Tuesday, 10 June 2025
ค้นหา พบ 48698 ที่เกี่ยวข้อง

จีน เปิดฉากประชุมสองสภา จับตานโยบายเศรษฐกิจ และการต่างประเทศ

ปักกิ่ง, 4 มี.ค. (ซินหัว) -- 'การประชุมสองสภา' ซึ่งเป็นการประชุมทางการเมืองระดับชาติที่สำคัญของจีนที่จะกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ มีกำหนดเริ่มจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งสัปดาห์นี้ ท่ามกลางฉากหลังของสภาพแวดล้อมอันสลับซับซ้อนและท้าทายในจีนและทั่วโลก

การประชุมประจำปีของคณะกรรมการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน (CPPCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาทางการเมืองระดับสูงสุดของจีน เริ่มขึ้นในวันอังคาร (4 มี.ค.) ส่วนการประชุมของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (NPC) ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติระดับสูงสุด จะเริ่มขึ้นในวันพุธ (5 มี.ค.)

นายกรัฐมนตรีของจีน สมาชิกสภานิติบัญญัติระดับสูง ที่ปรึกษาทางการเมืองระดับสูง รวมถึงหัวหน้าศาลประชาชนสูงสุดและอัยการประชาชนสูงสุดจะนำเสนอรายงานการปฏิบัติงาน โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติจะทบทวนงบประมาณประจำปีและแผนการพัฒนาของรัฐบาล พร้อมพิจารณาแก้ไขร่างกฎหมายว่าด้วยสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติและสภาผู้แทนประชาชนท้องถิ่น

เป้าหมายการเติบโตสำหรับปี 2025

ปกติแล้วเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนที่กำหนดไว้ในรายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาลถือเป็นหนึ่งในตัวเลขที่ถูกจับตามองมากที่สุด โดยจีดีพีไม่ใช่เพียงตัวชี้วัดเศรษฐกิจ แต่ยังถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญขณะที่เศรษฐกิจของจีนกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาที่มีคุณภาพสูง

เมื่อปี 2024 จีนบรรลุเป้าหมายการเติบโตราวร้อยละ 5 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากชุดมาตรการมหภาคที่สำคัญที่มีการบังคับใช้เพื่อชดเชยแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจขาลง

นโยบายการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป

จีนจะออกนโยบายแบบเจาะจงเป้าหมายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและบรรลุเป้าหมายการเติบโต ซึ่งคาดว่ารายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาลจะประกาศมาตรการนโยบายเพื่อรับรองการบรรลุเป้าหมาย

จีนได้ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจมหภาคไปแล้ว โดยในการประชุมงานด้านเศรษฐกิจส่วนกลางประจำปีเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา คณะผู้กำหนดนโยบายได้ให้คำมั่นว่าจะออกนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเชิงรุกมากขึ้นในปี 2025 และตัดสินใจดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายในระดับปานกลาง ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญจากนโยบายการเงินแบบระมัดระวังในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา

การหารือระหว่างผู้นำ สมาชิกสภานิติบัญญัติ และที่ปรึกษา

ระหว่างการประชุมสองสภา กลุ่มผู้นำจีน ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ จะหารือกับสมาชิกสภาฯ คนอื่นๆ ในการปรึกษาหารือเป็นกลุ่ม และหารือกับคณะที่ปรึกษาทางการเมืองเกี่ยวกับประเด็นร้อนที่มีความสำคัญที่สุดต่อการกำกับดูแลของรัฐ

การปรึกษาหารือเหล่านี้เปรียบเสมือนหน้าต่างสังเกตการณ์ว่าผู้นำส่วนกลางรับทราบสถานการณ์จริงในระดับรากหญ้าอย่างไร สิ่งนี้คือลักษณะเฉพาะของประชาธิปไตยของจีน หรือที่มักเรียกขานในวาทกรรมร่วมสมัยว่าประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมทั้งกระบวนการ

นโยบายการต่างประเทศ

การประชุมสองสภายังช่วยไขกระจ่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศของจีน เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมักแถลงข่าวนอกรอบการประชุม

เมื่อปีที่แล้ว หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ตอบคำถาม 21 ข้อระหว่างการแถลงข่าวนาน 90 นาทีที่มีผู้สื่อข่าวจากทั่วโลกเข้าร่วม ซึ่งหวังได้กล่าวถึงประเด็นร้อนระดับภูมิภาคและนานาชาติ เช่น วิกฤตยูเครนและความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอล รวมถึงนโยบายต่างประเทศของจีนที่มีต่อรัสเซีย สหรัฐฯ ยุโรป และกลุ่มประเทศโลกใต้

สำหรับการประชุมประจำปีนี้ ข้อเสนอของจีนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะยิ่งน่าจับตาเป็นพิเศษในบริบทของภูมิทัศน์ระดับโลกที่ปั่นป่วนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เอไอ นวัตกรรม

นวัตกรรมทางเทคโนโลยีจะเป็นอีกประเด็นสำคัญในการประชุมสองสภาของปีนี้ โดยอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีแนวโน้มได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

ช่วงเดือนที่ผ่านมา ดีปซีก (DeepSeek) สตาร์ตอัปเทคโนโลยีของจีน ได้สร้างความตกตะลึงให้กับอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์และตลาดทุนทั่วโลก ด้วยการเปิดตัวแชทบอตแบบโอเพ่นซอร์สยอดนิยม

บริษัทจีนแห่งอื่นๆ เช่น เทนเซ็นต์ (Tencent) ไป่ตู้ (Baidu) และบีวายดี (BYD) ได้เริ่มนำดีปซีกมาใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนแล้ว ขณะหน่วยงานท้องถิ่นบางส่วนได้ประกาศความร่วมมือกับโมเดลเอไอดีปซีกเพื่อยกระดับบริการสาธารณะ หรือจัดการฝึกอบรมเพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่และมืออาชีพทางธุรกิจเข้าใจการพัฒนาและการใช้งานดีปซีกและเทคโนโลยีเอไออื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การประชุมสองสภายังเป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบายและที่ปรึกษาทางการเมืองในการเสนอแนะและส่งเสริมฉันทามติในวงกว้างเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่บางส่วนเป็นผู้บริหารองค์กรและนักวิจัยชั้นนำ ดังนั้นข้อเสนอแนะที่พวกเขาจะนำเสนอในด้านเอไอจึงจะเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่น่าจับตา

‘เอกนัฏ’ เผย ไทยนั่งประธานสภาผู้ผลิตปูนซีเมนต์แห่งอาเซียน หลังขับเคลื่อนให้ภาคอุตสาหกรรมใช้ “ปูนไฮดรอลิก” ลดโลกร้อน

(5 มี.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากความมุ่งมั่นของกระทรวงอุตสาหกรรมในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน โดยเร่งรัดให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กำหนดให้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกเป็นสินค้าควบคุม เพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ส่งผลให้ที่ประชุมสภาผู้ผลิตปูนซีเมนต์แห่งอาเซียน (ASEAN Federation of Cement Manufacturers: AFCM) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ประเทศไทย โดย ดร.ชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย นั่งแท่นประธานสภาผู้ผลิตปูนซีเมนต์แห่งอาเซียน เป็นวาระ 2 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2568 -2570 แสดงถึงการยอมรับจากผู้ผลิตปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียน ให้ประเทศไทยเป็นต้นแบบการดำเนินงานที่มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จนสามารถผลักดันให้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก เป็นปูนที่มีประสิทธิภาพในการนำไปใช้งานที่ดีเทียบเท่ากับปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และวงการก่อสร้างในอนาคต ที่มุ่งเน้นการใช้วัสดุก่อสร้างที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน อีกทั้งเป็นการสนับสนุนการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 และปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ในปี พ.ศ. 2608

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. เร่งรัดดำเนินการเพื่อให้มาตรฐานปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก มอก. 2594-2567 เป็นสินค้าควบคุมตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยขณะนี้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกต้องเป็นไปตามมาตรฐาน โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา 

“มาตรฐานดังกล่าวอ้างอิงจากมาตรฐาน ASTM ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเน้นควบคุมที่คุณสมบัติและประสิทธิภาพ (Performance Based) เพื่อควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้งาน โดยระบุเกณฑ์กำหนดคุณลักษณะด้านต่าง ๆ ที่ครอบคลุมการใช้งานที่แตกต่างกัน ทั้งการใช้งานทั่วไป งานที่ต้องการแรงอัดต้นสูง งานที่ทนต่อการกัดกร่อนของซัลเฟต เหมาะสำหรับพื้นที่ชายฝั่งทะเล หรือพื้นที่น้ำกร่อย รวมทั้งงานโครงสร้างขนาดใหญ่ โดยจากประมาณการเบื้องต้นในการผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก 1 ตัน จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 50 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเทียบกับการผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ในปริมาณที่เท่ากัน ดังนั้น การนำปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกมาใช้งานทดแทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ จึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนได้” ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่น ขออนุญาตผ่านระบบ e-license ของ สมอ. ที่ www.tisi.go.th ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ก่อนที่มาตรฐานจะมีผลบังคับใช้ เลขาธิการ สมอ. กล่าว

คริสเตีย ฟรีแลนด์ อดีตรองนายกฯ แนะแคนาดาจับมือพันธมิตร NATO หวังพึ่งอาวุธนิวเคลียร์รับมือการคุกคามอธิปไตยจากทรัมป์

(5 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นางคริสเตีย ฟรีแลนด์ อดีตรองนายกฯ แคนาดา และผู้สมัครผู้นำพรรคเสรีนิยมคนใหม่ มีแนวคิดให้แคนาดาสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหราชอาณาจักรและพันธมิตร NATO มากขึ้น เพื่อใช้อาวุธนิวเคลียร์ปกป้องประเทศจากโดนัลด์ ทรัมป์ หลังถูกมองคุกคามอธิปไตย

โดยก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยกล่าวไว้ว่า ประเทศเพื่อนบ้านที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา อย่างแคนาดาอาจเป็น ‘รัฐที่ 51’ ของแดนมะกัน อีกทั้งยังมีการขึ้นภาษีนำเข้ากับ แคนาดา และ เม็กซิโก 25% ซึ่งมีผลไปแล้วตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา (4 มี.ค.)

ส่งผลให้ จัสติน ทรูโด นายกฯ แคนาดา ไม่อยู่เฉยประกาศตอบโต้ทันที ด้วยการเก็บภาษี 25% กับสินค้าสหรัฐฯ ตีเป็นมูลค่า 155 พันล้านเหรียญแคนาดา (ราว 107 พันล้านเหรียญสหรัฐ) โดยจะเริ่มเก็บภาษีร้อยละ 25 กับสินค้าจากสหรัฐฯ ในมูลค่า 30 พันล้านเหรียญแคนาดาทันที และจะเก็บภาษีกับสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 125 พันล้านเหรียญแคนาดา หลังจากนี้ 21 วัน

และครั้งหนึ่ง เจสซี่ มาร์ช ผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติแคนาดา แสดงอาการไม่พอใจเช่นเดียวกัน พร้อมกับออกมาตอบโต้ กับวาทะของทรัมป์ ที่บอกว่าแคนาดาอาจเป็น ‘รัฐที่ 51’ ของสหรัฐฯ โดยกุนซือรายนี้ระบุว่า 

“ในฐานะคนอเมริกัน ผมอยากพูดถึงการอภิปรายเกี่ยวกับ 'รัฐที่ 51' ผมคิดว่านี่คือการดูหมิ่น แคนาดาเป็นประเทศที่เข้มแข็งและเป็นอิสระ มีรากฐานที่ลึกซึ้งในความเหมาะสม เป็นสถานที่ที่ให้ความสำคัญกับจริยธรรมและความเคารพสูง แตกต่างจากบรรยากาศที่แบ่งแยก ไม่เคารพ และมักเต็มไปด้วยความเกลียดชังในสหรัฐอเมริกา”

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอที่ให้แคนาดาใกล้ชิดอังกฤษ เพื่อใช้อาวุธนิวเคลียร์รับมือทรัมป์ ของนางคริสเตีย ฟรีแลนด์ กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยนางแดเนี่ยลล์ สมิธ (Danielle Smith) นายกรัฐมนตรีรัฐแอลเบอร์ตา จากพรรคอนุรักษนิยมกล่าวว่า ‘นี่คือคำพูดที่บ้าคลั่ง เพราะสหรัฐฯ คือพันธมิตรและมิตรแท้ด้านความมั่นคงของเรา"

‘ไทยพีบีเอส’ น้อมรับคำติเตียน – พร้อมทบทวนข้อผิดพลาดปมเสนอบทความ “เผด็จการสร้างชาติ ผู้นำเข้มแข็งเศรษฐกิจรุ่ง”

(5 มี.ค. 68) สำนักข่าวไทยพีบีเอส ชี้แจง บทความ “เผด็จการสร้างชาติ ผู้นำเข้มแข็งเศรษฐกิจรุ่ง” ถอดทิ้งทุกแพลตฟอร์มข่าวแล้ว

จากกรณี สำนักข่าวไทยพีบีเอส ได้นำเสนอบทความเรื่อง เผด็จการสร้างชาติ ประชาชน “อาวรณ์” ผู้นำเข้มแข็ง-เศรษฐกิจรุ่ง ซึ่งได้สร้างความไม่สบายใจให้หลายฝ่ายและมีการท้วงติงถึงการนำเสนอดังกล่าว อาทิ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้โพสต์ข้อความท้วงติง ระบุว่า บทความนี้ตั้งแต่พาดหัวและเนื้อหา ทำให้คนเข้าใจว่าไปได้ว่า ไทยพีบีเอสสนับสนุนระบอบเผด็จการ ไม่ได้พูดด้านร้ายของระบอบเผด็จการ ในฐานะกัลยาณมิตรจำต้องท้วงติง เพราะไม่เห็นด้วยกับการสร้างบรรยากาศโหยหาเผด็จการ ซึ่งจะเท่ากับเป็นการปูทางและสร้างความชอบธรรมให้กับการยึดอำนาจครั้งต่อไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการท้วงติงจากหลายฝ่าย ในเวลาต่อมา ทางข่าวออนไลน์ สำนักข่าวไทยพีบีเอส ทนกระแสไม่ไหว จึงได้ทำหนังสือชี้แจง พร้อมถอดบทความชิ้นดังกล่าวออกจากทุกแพลตฟอร์ม โดยข้อความในหนังสือชี้แจงระบุว่า

คำชี้แจงกรณีการนำเสนอบทความ "เผด็จการสร้างชาติ ผู้นำเข้มแข็งเศรษฐกิจรุ่ง"

ข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์ ขอขอบคุณทุกเสียงสะท้อน จาก กรณีการนำเสนอบทความ "เผด็จการสร้างชาติ ผู้นำเข้มแข็งเศรษฐกิจรุ่ง" พร้อมกับน้อมรับคำติเตียนเพื่อนำไปทบทวนถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น และปรับปรุงการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อไป 

ตามที่มีการนำเสนอบทความ "เผด็จการสร้างชาติ ผู้นำเข้มแข็งเศรษฐกิจรุ่ง" เผยแพร่เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา (ปรับปรุงเนื้อหาล่าสุด วันที่ 4 มีนาคม 2568) ทางเว็บไซต์ www.thaipbs.or.th/news และ สื่อสังคม Thai PBS News ซึ่งเป็นการนำเสนอที่ไม่รอบด้านเพียงพอ อาจสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อน นำไปสู่การโต้เถียงและเป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยที่ไทยพีบีเอสไม่ได้มีเจตนา 

จึงขอนำบทความดังกล่าวออกจากทุกแพลตฟอร์มข่าวไทยพีบีเอส โดยจะดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างโปร่งใสและแจ้งให้ทราบต่อไป

รัสเซีย ตอบตกลงเป็นคนกลางเจรจา ‘สหรัฐฯ-อิหร่าน’ ยุติสงครามในตะวันออกกลาง

(5 มี.ค. 68) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า รัสเซียตกลงที่จะช่วยเหลือฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในการเป็นคนกลางเจรจากับประเทศอิหร่านในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงโครงการนิวเคลียร์ของเตหะราน และการสนับสนุนกลุ่มต่อต้านสหรัฐฯ ในภูมิภาค

รายงานดังกล่าวนำมาจากสื่อของรัสเซียที่หยิบยกมาตีแผ่ โดยอ้างคำพูดของ นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย (Dmitry Peskov) ที่กล่าวว่า “รัสเซียเชื่อว่าสหรัฐฯ และอิหร่านควรแก้ไขปัญหาทั้งหมดด้วยการเจรจา รัสเซียพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือให้บรรลุเป้าหมาย”

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้กลับมาใช้ ‘การกดดันสูงสุด’ ต่ออิหร่านอีกครั้ง ซึ่งรวมถึงความพยายามที่จะลดการส่งออกน้ำมันให้เหลือศูนย์ เพื่อหยุดยั้งเตหะรานจากการได้รับอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งอิหร่านปฏิเสธเจตนาดังกล่าว โดยมีรัสเซียได้กระชับความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐอิสลามตั้งแต่เริ่มสงครามยูเครน และได้ลงนามในสนธิสัญญาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับอิหร่านเมื่อเดือนมกราคม 

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน กล่าวว่า “เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญของปัญหาเหล่านี้ จึงเป็นไปได้ที่หลายฝ่ายจะแสดงความปรารถนาดี และความพร้อมที่จะช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top