Tuesday, 29 April 2025
ค้นหา พบ 47725 ที่เกี่ยวข้อง

จีน-เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น จับมือร่วมต้านแรงกดดันภาษีทรัมป์ เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ไม่ยอมถูกบีบจากมาตรการการค้าสหรัฐฯ

(2 เม.ย. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ประเทศจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จับมือกันในด้านเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการเก็บภาษีศุลกากรที่มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นได้เริ่มเจรจาเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า โดยมีเป้าหมายในการลดผลกระทบจากภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการส่งออก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจทั้งสามประเทศ

ทั้งสามประเทศประกาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า พวกเขาตกลงที่จะเร่งการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีไตรภาคีและเพิ่มความร่วมมือในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานและการควบคุมการส่งออก ตามที่กระทรวงพาณิชย์ของจีนเปิดเผย

การเจรจาครั้งนี้คาดว่าจะครอบคลุมหลายด้าน เช่น การพัฒนาความร่วมมือในเทคโนโลยีขั้นสูง การสร้างเครือข่ายการค้าทั่วภูมิภาค และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการเงินและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาการตลาดของสหรัฐฯ ที่มีความผันผวน

นโยบายการเก็บภาษีสินค้าส่งออกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทำให้หลายประเทศในเอเชียตื่นตัว และเริ่มมองหากลยุทธ์ใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพทางการค้าและลดความเสี่ยงจากการขึ้นภาษี ซึ่งมีผลกระทบต่อการผลิตในหลายภาคส่วน

จีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีศุลกากรและกำหนดข้อจำกัดทางการค้ากับสินค้าจีน ในขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างก็มีการส่งออกสินค้าหลายประเภทไปยังสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน

การรวมตัวครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับทั้งสามประเทศในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยเฉพาะในกรอบการค้าเอเชียแปซิฟิก โดยการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจอาจช่วยให้สามประเทศนี้สามารถตอบโต้ผลกระทบจากนโยบายการค้าและเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ

ลู่ ฮ่าว นักวิจัยจากสถาบันญี่ปุ่นศึกษาแห่งสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่าความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดระหว่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นความจริงที่ชัดเจน ความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะกดดันให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ “ลดความเสี่ยง” หรือแยกตัวจากจีนนั้นไม่น่าจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง

“นโยบายของทำเนียบขาวเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้พันธมิตรในเอเชียของวอชิงตัน โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เกิดความกังวลมากขึ้น” ลู่กล่าว และเสริมว่าทั้งสองประเทศควรกลับมาสู่เส้นทางของการเสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาคและปรับปรุงการมีส่วนร่วมกับจีน เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากสหรัฐฯ

สำหรับการเจรจายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น โดยมีความคาดหวังว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยลดผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และขยายฐานเศรษฐกิจในภูมิภาคให้มีความหลากหลายและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณถึงการปรับตัวของสามประเทศในเอเชียที่มีเศรษฐกิจใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อตอบโต้การเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมการค้าระหว่างประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว

มินนี่ (G)I-DLE บริจาค 2.3 ล้านบาท ช่วยฟื้นฟูแผ่นดินไหวในไทย-เมียนมา

สำนักข่าวเกาหลี Star News รายงานว่า มินนี่ (G)I-DLE หรือ มินนี่ ณิชา ยนตรรักษ์ ศิลปินไทยชื่อดัง ได้บริจาคเงินจำนวน 100 ล้านวอน (ราว 2.3 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือและฟื้นฟูความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นใน เมียนมาและประเทศไทย

แผ่นดินไหวดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลายพื้นที่ในเมียนมาและภาคเหนือของไทย มีประชาชนได้รับผลกระทบจำนวนมาก บ้านเรือนเสียหาย และความช่วยเหลือยังคงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน

การบริจาคของ มินนี่ ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากแฟนๆ และประชาชนทั่วไป โดยเธอถือเป็นศิลปินที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดบิวต์ในวงการบันเทิงเกาหลี โดยก่อนหน้านี้เธอได้ บริจาคเงิน 100 ล้านวอน ให้กับสภากาชาดเกาหลีเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูจาก เหตุไฟป่าครั้งใหญ่ในเกาหลี และยังเคย บริจาคเงิน 20 ล้านวอน ให้กับการฟื้นฟูจาก เหตุการณ์แผ่นดินไหวในตุรกี-ซีเรีย เมื่อปี 2023 อีกด้วย

ด้านแฟนคลับของมินนี่ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ต่างร่วมกันแสดงความชื่นชมและขอบคุณในความมีน้ำใจของเธอ พร้อมติดแฮชแท็กสนับสนุนในโลกออนไลน์ #MINNIE #GIDLE #PrayForMyanmarAndThailand

3 เมษายน พ.ศ. 2516 โทรศัพท์มือถือเครื่องแรกถูกผลิตขึ้น โดย ‘มาร์ติน คูเปอร์’ วิศวกรของ Motorola

ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือ (mobile or cell phone) คือ อุปกรณ์สำคัญในชีวิตประจำวันของคนทั่วโลก ซึ่งบางคนแทบจะขาดอุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่ได้เลย

แต่รู้หรือไม่ว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องแรกถูกผลิตขึ้น โดย มาร์ติน คูเปอร์ (Martin Cooper) วิศวกรและผู้จัดการทั่วไปของบริษัท โมโตโตลา (Motorola) มาตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973)

คูเปอร์ ได้ทดลองใช้โทรศัพท์มือถือโมโตโรลา DynaTAC ซึ่งเป็นต้นแบบ โทรไปหา โจเอล เอ็งเจล (Joel Engel) หัวหน้านักวิจัยของบริษัท AT&T และ Bell Labs ก่อนที่โทรศัพท์มือถือ Motorola DynaTAC 8000X จะออกวางจำหน่ายในปี 2526 

ไดนาแทค ของ คูเปอร์ จึงเป็นโทรศัพท์มือถือที่ปฏิวัติโลกแห่งการสื่อสารในยุคนั้น

‘ทรัมป์’ งัดมาตรการขั้นเด็ดขาด ประกาศภาษีนำเข้าใหม่ ไทยโดน 36% สูงสุดลำดับต้นๆ ของโลก กระทบหนักอุตสาหกรรมส่งออก

​(3 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการทางการค้าที่สำคัญ โดยกำหนดให้มีการเก็บ “ภาษีพื้นฐาน” (baseline tariff) ในอัตรา 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากทุกประเทศ มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00:01 น. ของวันเสาร์ที่ 5 เมษายน ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ

“ในความเห็นของผม นี่เป็นหนึ่งในวันที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา” ทรัมป์กล่าว เป็นเวลาหลายทศวรรษที่อเมริกาถูก “ปล้นสะดม ข่มขืน” โดยคู่ค้าทางการค้า “ในหลายๆ กรณี มิตรนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าศัตรู”

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติมที่เรียกว่า “ภาษีตอบโต้” (reciprocal tariffs) ต่อประเทศที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลทางการค้า โดยภาษีเหล่านี้จะมีอัตราที่สูงขึ้นและจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน เป็นต้นไป ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปจะถูกเก็บภาษีที่อัตรา 20% ญี่ปุ่นที่ 24% และจีนที่ 34%

สำหรับประเทศไทย สินค้านำเข้าจะถูกเก็บภาษีที่อัตรา 36% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดที่กำหนดในมาตรการนี้

ทรัมป์ระบุว่ามาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและลดการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเตือนว่ามาตรการดังกล่าวอาจส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้นและอาจกระตุ้นให้เกิดสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้า

อัตราภาษีนำเข้าตามประเทศ
-10%: สหราชอาณาจักร, บราซิล, สิงคโปร์, ชิลี, ออสเตรเลีย, ตุรกี, โคลัมเบีย, เปรู, คอสตาริกา, โดมินิกัน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, นิวซีแลนด์, อาร์เจนตินา, เอกวาดอร์, กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส, อียิปต์, ซาอุดีอาระเบีย, เอลซัลวาดอร์, ตรินิแดดและโตเบโก, โมร็อกโก
- 15%: นอร์เวย์
- 17%: อิสราเอล, ฟิลิปปินส์
- 18%: นิการากัว
- 20%: สหภาพยุโรป, จอร์แดน
- 21%: โกตดิวัวร์
- 24%: ญี่ปุ่น, มาเลเซีย
- 25%: เกาหลีใต้
- 26%: อินเดีย
- 27%: คาซัคสถาน
- 28%: ตูนิเซีย
- 29%: ปากีสถาน
- 30%: แอฟริกาใต้
- 31%: สวิตเซอร์แลนด์
- 32%: ไต้หวัน, อินโดนีเซีย
- 34%: จีน
- 36%: ไทย
- 37%: บังกลาเทศ, เซอร์เบีย, บอตสวานา
- 44%: ศรีลังกา, เมียนมา
- 46%: เวียดนาม
- 47%: มาดากัสการ์
- 48%: ลาว
- 49%: กัมพูชา

ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยืนยันว่า นโยบายนี้มุ่งหวังให้ ธุรกิจสหรัฐฯ ได้เปรียบในการแข่งขัน และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภาคการผลิตภายในประเทศ แต่มีการคาดการณ์กันว่าหลายประเทศอาจหันไปทำข้อตกลงการค้าใหม่กับประเทศอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ นอกจากนี้ องค์การการค้าโลก (WTO) อาจเข้ามาเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยหากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top