Monday, 9 June 2025
ค้นหา พบ 48681 ที่เกี่ยวข้อง

10 มีนาคม พ.ศ. 2539 พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

วันนี้เมื่อ 29 ปีก่อน วันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ‘สมเด็จย่า’ ของปวงชนชาวไทย ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 มีพระนามเดิมว่า สังวาล ตะละภัฏ ทรงเป็นพระชายาในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเป็นพระอัยยิกาในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10

ตลอดพระชนม์ชีพ สมเด็จย่า ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนชาวไทยอย่างมากมาย อาทิ ทรงให้การอุปถัมภ์ราษฎรชาวไทยภูเขาที่อาศัยในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้มีอาชีพ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี จนเป็นที่มาของ ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง’ นอกจากนี้ยังทรงเป็นแบบอย่างของความพอเพียง ทรงสอนพระโอรสและพระธิดา ให้รู้จัก ‘การให้’ มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์

โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า ‘กระป๋องคนจน’ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก ‘เก็บภาษี’ หยอดใส่กระปุกนี้ 10% และทุกสิ้นเดือน สมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อตรัสว่า จะนำเงินในกระป๋องไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพระประชวร โดยมีพระอาการทางพระหทัยกำเริบและทรงเหนื่อยอ่อน โดยเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2538 จนกระทั่งในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ทรงมีพระอาการทรุดลง เนื่องด้วยมีพระอาการแทรกซ้อนทางพระยกนะ (ตับ) และพระวักกะ (ไต) ไม่ทำงาน พระหทัย (หัวใจ) ทำงานไม่ปกติ ความดันพระโลหิตต่ำทำให้เกิดภาวะเป็นกรดในพระโลหิต

คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาความผิดปกติของระบบต่าง ๆ แต่พระอาการคงอยู่ในภาวะวิกฤต จนเมื่อเวลา 21.17 น. สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคต สิริพระชนมายุ 94 พรรษา ต่อมาจึงมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2539 ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง

9 มีนาคม พ.ศ. 2459 วันเกิด ‘ป๋วย อึ๊งภากรณ์’ ผู้ที่ยูเนสโกยกเป็นบุคคลสำคัญของโลก

9 มีนาคม 2459 วันเกิด 'ป๋วย อึ๊งภากรณ์' นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญ อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ผู้ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็น บุคคลสำคัญของโลก เมื่อปี 2558

ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นที่รู้จักกันดีใน ฐานะนักเศรษฐศาสตร์สำคัญของประเทศไทย อดีตเคยเป็นทั้งอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเคยเป็นสมาชิกของขบวนการเสรีไทย

ขณะที่บทบาททางการเมืองนั้น มีส่วนสำคัญในเหตุการณ์ทางการเมือง 'ตุลาคม' ทั้งปี 2516 และ 2519 โดยแสดงความกล้าหาญ ในการส่งจดหมายในนาม 'นายเข้ม เย็นยิ่ง' ถึงจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับสังคม จุดประกายสำคัญๆให้กับขบวนการ 14 ตุลาคม 2516 

ทั้งนี้ สเตฟาน คอลินยองส์ (Stefan Collingnon) นักวิชาการร่วมสมัยชาวเยอรมัน ได้กล่าวยกย่อง ดร.ป๋วยว่าเป็น 'บิดาของเมืองไทยสมัยใหม่' (Founding Father of Modern Thailand) ในฐานะผู้วางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย

นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2508 ดร.ป๋วย ได้รับ รางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ และได้รับการยกย่องจาก องค์กรยูเนสโกให้เป็น บุคคลสำคัญของโลก ในปี พ.ศ. 2558

เปิดประวัติ 'ป๋วย  อึ๊งภากรณ์' 

ดร.ป๋วย เกิดวันที่ 9 มีนาคม 2459 ที่ตลาดน้อย เขตสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพฯ บิดาชื่อ นายซา เป็นชาวจีนอพยพ มารดาชื่อ นางเซาะเซ้ง สำเร็จการศึกษาแผนกภาษาฝรั่งเศส จากโรงเรียนอัสสัมชัญ พระนคร ในปี พ.ศ. 2476 และได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูสอนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ระหว่างนั้นก็ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง และในปี 2480 ได้ปริญญา ธรรมศาสตรบัณฑิต 

ดร.ป๋วย เริ่มเป็นล่ามให้แก่อาจารย์ฝรั่งเศส ในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จนได้สอบแข่งขันจนได้รับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อทางเศรษฐศาสตร์และการคลังที่ ลอนดอน สคูล ออฟ อีโคโนมิกส์ ของมหาวิทยาลัยลอนดอนประเทศอังกฤษจนจบปริญญาเอก

ในช่วงที่ศึกษาที่อังกฤษนี้เอง ที่ ดร.ป๋วย ได้เข้าร่วมขบวนการเสรีไทยกับคนไทยในอังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (ขบวนการเสรีไทยจัดตั้งขึ้นใน 3 ประเทศ คือ ประเทศไทย ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอังกฤษ) โดยมี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในประเทศไทย และดร.ป๋วย เคยเข้ามาปฏิบัติงานในประเทศไทยหลายครั้งแบบเป็นความลับ 

เส้นทางงานด้านเศรษฐกิจ  

ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ เข้ารับราชการในกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เมื่อปีพ.ศ. 2492  และอีก 4 ปีต่อมาได้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของสภาพเศรษฐกิจแห่งชาติ  และได้ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ 7 เดือน ก่อนถูกปลดจากเพราะเหตุการณ์ทางการเมือง 

กระทั่งปีพ.ศ. 2499 ดร.ป๋วย ได้เข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการคลัง ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในอังกฤษระหว่างนี้ได้มีส่วนช่วยให้ไทยขายดีบุกและยางพาราแก่อังกฤษและประเทศในยุโรปได้มากขึ้น เมื่อไทยได้เข้าเป็นสมาชิกสภาดีบุกระหว่างประเทศ ดร.ป๋วย ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนไทย ได้รับเลือกเป็นประธานสภาดีบุกระหว่างประเทศ

กระในเวลาต่อมา ดร.ป๋วย ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง ในปลายปี 2502 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดำรงตำแหน่งยาวนาน ถึง 12 ปี 

ผลงานของ ดร.ป๋วย ในขณะเป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติ ถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงแก่ระบบธนาคารพาณิชย์ โดยสามารถรักษาเสถียรภาพเงินตราทำให้เงินบาทได้รับความเชื่อถือทั้งในและนอกประเทศอย่างมาก

'ป๋วย อึ้งภากรณ์' วางรากฐานการศึกษา

ดร. ป๋วย เข้ารับตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปีพ.ศ. 2507 โดยจะลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ถูกนายกรัฐมนตรียับยั้งไว้ ซึ่งขณะนั้นคณะเศรษฐศาสตร์ มีอาจารย์ประจำเพียง 4 คนเท่านั้น ทำให้ดร.ป๋วย ได้เริ่มมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการศึกษา โดยได้ปฏิรูปงานสำคัญ 4 ด้าน 
1. การปรับปรุงหลักสูตรปริญญาตรี 
2. การผลิตอาจารย์ 
3. เริ่มหลักสูตรปริญญาโท สอนเป็นภาษาอังกฤษ 
4. ริเริ่มโครงการบัณฑิตอาสาสมัคร

ดร.ป๋วย เร่งผลิตอาจารย์ โดยประกาศรับสมัครคนรุ่นใหม่ แล้วหาทุนส่งไปเรียนต่างประเทศ ทำให้คณะเศรษฐศาสตร์เติบโตขึ้น ภายในเวลาไม่นาน ผลงานที่เป็นรูปธรรมก็ปรากฎ จำนวนอาจารย์ประจำคณะที่มีเพียงไม่กี่คน เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีอาจารย์เพิ่มขึ้นนับร้อยในปี 2518 โดยส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาโทและเอก

จุดพลิกผันของชีวิต 

วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ดร.ป๋วย เผชิญกับเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญ เมื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถูกบุก นักศึกษาถูกสังหาร ดร.ป๋วยถูกกล่าวหาว่าเป็น 'คอมมิวนิสต์' จนต้องเดินทางออกจากประเทศไปอยู่ประเทศอังกฤษ 

ในช่วง ดร.ป๋วย อยู่นอกประเทศ ได้เดินทางไปพบคนไทยในต่างประเทศ และบุคคลสำคัญในประเทศต่างๆ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี สวีเดน เดนมาร์ก ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เพื่อให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ เหตุการณ์บ้านเมืองในประเทศไทยเวลานั้น เพื่อเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยในไทยอย่างสันติวิธี

กระทั่งปีพ.ศ. 2520 ได้เดินทางไปให้การต่อ คณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสืบพยาน เรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ 6 ตุลา

กระทั่งวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้ถึงแก่อนิจกรรมที่บ้าน ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เนื่องจากเส้นโลหิตใหญ่ในช่องท้องโป่งแตก (aortic aneurysm) สิริอายุได้ 83 ปี ทางครอบครัวได้ทำการเผาศพและบรรจุอัฐินำกลับมาเมืองไทย วันที่ 16 สิงหาคม ก่อนที่ครอบครัวอึ้งภากรณ์ นำอังคารของ ดร.ป๋วยไปลอยทะเล ส่วนอัฐิบางส่วนนำไปบรรจุที่วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร

8 มีนาคม ของทุกปี วันสตรีสากล (International Women's Day) ร่วมเฉลิมฉลองความเสมอภาคและเท่าเทียม

วันสตรีสากล (International Women's Day) ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่เหล่าสตรีจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเชื้อชาติ ศาสนา อาชีพใด จะร่วมเฉลิมฉลองความเสมอภาคที่ได้รับมา และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันในสังคมอีกด้วย

ความเป็นมาของวันสตรีสากล

ประวัติวันสตรีสากล เกิดขึ้นจากกรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้า รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้พากันลุกฮือประท้วงให้นายจ้างเพิ่มค่าจ้าง และเรียกร้องสิทธิของพวกเธอ แต่สุดท้ายกลับมีผู้หญิงถึง 119 คน ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ด้วยการที่มีคนลอบวางเพลิงเผาโรงงานที่พวกเธอนั่งชุมนุมกันอยู่ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1857 (พ.ศ. 2400)

จากนั้นในปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) กรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้าที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ทนไม่ไหวต่อการเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ ทารุณ ของนายจ้างที่ใช้งานพวกเธอเยี่ยงทาส เนื่องจากกรรมกรหญิงเหล่านี้ต้องทำงานหนักถึงวันละ 16-17 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุด ไม่มีประกันการใช้แรงงานใด ๆ เป็นผลให้เกิดการเจ็บป่วยล้มตายตามมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่กลับได้รับค่าแรงเพียงน้อยนิด และหากตั้งครรภ์ก็ถูกไล่ออก

ความอัดอั้นตันใจจึงทำให้ "คลาร่า เซทคิน" (CLARE ZETKIN) นักการเมืองสตรีสายแนวคิดสังคมนิยม ชาวเยอรมัน ตัดสินใจปลุกระดมเหล่ากรรมกรสตรีด้วยการนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1907 พร้อมกับเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานลงเหลือวันละ 8 ชั่วโมง อีกทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการทุกอย่าง และให้สตรีมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้การเรียกร้องครั้งนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีแรงงานหญิงหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ทำให้สตรีทั่วโลกสนับสนุนการกระทำของ "คลาร่า เซทคิน" และเป็นการจุดประกายให้สตรีทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงสิทธิของตัวเองมากขึ้น

ต่อมาในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1908 (พ.ศ. 2451) มีแรงงานหญิงกว่า 15,000 คน ร่วมเดินขบวนทั่วเมืองนิวยอร์ก เรียกร้องให้ยุติการใช้แรงงานเด็ก โดยมีคำขวัญการรณรงค์ว่า "ขนมปังกับดอกกุหลาบ" ซึ่งหมายถึงการได้รับอาหารที่พอเพียงพร้อม ๆ กับคุณภาพชีวิตที่ดี

จนกระทั่งในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) ความพยายามของกรรมกรสตรีกลุ่มนี้ก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อมีตัวแทนสตรีจาก 17 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยม ครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก โดยในที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี ในระบบสาม 8 คือ ยอมให้ลดเวลาทำงานเหลือวันละ 8 ชั่วโมง ให้เวลาศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองอีก 8 ชั่วโมง และอีก 8 ชั่วโมงเป็นเวลาพักผ่อน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับค่าแรงของแรงงานหญิงให้เท่าเทียมกับแรงงานชาย และยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย

ทั้งนี้ ยังได้รับรองข้อเสนอของ 'คลาร่า เซทคิน' ด้วยการกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคม ของทุกปี เป็นวันสตรีสากล

‘การบินไทย – แอร์เอเชีย’ ประกาศกฎเหล็กใหม่ ห้ามใช้หรือชาร์จ Power Bank บนเครื่องบิน

(7 มี.ค.68) ‘การบินไทย - แอร์เอเชีย’ ประกาศห้ามใช้หรือชาร์จ Power Bank บนเครื่องบิน ขณะที่หลายสายการบินทั่วโลกทยอยออกมาตรการ หลังเหตุไฟไหม้บนห้องโดยสารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ออกประกาศถึงผู้โดยสารเรื่องเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของผู้โดยสาร โดยขอแจ้งให้ทราบว่าผู้โดยสารไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หรือชาร์จพาวเวอร์แบงก์ (แบตเตอรี่สำรอง) ตลอดระยะเวลาการเดินทาง ทั้งนี้ กฎระเบียบดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี ผู้โดยสารยังคงสามารถนำ พาวเวอร์แบงก์ ขึ้นเครื่องได้ ตามความจุตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กำหนด

โดยหลักเกณฑ์การนำแบตเตอรี่สำรอง หรือ Power Bank ขึ้นเครื่องบินตามระเบียบที่ กพท.กำหนดนั้นแบตเตอรี่สำรองหรือ Power Bank ไม่สามารถนำไปในรูปแบบสัมภาระลงทะเบียนเพื่อโหลดใต้ท้องเครื่องบินได้ (Checked Baggage) เนื่องจากในระหว่างการเดินทาง แบตเตอรี่สำรอง ซึ่งมีส่วนประกอบจากลิเธียม(Lithium) อาจเกิดความร้อนสะสมจนก่อให้เกิดเพลิงไหม้หรือระเบิดได้

ขณะที่ผู้โดยสารจะต้องนำแบตเตอรี่สำรองไปในรูปแบบสัมภาระติดตัวขึ้นเครื่อง (Carry On) โดยองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) และสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association: IATA) ได้กำหนดขนาดความจุของแบตเตอรี่สำรองที่นำติดตัวขึ้นเครื่องได้ คือ

- หากแบตเตอรี่สำรองมีขนาดความจุ ไม่เกิน 100 Wh (Watt-Hour) หรือ 20,000 mAh (milli ampere-hour) ผู้โดยสารสามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องได้คนละไม่เกิน 20 ชิ้น

- หากขนาดความจุเกิน 100 Wh (Watt-Hour) หรือ 20,000 mAh แต่ไม่เกิน 160 Wh (Watt-Hour) หรือ 32,000 ผู้โดยสารสามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องได้คนละไม่เกิน 2 ชิ้น

- แต่ถ้าขนาดความจุเกิน 160 Wh (Watt-Hour) หรือ 32,000 mAh จะไม่สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ในทุกกรณี

ทั้งนี้ กพท.และสายการบินของไทย ยังใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรฐานและคำแนะนำของ ICAO พร้อมขอให้ผู้โดยสารตรวจสอบขนาดความจุของแบตเตอรี่สำรอง และสภาพของแบตเตอรี่สำรองให้เป็นไปตามมาตรฐานก่อนการเดินทาง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดสายการบินแอร์เอเชีย ได้ออกมาตรการแจ้งถึงผู้โดยสาร เพื่อความปลอดภัยต่อส่วนรวม สายการบินแอร์เอเชียขอความร่วมมือทุกท่านงดใช้แบตเตอรี่สำรองเพื่อชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในระหว่างเที่ยวบิน 

สำหรับการพกแบตเตอรี่สำรองกับแอร์เอเชีย มีข้อกำหนดประกอบด้วย

1. สำหรับแบตเตอรี่สำรอง หรือ Power bank นั้นต้องพกติดตัวขึ้นเครื่องบิน เท่านั้น!

2. ต้องมีฉลากระบุกำลังไฟชัดเจน

3. อุปกรณ์ต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่ชำรุด

4. มาเช็กความจุไฟฟ้าแบตเตอรี่สำรองตามมาตรฐานความปลอดภัยของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) กำหนด

อย่างไรก็ตาม สายการบินต่างชาติหลายสายการบิน ได้ออกประกาศห้ามใช้พาวแบงก์บนเครื่องบินก่อนหน้านี้ โดยเริ่มจาก Air Busan ประเทศเกาหลีใต้ ที่ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารเก็บ พาวเวอร์แบงก์ (แบตเตอรี่สำรอง) ไว้ในช่องเก็บสัมภาระ โดยให้พกติดตัว และไม่อนุญาตให้ชาร์จขณะโดยสารบนเครื่อง

โดยมาตรการดังกล่าวคาดว่า ป้องกันการเกิดปัญหา พาวเวอร์แบงก์ (แบตเตอรี่สำรอง) ลุกไหม้บนเครื่องบินนั่นเอง

จาก ‘นักเคลื่อนไหว’ สู่ ‘หมอนวดฝ่าเท้า’ ชีวิตใหม่!! ของนายจอม ในแดนน้ำหอม เมื่อทุนขาด!! ซัพพอร์ตหาย ฝรั่งไม่จ่ายแล้ว ก็ต้อง ‘กัดฟัน’ ปั้นอาชีพกันไป

ใครจะไปคิดว่าเส้นทางชีวิตของ 'นายจอม' หนึ่งในผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะวกเข้าสู่สายอาชีพนวดฝ่าเท้ากลางกรุงปารีส จากอดีตนักเคลื่อนไหวหัวร้อน สู่มือทองนักกดจุดผ่อนคลาย ด้วยเรทราคาเป็นกันเอง 25 ยูโรต่อชั่วโมง โปรโมชันแรงเหมาได้ทั้งสามี-ภรรยา แถมรับนวดหมู่เหมือนจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ได้อีกต่างหาก

แต่นอกจากเรื่องเส้นทางชีวิตที่พลิกผัน จุดที่ชวนตั้งคำถามยิ่งกว่าเทคนิคกดจุด คือข้อความจากเจ้าตัวเองที่ประกาศชัดว่า “ไม่เคยจบคอร์สหรือมีใบรับรองจากสถาบันใด ๆ” นี่แหละประเด็น! เพราะในฝรั่งเศส การให้บริการนวดแบบเก็บเงินนั้น ไม่ใช่ว่าใครอยากทำก็ทำได้ง่าย ๆ นะเธอ

ในฝรั่งเศส การประกอบอาชีพนวดเพื่อสุขภาพ (massage bien-être) โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อ หรือระบบไหลเวียนโลหิต จำเป็นต้องมีการอบรมและได้รับ ใบรับรองจากสถาบันที่ได้รับการรับรอง (Certificat หรือ Diplôme) รวมถึงต้องจดทะเบียนธุรกิจอย่างถูกต้อง (Auto-entrepreneur) เพื่อเสียภาษีและป้องกันข้อหาแอบแฝงทำงานผิดกฎหมาย

ถ้าเป็นการนวดเฉพาะทาง เช่น นวดฝ่าเท้า (Réflexologie plantaire) ก็อยู่ภายใต้ข้อกำหนดเดียวกัน และยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะเป็นการกระตุ้นจุดสำคัญในร่างกาย หากไม่มีความรู้จริงอาจเข้าข่ายอันตรายต่อสุขภาพลูกค้า

ส่วนถ้าเป็นที่เยอรมนีก็หนักไม่แพ้กัน เพราะหากทำอาชีพนวดโดยไม่มีใบอนุญาต (Heilpraktiker) หรือไม่ได้ขึ้นทะเบียนกิจการ (Gewerbeanmeldung) และเสียภาษีอย่างถูกต้อง ก็ถือว่าเป็น การประกอบวิชาชีพผิดกฎหมาย เช่นกัน และเสี่ยงต่อโทษปรับสูงมาก หรืออาจถึงขั้นสั่งห้ามประกอบกิจการได้ทันที

พูดง่าย ๆ ว่า

ไม่มีใบรับรอง = ผิดกฎหมาย

ไม่จดทะเบียนธุรกิจ = ผิดกฎหมาย

รับเงินค่าบริการโดยไม่มีสถานะทางกฎหมาย = ผิดกฎหมาย

จะเห็นได้ว่า 'ใจรัก' อย่างเดียวอาจไม่พอ เพราะข้อกฎหมายที่ฝรั่งเศสและเยอรมนีเคร่งครัดมากเกี่ยวกับวิชาชีพสายสุขภาพแบบนี้ เพื่อปกป้องผู้บริโภคจากการรับบริการที่อาจเสี่ยงต่อสุขภาพ

และถ้าย้อนไปเมื่อก่อน ตอนยังวิ่งปราศรัยอยู่เมืองไทย ว่ากันว่าชีวิตของนายจอมก็เคยมีสายป่านต่างชาติคอยหนุน ทั้งทุน ทั้งทิป ทั้งค่าเดินทาง งานประชุมต่างแดนเรียกว่ามาครบวงจร แต่พอวันหนึ่งโลกเปลี่ยน ทุนเปลี่ยน กระแสเปลี่ยน จากที่เคยรับสปอนเซอร์ตั๋วเครื่องบินหรู ก็ต้องมานั่งนวดฝ่าเท้าคลายเส้นหารายได้จ่ายค่าเช่าห้องเองแบบเหงา ๆ

เมื่อทุนขาด ซัพพอร์ตหาย ฝรั่งไม่จ่ายแล้ว ก็ต้องกัดฟันปั้นอาชีพกันไป ใครว่าอุดมการณ์เลี้ยงท้องไม่ได้... ก็ต้องนี่แหละตัวอย่างจริง เสียงจริง นวดจริง เจ็บจริง

สุดท้ายนี้ ก็ขอเอาใจช่วยนายจอมให้หาเลี้ยงชีพได้ปลอดภัย ไม่โดนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเรียกตรวจเอกสารกลางคิวลูกค้ากำลังผ่อนคลายเท้าอยู่ละกันนะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top