Monday, 9 June 2025
ค้นหา พบ 48681 ที่เกี่ยวข้อง

‘หวัง อี้’ ตอกกลับสหรัฐฯ เรื่องภาษี-นโยบายกดดัน คิดให้ดีก่อนใช้โทสะตอบแทนไมตรี

(7 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงข่าวนอกรอบการประชุมครั้งที่ 3 ของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (NPC) ชุดที่ 14 เกี่ยวกับกรณีสหรัฐฯ กำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้าจีน โดยใช้ประเด็นเฟนทานิลเป็นข้ออ้าง

ก่อนหน้านี้ สหรัฐอเมริกาได้ประกาศกำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้าจีนหลายรายการ โดยอ้างว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นมาตรการเพื่อจัดการกับปัญหาการแพร่ระบาดของยาเฟนทานิล (Fentanyl) ในประเทศ

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนที่ใช้ในการผลิตยาเฟนทานิลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของปัญหายาเสพติดในประเทศ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจึงถูกมองว่าเป็นวิธีหนึ่งในการลดปริมาณการนำเข้าและควบคุมการแพร่ระบาดของยาเสพติดดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลจีน ซึ่งมองว่าการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือทางการค้าผ่านประเด็นยาเสพติดอาจไม่เป็นธรรม จีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ ทบทวนมาตรการดังกล่าวและหันมาใช้วิธีการที่สร้างสรรค์และร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหายาเสพติด

หวัง อี้ เน้นย้ำว่าสหรัฐฯ ควรพิจารณาการกระทำของตนเองและหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เขายังเรียกร้องให้สหรัฐฯ แสดงความเคารพต่อความร่วมมือ และความพยายามของจีนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด

การแถลงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศแผนการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้า ซึ่งจีนได้แสดงความไม่พอใจและคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อคำขู่ดังกล่าว โดยย้ำว่าสหรัฐฯ ไม่ควรใช้ประเด็นนี้เป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า

ทั้งนี้ หวัง อี้ สรุปว่าความร่วมมือและความเข้าใจระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาระดับโลก และการตอบสนองด้วยมาตรการที่ไม่เป็นธรรมจะไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใด

นายอำเภออินโดนีเซีย ลั่นขอบริจาคเงินเดือนทั้งหมดช่วยผู้ยากไร้ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคม

(7 มี.ค.68) ฟาห์มี มูฮัมหมัด ฮานิฟ (Fahmi Muhammad Hanif) นายอำเภอเมืองปูร์บาลิงงา ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดจาการ์ตา ของประเทศอินโดนีเซีย ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะบริจาคเงินเดือนทั้งหมดของตนเองให้กับผู้ยากไร้ และองค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม

โดยในการประกาศที่เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของฟาห์มี ระบุว่า “การช่วยเหลือสังคมและแบ่งปันสิ่งที่เรามีเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต” เขาเชื่อว่าเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือนนั้นสามารถนำไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือมากกว่าแค่การเก็บสะสมไว้เป็นของตัวเอง

การบริจาคเงินเดือนทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ที่อยู่ในสภาพยากจน โดยเขามุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นในการร่วมแบ่งปันพร้อมเข้ามาช่วยเหลือสังคม

ฟาห์มียังเสริมว่า “การเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในสังคม คือการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมอย่างจริงจัง” โดยเขาได้กำหนดให้โครงการการกุศลนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในชุมชนและประเทศ

ทั้งนี้ บริจาคเงินเดือนทั้งหมดของฟาห์มี มูฮัมหมัด ฮานิฟ ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมาก ทั้งจากสาธารณชนและคนในวงการต่างๆ ซึ่งมองว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้นำที่ใส่ใจต่อความยากจนและสังคม

‘เอกนัฏ’ เยือนจีน ปูทางอุตสาหกรรมไทยเติบโต ชูแนวทางยกระดับไทย-จีน เพื่อความยั่งยืนในอนาคต

(7 มี.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมคณะ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 4-7 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อยกระดับความร่วมมือทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยและจีน โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมใหม่และเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

การเยือนในครั้งนี้ได้มีการหารือกับ รองผู้ว่าการมณฑลอานฮุย เพื่อขยายความร่วมมือในโครงการ Two Country, Twin Parks ซึ่งเป็นการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมร่วมระหว่างมณฑลอานฮุยของจีนและประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการลงทุนจากจีนในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น พลังงานสะอาด (Clean Energy), เทคโนโลยี AI และอุตสาหกรรมดิจิทัลใหม่ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

นอกจากนี้ คณะจากกระทรวงอุตสาหกรรมยังได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท GAC Aion, Huawei และ BYD บริษัทชั้นนำของจีนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านยานยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์เทคโนโลยี และพลังงานสะอาด โดยในระหว่างการพบปะกัน ผู้บริหารของทั้งสามบริษัทได้แสดงความสนใจที่จะเพิ่มการลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งเสนอแผนพัฒนาทักษะแรงงานไทยให้พร้อมรองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด

นายอัครเดช กล่าวว่า “การหารือในครั้งนี้ได้รับการต้อนรับจากบริษัทชั้นนำของจีนอย่างดีเยี่ยม ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่ได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AI หรืออุตสาหกรรมสะอาด ซึ่งจะสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศและภาคธุรกิจไทยในอนาคต”

สำหรับการเยือนจีนในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา และยกระดับความร่วมมือทางอุตสาหกรรมระหว่างประเทศไทยกับจีน ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยเติบโตในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงและรองรับความท้าทายของยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

รอง ผบ.ตร.แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย ซุกซ่อนบุหรี่ไฟฟ้า 35,600 ชิ้น พร้อมอุปกรณ์ที่ใช้ในการเปิดร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ภายในบ้านพัก

(7 มี.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปปง.ตร.) เป็นประธานแถลงผลการตรวจค้นจับกุมแหล่งซุกซ่อนบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ โดยมี พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.กิตนิ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ,พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. , พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ปคบ. , พล.ต.ต.สรัลพัฒน์ ยศสมบัติ ผบก.กต.2 และผู้เกี่ยวข้องร่วมแถลง ณ บ้านพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี

ทั้งนี้ ช่วงประมาณต้นเดือนมีนาคม 2568 ได้มีพลเมืองดีเข้ามาให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่ามีการขนย้ายบุหรี่ ไฟฟ้าจำนวนมากออกจากร้านที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า บริเวณพื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ข้างเคียง เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าเป็นการขนออกเพื่อหลบเลี่ยงการถูกตรวจค้นจับกุม ในช่วงที่มีความเข้มข้นในการระดมกวาดล้างการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า จึงได้ทำการสืบสวนติดตามเรื่อยมา จนกระทั่งทราบว่ามีการขนบุหรี่ไฟฟ้านำมาเก็บซุกซ่อนไว้ในบ้านพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีการใช้สิ่งของปกปิดอำพรางรั้วไว้อย่างมิดชิด จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดนนทบุรี และศาลได้อนุมัติหมายค้น 

ล่าสุดวันนี้ (7 มีนาคม 2568) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังกันเข้าทำการตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบของกลางเป็นบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนหลายยี่ห้อคละกัน ประมาณ 35,600 ชิ้น รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท และยังตรวจพบอุปกรณ์ที่ใช้ในการเปิดร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอีกจำนวนหนึ่ง การปฏิบัติการในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย แจ้งข้อหา “ฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ขายสินค้าที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสั่งห้ามขาย (บุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า)” ตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 และ “ซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นสิ่งต้องห้ามนำเข้าในราชอาณาจักร” ตามมาตรา 256 พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 

เบื้องต้นหนึ่งในผู้ต้องหาให้การว่าเป็นเจ้าของร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร และรับคำสั่งมาจากผู้สั่งการให้ทำการเก็บรักษาบุหรี่ไฟฟ้าของกลางไว้ จากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจะได้มีการขยายผลอย่างต่อเนื่องไปสู่การจับกุมผู้ร่วมขบวนการรายอื่นมารับโทษตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา พื้นที่ใกล้โรงเรียนหรือสถานศึกษา รวมถึงสถานบริการ สถานประกอบการ และพื้นที่สาธารณะในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเอง หรือผู้อื่น สร้างความเดือดร้อน รำคาญแก่ประชาชนใกล้เคียง รัฐบาล โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้ความสำคัญต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าดังกล่าว จึงกำหนดนโยบายให้มีการระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในทุกมิติ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. สั่งการให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วย ระดมกำลังกวาดล้างจับกุมในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด และติดตามการขับเคลื่อนให้มีผลการปฏิบัติในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม

เชียงใหม่-ท่าอากาศยานเชียงใหม่จัดพิธีทำบุญครบรอบ 37 ปี แห่งการดำเนินงาน

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม. )ฉลองครบรอบ 37 ปี แห่งการดำเนินงานในฐานะศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศที่สำคัญของภาคเหนือ พร้อมมุ่งสู่อนาคต ด้วยแผนพัฒนาที่จะรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

(7 มี.ค.68) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทชม.ทอท.) ครบรอบ 37 ปีการดำเนินงานในวันที่ 1 มีนาคม 2568  ได้จัดพิธีทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ลแก่พนักงาน ลูกจ้างและผู้ที่ปฏิบัติงาน โดยมีนาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีทำบุญ พร้อมด้วนหัวหน้าส่วนราชการ สายการบิน ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้บริหาร และพนักงานลูกจ้างท่าอากาศยานเชียงใหม่ เข้าร่วมพิธี อย่างพร้อมเพรียง สะท้อนถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญของภูมิภาค ณ อาคารอเนกประสงค์ ท่าอากาศยานเชียงโหม่

นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็นท่าอากาศยาน 1 ใน 6 แห่ง ภายใต้การกำกับดูแลของ ทอท.ได้รับโอนกิจการจากกรมการบินพาณิชย์มาอยู่ในความดูแลของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2531 และได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ โดยปัจจุบันรองรับผู้โดยสารมากกว่า 10 ล้านคนต่อปี และมีเส้นทางบินเชื่อมต่อทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสายการบินชั้นนำที่ให้บริการอย่างต่อเนื่อง 

ปัจจุบันท่าอากาศยานเชียงใหม่ให้บริการเส้นทางการบินระหว่างประเทศ 21 เส้นทาง ให้บริการโดย 24 สายการบิน และให้บริการเส้นทางการบินภายในประเทศ 11 เส้นทาง ให้บริการโดย 6 สายการบิน ซึ่งสายการบินน้องใหม่ล่าสุดที่กำลังจะเริ่มให้บริการในวันที่ 27 มีนาคม 2568 คือสายการบินเฉิงตูแอร์ไลน์ ทำการบินเส้นทาง เฉิงตู-เชียงใหม่-เฉิงตู และมีสายการบินจากตะวันออกกลางอยู่ระหว่างการดำเนินการขอใบอนุญาต เพื่อทำการบินในช่วงปลายปีนี้ 

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567 ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีผลการดำเนินงานที่สะท้อนถึงการฟื้นตัวและเติบโตของภาคการบินและการท่องเที่ยว จำนวนเที่ยวบินพาณิชย์ 59,493 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 6.88  จำนวนผู้โดยสาร 9,082,071 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 10.43 ปริมาณสินค้า 5,478,134 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 4.23 

และเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีแผนพัฒนาขยายศักยภาพการรองรับผู้โดยสารให้เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคนต่อปี โดยมีการดำเนินโครงการพัฒนาใน 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1: เพิ่มขีดความสามารถจาก 8.5 ล้านคนต่อปี เป็น 16.5 ล้านคนต่อปี ระยะที่ 2: ขยายเพิ่มเป็น 20 ล้านคนต่อปี

ในส่วนของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 ปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการสำรวจและออกแบบโครงการพัฒนาระยะที่ 1 ควบคู่กับการดำเนินการโครงการศึกษาและจัดทำรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ : แผนพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่  

โดยโครงการพัฒนาไม่เพียงมุ่งเน้นด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ล้านนา การพัฒนาการให้บริการ และความสะดวกสบายของผู้โดยสาร รวมถึงการรองรับระบบขนส่งมวลชน เช่น โครงการรถไฟฟ้า และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านจราจรบริเวณโดยรอบ 

ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า “ตลอด 37 ปีที่ผ่านมา ท่าอากาศยานเชียงใหม่ เป็นกลไกหนึ่งในการส่งเสริม สนับสนุน ผลักดันให้มีการเจริญเติบโตในทุกมิติของจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาสนามบินให้ทันสมัย สะดวกสบาย และปลอดภัย รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน และส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน"

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ยังมีแผนพัฒนาต่อเนื่องในอนาคต โดยมุ่งเน้นการขยายอาคารผู้โดยสาร การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และมาตรการเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การใช้พลังงานสะอาดและการลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ เพื่อให้สนามบินเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่เคียงข้างกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคที่พร้อมรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยวในระดับสากล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top