เหมาเจ๋อตุงเหมาถือว่าสหรัฐอเมริกาเป็นภัยคุกคามหลักต่อความมั่นคงและการปฏิวัติของจีน และอินโดจีนถือเป็นหนึ่งในสามแนวรบ (อีกสองแนวรบคือ เกาหลี และไต้หวัน) ซึ่งเหมาเจ๋อตุงมองว่า เสี่ยงต่อการรุกรานโดยประเทศจักรวรรดินิยม  ดังนั้นการสนับสนุนโฮจิมินห์ของเหมาเจ๋อตุง จึงเริ่มต้นด้วยความกังวลด้านความมั่นคงของจีน ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหภาพโซเวียตเสื่อมถอยลงในปี 1968 สภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ของจีนเปลี่ยนไปเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหภาพโซเวียตเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากความขัดแย้งชายแดนจีน-โซเวียตในเดือนมีนาคม 1969 เหมาเจ๋อตุงได้กล่าวว่า สหภาพโซเวียตเป็นภัยคุกคามหลักต่อความมั่นคงแห่งชาติของจีน จากนั้นได้เริ่มปรับนโยบายของจีนให้เข้ากับสหรัฐฯ และสนับสนุนให้เวียตนามเหนือบรรลุข้อตกลงสันติภาพ อย่างเด็ดขาด เมื่อจีนพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับอเมริกา “เวียดนามเหนือยังคงต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างสิ้นหวังกับอเมริกา” ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเวียตนามเหนือ และทำให้จีนลดความช่วยเหลือทางทหารต่อเวียดนามเหนือลงตั้งแต่ช่วงปี 1969-1970 เป็นต้นมา

การสนับสนุนของจีนสำหรับเวียตนามเหนือเมื่อสหรัฐฯ เริ่มเข้าแทรกแซงในเวียตนาม รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน และบทบาทในการสนับสนุนการฝึกอบรมบุคลากรทางทหารหลายแสนคน ฤดูร้อนปี 1962 เหมาเจ๋อตงได้ตกลงที่จะจัดหาอาวุธปืนจำนวน 90,000 กระบอกให้กับเวียตนามเหนือโดยเป็นการให้เปล่า ต่อมาในปี 1965 จีนส่งหน่วยต่อสู้อากาศยานและกองพันวิศวกรรมไปยังเวียตนามเหนือเพื่อซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากการทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ ทหารจีนสร้างถนนและทางรถไฟขึ้นมาเพื่อสนับสนุนกองทัพเวียตนามเหนือสำหรับการสู้รบในเวียตนามใต้ จีนส่งกองกำลัง 320,000 นาย และส่งอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่าปีละ 180 ล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 1964 ถึง 1975 จีนได้มอบความช่วยเหลือทางทหารให้กับเวียดนามเหนือประกอบด้วย อาวุธปืนเล็ก 1,922,897 กระบอก ปืนใหญ่ 64,529 กระบอก กระสุนปืนเล็ก 1,048,207,000 นัด กระสุนปืนใหญ่ 17,074,000 นัด เครื่องรับ-ส่งวิทยุ 30,808 เครื่อง โทรศัพท์สนาม 48,922 เครื่อง รถถัง 560 คัน เครื่องบินรบ 164 ลำ ยานยนต์ 15,771 คัน กองกำลังจีนชุดสุดท้ายถอนตัวออกจากเวียตนามเหนือในเดือนสิงหาคม 1973 โดยทหารจีน 1,100 นายเสียชีวิต และบาดเจ็บอีก 4,200 นาย

ทั้งนี้กองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้อ้างว่า ระหว่างสงครามเวียตนามกองกำลังต่อสู้อากาศยานของจีนสามารถสร้างความสูญเสียแก่กองกำลังทางอากาศของสหรัฐฯ มากถึง 38% ในปี 1967 รัฐบาลจีนได้เปิดตัวโครงการลับทางทหาร "โครงการ 523" ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อหาทางรักษาโรคมาลาเรียเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่กองกำลังเวียตนามเหนือ (PAVN) ซึ่งได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคมาลาเรีย เป็นผลให้ Tu Youyou นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนและทีมงานค้นพบ Artemisinin TU สำหรับการรักษาโรคมาลาเรีย จนได้รับรางวัลโนเบลในปี 2015 นอกจากเวียตนามเหนือแล้ว จีนยังได้ให้การสนับสนุนเขมรแดงเพื่อเป็นการถ่วงดุลกับเวียตนามเหนือ โดย จีนได้มอบอาวุธยุทโธปกรณ์และให้การฝึกฝนทางทหารแก่เขมรแดงในช่วงสงครามกลางเมือง และยังคงช่วยเหลือต่อเนื่องมาอีกเป็นเวลาหลายปีหลังจากนั้น เขมรแดงได้เปิดฉากโจมตีเวียตนามอย่างดุเดือดในปี 1975-1978 และเมื่อเวียตนามตอบโต้ด้วยการบุกโค่นรัฐบาลเขมรแดง จีนก็ได้เปิดตัวบุกเวียตนามในปี 1979

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

ตำนานส่งลูกผูกใจของตระกูล'พัธโนทัย' ย้อนไปปี 1965 ช่วงต้นสถาปนา 'สาธารณรัฐประชาชนจีน'

ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ มีบ้านหลังหนึ่งที่ชื่อว่า 'บ้านสิรินทร์' เจ้าของบ้านหลังนี้คือ สิรินทร์ พัธโนทัย ซึ่งมีชื่อภาษาจีนว่า ฉางหยวน หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน

ย้อนไปเมื่อปี 1956 ช่วงต้นสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน สังข์ พัธโนทัย ผู้เป็นบิดาเคยส่งตัวสิรินทร์ในวัย 8 ปีพร้อม ‘วรรณไว พัธโนทัย’ พี่ชายวัย 12 ปีไปอยู่ภายใต้การดูแลของอดีตนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลในฐานะบุตรบุญธรรม เพื่อแสดงความจริงใจและมิตรภาพที่มีต่อจีน

ครอบครัวของฉางหยวนมีบทบาทพิเศษต่อการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน และด้วยเหตุนี้ตระกูลพัธโนทัยจึงมีสายใยผูกพันกับจีนอย่างแยกไม่ขาด

สิรินทร์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่าตลอด 14 ปีที่เธอเติบโตในประเทศจีน เธอรู้สึกประทับใจที่ได้เป็นหนึ่งในบุตรบุญธรรมของโจวเอินไหล และได้รับความรักเฉกเช่นคนในครอบครัว ปัจจุบัน สิรินทร์ยังคงใช้ภาษาจีนสื่อสารกับบุตรหลาน และบุตรหลานของเธอก็พูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว

กระทั่งปี 1975 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้นได้ลงนามสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับโจวเอินไหล นับเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนอย่างเป็นทางการ

‘ทรัมป์’ เปลี่ยนท่าที เตรียมลดภาษีนำเข้าจีน ยอมรับไม่อยากให้สงครามการค้ายืดเยื้อ

(23 เม.ย.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ว่า สหรัฐฯ เตรียมลดเพดานภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจากระดับสูงสุด 145% พร้อมยอมรับว่าไม่ต้องการให้สงครามการค้าระหว่างสองชาติเศรษฐกิจยืดเยื้อ โดยระบุว่า “จะไม่เล่นไม้แข็ง” และต้องการให้เกิดข้อตกลงที่เป็นธรรม

ด้าน รัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ ระบุว่าการเจรจากับจีนจะเป็นเรื่องท้าทาย แต่คาดว่าความตึงเครียดจะผ่อนคลาย ขณะที่ทรัมป์ยืนยันจะลดภาษีลง “อย่างมาก” แม้ไม่ถึงขั้นเป็นศูนย์ แต่จะอยู่ในระดับที่จีนสามารถยอมรับได้ โดยเขาและทีมจะร่วมกันพิจารณารายละเอียดด้วยตนเอง

ขณะเดียวกัน รศ.ดร. อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Aksornsri Phanishsarn' เมื่อ 23 เม.ย. ชี้ว่า ทรัมป์เริ่มถูกเมินหนักจากจีน จึงเริ่ม 'อ่อย' ด้วยท่าทีอ่อนลง พร้อมระบุว่า “ทรัมป์บอกจะ Very Nice กับจีนจ้า”

ทั้งนี้ ทรัมป์ยังเปลี่ยนท่าทีต่อเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด โดยยืนยันว่า “ไม่เคยคิดจะปลด” แม้เพิ่งวิจารณ์เรื่องการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยล่าช้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top