Sunday, 15 June 2025
ค้นหา พบ 48796 ที่เกี่ยวข้อง

ผบช.ภ.2 ตัวแทน ผบ.ตร.เยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บรถทัวร์ดูงานพลิกคว่ำ กำชับพนักงานสอบสวนทำคดีรอบคอบ สอบพยานแล้ว 15 ปาก วันจันทร์มีความคืบหน้า เชิญผู้เชี่ยวชาญขนส่งสอบ

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ลงพื้นที่เยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุรถทัวร์คณะเทศบาลตำบลพรเจริญ เสียหลักพลิกคว่ำ ในพื้นที่ สภ.วังขอนแดง จ.ปราจีนบุรี  ที่พักรักษาอาการบาดเจ็บ ที่ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี 5 ราย 

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม รับผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ 

โอกาสนี้ พล.ต.ท.ยิ่งยศฯ ได้ให้กำลังใจถึงข้างเตียง มอบแจกันดอกไม้ และพูดคุยให้กำลังใจ พร้อมฝากความห่วงใยจาก ผบ.ตร.ให้แก่ ผู้ได้รับบาดเจ็บและญาติ  

จากนั้น ผบช.ภ.2 ได้ประชุมเร่งรัดติดตามคดี ร่วมกับพนักงานสอบสวน ที่ตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี โดย ผบช.ภ.2 กล่าวว่า กำชับพนักงานสอบสวนให้สอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุให้ครบถ้วน เบื้องต้นสอบปากคำพยานไปแล้วรวม 15 ปาก เป็นคนขับ ซึ่งเป็นผู้ต้องหา 1 ราย พยานที่ได้รับบาดเจ็บอีก 14 ราย  และในวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2568 สภ.วังขอนแดง จะจัดส่งพนักงานสอบสวนไปสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางกลับ จว.บึงกาฬ เพื่อใช้ประกอบสำนวนการสอบสวน นอกจากนี้ สภ.วังขอนแดง ได้ทำหนังสือถึง สำนักวิศวกรรมยานยนต์ สำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก และกองตรวจการขนส่ง กรมการขนส่งทางบก เพื่อขอให้ตรวจสภาพรถทัวร์ที่เกิดเหตุ ขณะนี้การตรวจสอบได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการติดตามผลอย่างเร่งด่วน 

“เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรม ต้องสอบสวนอย่างละเอียด โดยใช้นิติวิทยาศาสตร์ ตรวจหาร่องรอยการเฉี่ยวชน ตำแหน่งการชน เพื่อนำมาเทียบเคียงกับร่องรอยบนถนนและร่องรอยจากแบริเออร์ ว่าสอดคล้องกันหรือไม่ ประกอบกับข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญเป็นสำคัญ เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และทำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย อย่างไรก็ตาม ต้องรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียดรอบคอบ ให้ครบถ้วนในทุกมิติ” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

‘สารวัตรแจ๊ะ’ ตามหาผู้มีพระคุณจนเจอ ‘แพทย์หญิงวันดี วราวิทย์’ ผู้ช่วยให้รอดตายจากโรคร้ายอย่างปาฏิหาริย์เมื่อครั้งยังเป็นทารก

‘สารวัตรแจ๊ะ’ เผยเรื่องราวสุดซึ้งเรื่องเล่าจากกระดาษโน้ตของพ่อ เผยวัยเด็ก ‘เด็กชายแจ๊ะ’ ป่วยโรคโรต้าไวรัส เกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีได้แพทย์หญิงจากกรุงเทพฯ ชุบชีวิต รักษา 'ผ่านทางโทรศัพท์' จนหายดี โตขึ้นเป็น ‘สารวัตรแจ๊ะ’ และได้เผยภาพตามหาผู้มีพระคุณจนเจอ

เมื่อวันที่ (28 ก.พ. 68) เพจ 'จ๋อแจ๊ะจับโจร' โพสต์เล่าเรื่องราวของเทวดาบนพื้นดิน 'กุมารแพทย์หญิงวันดี' ผู้ชุบชีวิตทารกน้อยจากแดนไกล ผ่านเสียงโทรศัพท์ของพ่อ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าของเด็กชายแจ๊ะ หรือ สารวัตรแจ๊ะ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น

'โรคประหลาด' ค.ศ.1993 ณ เมืองพิษณุโลก เด็กทารกชายคนหนึ่งเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ไม่แข็งแรงนัก เมื่อย่างเข้าอายุได้เพียง 4 เดือน ร่างกายทารกน้อยเริ่มป่วยออดๆแอดๆ แม้ว่าจะเข้าโรงพยาบาลมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง แต่ก็ไม่มีท่าทีจะดีขึ้น จนเมื่อย่างเข้าเดือนกันยายน ค.ศ.1993 อาการเด็กน้อยแย่ลงจนเข้าขั้นวิกฤติ เนื้อตัวลีบ ถ่ายไม่หยุด 2 กุมารแพทย์ที่เก่งที่สุดในเมืองพิษณุโลกในเวลานั้น ได้พยายามช่วยชีวิตทารกน้อยด้วยการให้น้ำเกลือ ทางขา ทางแขน แต่ก็ไม่สามารถส่งสารอาหารเข้าร่างกายทารกน้อยได้ เพราะเส้นเลือดในร่างกายได้ตีบหมดแล้ว จนต้องตัดสินใจ “เจาะหน้าผาก” ให้น้ำเกลือผ่านทางกะโหลกเป็นทางสุดท้าย กว่า 1 เดือนที่พยายามช่วยชีวิตทารกน้อยรายนี้แต่อาการก็กลับแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะโรคร้ายพิสดารที่ไม่มีใครไขคำตอบได้ในเวลานั้น

“ครึ่งเป็นครึ่งตาย” ค่ำคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ค่ำคืนที่คล้ายจะเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตทารกน้อย กุมารแพทย์แห่งเมืองพิษณุโลกกล่าวกับพ่อของทารกอย่างกระอักกระอ่วนว่า “เราก็สุดความสามารถแล้วคุณพ่อ” ประโยคสะท้านทรวงสุดจะบีบหัวใจพ่อ ก่อนจะมองไปที่ร่างทารกน้อย ตัวผอมลีบร่างกายไร้เรี่ยวแรง ใกล้จะไปโลกหน้า ความคิดกรีดร้องใครจะยอมให้ลูกตาย พ่อรีบวิ่งกลับไปถามหมออีกครั้งว่า “ยังมีทางไหนที่จะช่วยลูกผมได้บ้าง” จนได้คำตอบจากหมอว่า “มีหมอคนหนึ่ง ที่วิจัยเกี่ยวกับทารกอยู่ แต่ต้องไปขอร้องเขา เพราะเค้าเป็นหมออยู่ที่กรุงเทพ ชื่อวันดี กุมารเวช โรงพยาบาลรามามหิดล” 

หลังสิ้นคำตอบพ่อสั่งให้แม่เฝ้าทารกน้อย ก่อนที่ตัวเองจะคว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ขับตระเวนรอบเมืองพิษณุโลกเพื่อหา “สมุดหน้าเหลือง” ด้วยยุค 90’s สมัยที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์มือถือ สมุดหน้าเหลืองจึงเป็นหนทางเดียวในสมัยนั้นที่จะหาช่องทางติดต่อกับโรงพยาบาลในกรุงเทพได้ แต่เจ้ากรรมเมื่อเวลานั้นร้านค้าในตัวเมืองได้ปิดหมดแล้ว ต้องตระเวนเคาะเรียกทีละร้านจนกระทั่งโชคเข้าข้าง เมื่อมีอาแปะร้านขายหนังสือแห่งหนึ่งยังไม่นอน ได้เปิดมาขายสมุดหน้าเหลืองให้ ก่อนจะรีบหาโบกรถรับจ้างเหมาไปยังที่ทำงาน แหล่งน้ำมันสิริกิติ์ จ.กำแพงเพชร เพื่อจะเข้าไปใช้โทรศัพท์ที่มีอยู่เครื่องเดียวในไซส์งาน กว่าจะถึงก็เป็นเวลาดึกสงัดเสียแล้ว ห้วงคืนนั้นพ่อของทารกน้อยต่อสายหาโรงพยาบาลรามามหิดลจากสมุดหน้าเหลือง ผ่านไปหลายสายหลายแผนกหลายต่อหลายทอด จนได้เบอร์โทรศัพท์ของออฟฟิศแพทย์หญิงวันดี ทารกน้อยจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พ่อก็ไม่ทราบทำได้เพียงกระหน่ำเฝ้าโทรศัพท์กดโทรไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณหมอวันดีจะมาทำงานที่ออฟฟิศ ช่างเป็นห้วงเวลาที่บีบคั้นหัวใจเหลือเกิน

“เสียงสวรรค์” ช่วงเช้าวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1993 แพทย์หญิงวันดี รับสายหลังจากกระหน่ำโทรไปตลอดคืน พ่อของทารกน้อยรีบแนะนำตัวก่อนจะแจ้งอาการของทารกน้อยให้ฟังด้วยความร้อนรน แพทย์หญิงวันดี ได้ถามกลับว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” พ่อรีบตอบกลับไปว่า “ผมโทรมาจากกำแพงเพชร ตอนนี้อยู่ในป่า ถ้าต้องพาลูกไปกรุงเทพจะต้องรอรถเมล์ 2 ชั่วโมง แล้วนั่งไปอีก 2 ชั่วโมง จากกำแพงเพชรเข้าไปที่ จ.พิษณุโลก เพื่อรับลูกและจะพาขึ้นเครื่องบินที่มีวันละ 1 เที่ยวถึงจะไปถึงกรุงเทพ” แพทย์หญิงวันดีตอบกลับว่า “คุณไม่ต้องมาเด็กจะเสียระหว่างทาง หมอจะรักษาผ่านทางโทรศัพท์ เราจะกระตุ้นให้ลำไส้เริ่มกลับมาทำงาน ก่อนที่เด็กจะเสียชีวิต รีบกลับไปทำตามที่หมอบอก” จากนั้นได้เริ่มบอก “สูตรอาหารผสม” และวิธีการรักษาเบื้องต้น ให้กับพ่อของทารกน้อยจดทุกสิ่งทุกอย่างลงในกระดาษโน๊ตแล้วพับเก็บใส่กระเป๋าอย่างประณีต ก่อนจะโดดงาน รีบออกจากไซส์งานขึ้นรถเมล์มุ่งหน้ากลับไปที่เมืองพิษณุโลกทันที

“ปาฏิหาริย์ยามบ่าย” เมื่อพ่อกลับมาถึงแล้วพบว่าทารกน้อยยังไม่สิ้นใจ รีบนำอาหารผสมสูตรหมอวันดี แกะออกก่อนนำใส่ปากรักษาทารกน้อยตามโพยหมอในทันที แม้ยังไม่เห็นผลทันตา แต่ทารกยังคงสภาพไม่สิ้นใจ “เหมือนจะได้ผล” พ่อจดทุกอากับกริยาของทารกน้อย ก่อนจะรีบโบกรถข้ามจังหวัดกลับไปไซส์งานเพื่อโทรศัพท์หาหมอ การเทียวไปเทียวมา 2 จังหวัดเพื่อรักษาผ่านทางโทรศัพท์ได้เริ่มต้นขึ้นทุก 7 โมงเช้า ของทุกวัน “ตลอด 3 เดือน” แพทย์หญิงวันดีจะใช้เวลาทุกเช้าก่อนเข้างาน รอรับสายโทรศัพท์จากพ่อ เพื่อตามติดรักษาอาการและปรับเปลี่ยนสูตรผสมอาหารตามอาการ จนเด็กทารกน้อย “ฟื้นชีพ” ดีวันดีคืน ผิวหนังที่เหี่ยวก็กลับมาเต่งตึง หายเป็นปกติในที่สุด

“ตามหาผู้มีพระคุณ” ทารกน้อยในวัยหนุ่มออกตามหาหมอวันดีที่โรงพยาบาลรามาฯ แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าท่านได้เกษียณไม่ได้มาทำงานเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว จนต้องออกตระเวนถามหาบ้าน จนได้มาถึงหน้าบ้านเก่า ๆ สุดสมถะ บรรยากาศสุดเงียบสงบ “มีใครอยู่ไหมครับ” หลังสิ้นเสียงเรียก เงาหญิงชราเคลื่อนไหวรางๆเป็นเงาสะท้อนออกมาจากประตูบ้าน ก่อนเปิดออกมาด้วยใบหน้าอันสงสัย “มาหาใครคะ” น้ำเสียงหญิงชราอันแสนเมตตาขยับเข้ามาใกล้ๆ ครั้งได้สบตาอากับกริยาสุดแสนใจดีทำให้ทารกน้อยวัยหนุ่มเข่าทรุดติดพื้นก้มลงกราบโดยอัตโนมัติก่อนบอกกับหมอที่อยู่ในอาการงุนงงว่า “ไม่รู้หมอจะจำผมได้มั้ย ผมคือเด็กที่หมอช่วยชีวิตผ่านโทรศัพท์เมื่อ 32 ปี ก่อน พ่อผมเล่าให้ฟังตอนผมไปเจอกระดาษโน้ตอันนี้ ที่ท่านบอกสูตรผสมกับวิธีการรักษาให้พ่อผม ทำให้ผมรอดตาย” หมอวันดีหยิบกระดาษโน๊ตขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจก่อนกล่าวว่า “นี่มันสูตรของชั้นจริงๆด้วย....ขอให้มีความสุขความเจริญนะ แล้วตอนนี้หนูเป็นอะไร” ทารกน้อยวัยหนุ่มกล่าวตอบ “ผมเป็นตำรวจอยู่นครบาลครับ” ก่อนจะถอดเสื้อคลุมสืบนครบาลตัวเก่งให้กับหมอวันดีโดยไม่ลังเล “เสื้อนี้มีค่าสำหรับผมมากครับ ผมขอให้หมอไว้นะครับ ถ้าไม่มีหมอผมคงตายไปแล้ว” หมอวันดีคลีเสื้อดูก่อนบรรจงอ่านตัวอักษรบนเสื้อก่อนกล่าวว่า “ขอมอบให้ 9 ชีวิตเลยนะ ขอให้ปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นคนดีช่วยเหลือคนอื่นๆนะลูก ขอบใจนะที่คิดถึงกัน” หมอเทวดาในร่างหญิงชราค่อยหันหลังและเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมๆสายลมที่พัดเบาๆ พาใบเอาไม้ปลิวว่อน ภาพเบื้องหน้าความรู้สึกชวนให้ทารกน้อยวัยหนุ่มน้ำตาคลอ เสมือนเวลาได้ถูกหยุดลงที่หน้าบ้านของหมอวันดี

“ทารกน้อยจากแดนไกล” ปัจจุบันคือ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือสารวัตรแจ๊ะ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. เกิดมาพร้อมอาการป่วยออดๆแอดๆและแพทย์ในจังหวัดพิษณุโลกได้วินิจฉัยว่าเป็นโรค “โรต้าไวรัส” แต่การรักษาไม่ดีขึ้นจนสภาพร่างกายลีบแห่งใกล้เสียชีวิต เพราะแท้จริงเป็น โรคอุจจาระร่วงจากสารอาหารที่เข้มข้นในลำไส้ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น แต่ได้รับการรักษาจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงวันดี วราวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคนี้โดยตรง “ผ่านทางโทรศัพท์” ซึ่งได้รักษาด้วยการให้สูตรอาหารผสมที่มีส่วนผสมของเกลือแกงและน้ำตาลทรายทำให้สารวัตรแจ๊ะจนรอดตายอย่างปาฏิหาริย์เมื่อปี ค.ศ.1993 ต่อมา แพทย์หญิงวันดีฯ ได้วิจัยพัฒนาจนกลายเป็น “ผงวันดี” หรือ “วันดีรามา ORS” หรือที่เรียกว่า ผงน้ำตาลเกลือแร่ สารช่วยทดแทนการสูญเสียเกลือแร่ ใช้รักษาโรคท้องร่วงเฉียบพลัน ซึ่งคิดค้นมาจากการสังเกตุว่าคนไข้โรคอุจจาระร่วงจำนวนมากมักชักและตายอย่างรวดเร็วเพราะการที่ได้สารน้ำที่เข้มข้นเกินไป ซึ่งการคิดค้นสูตรของ แพทย์หญิงวันดีฯ ผลออกมาเป็นที่ยอมรับและใช้ได้ผล มีการนำเสนอผลงานนี้ทางเวทีวิจัยระดับนานาชาติจนเป็นที่ยอมรับทั่วโลก และที่สำคัญท่านได้ช่วยชีวิตคนมามากมาย “นับไม่ถ้วน”

ขอสดุดีจิตวิญญาณ “หมอเทวดา” แพทย์หญิงวันดี วราวิทย์

‘ทรัมป์ – เซเลนสกี’ ปะทะคารมเดือดต่อหน้าสื่อ สุดท้ายดีลแร่ธาตุหายากล่มไม่เป็นท่า

(1 มี.ค.68) เอพี รายงานความคืบหน้าหลังการหารือข้อตกลงธาตุหายาก หรือธาตุแรร์เอิร์ธระหว่าง ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ ลงเอยด้วยความล้มเหลว

โดยเซเลนสกียืนกรานว่า จะไม่เข้าร่วมการเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย จนกว่าจะมีหลักประกันด้านความปลอดภัยในการต่อต้านการโจมตีอีกครั้ง

ก่อนเสริมว่า การโต้เถียงอย่างดุเดือดกับประธานาธิบดีทรัมป์นั้น “ไม่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย” และว่า ทรัมป์ซึ่งยืนกรานว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย พร้อมจะยุติสงครามที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี จำเป็นต้องเข้าใจว่ายูเครนไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อรัสเซียได้ในทันที ขณะที่นายทรัมป์ตำหนินายเซเลนสกีว่าไม่ให้เกียรติและยกเลิกการลงนามข้อตกลง

การประชุมพิเศษที่ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เปลี่ยนจากการหารือที่อาจสร้างประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นเหตุที่สร้างความตกตะลึงและอาจส่งผลกระทบไปทั่วโลก กำหนดเดิมนายเซเลนสกีคาดว่าจะลงนามในข้อตกลงที่อนุญาตให้สหรัฐเข้าถึงแร่ธาตุหายากของยูเครนได้มากขึ้น และจัดงานแถลงข่าวร่วมกัน แต่แผนดังกล่าวถูกยกเลิก หลังมีการโต้เถียงดุเดือดระหว่างสองผู้นำต่อหน้าสื่อมวลชน และยังไม่ชัดเจนว่าการพลิกผันครั้งนี้ จะส่งผลต่อข้อตกลงที่นายทรัมป์ยืนกรานว่ายูเครนจำเป็นต้องชดใช้เงินช่วยเหลือของสหรัฐกว่า 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.1 ล้านล้านบาทอย่างไร

เซเลนสกีและคณะเดินทางออกจากทำเนียบขาวไม่นาน หลังจากนายทรัมป์ตะโกนใส่ และแสดงออกว่าดูถูกอย่างเปิดเผย ทรัมป์กล่าวกับเซเลนสกีว่า “คุณกำลังพนันกับสงครามโลกครั้งที่สามและสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นไม่เคารพประเทศนี้เลย ประเทศนี้สนับสนุนคุณมากกว่าที่หลายคนบอกว่าควรสนับสนุนเสียอีก”

ช่วง 10 นาทีสุดท้ายของการประชุมเกือบ 45 นาที กลายเป็นการปะทะคารมอย่างตึงเครียดระหว่างนายทรัมป์ รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ของสหรัฐ และนายเซเลนสกี ซึ่งต้องการกดดันนายทรัมป์ไม่ให้ละทิ้งยูเครนและเตือนว่าอย่าไว้ใจนายปูตินมากเกินไป เพราะผู้นำรัสเซียล่มข้อตกลงหย่าศึกด้วยตัวเองมากถึง 25 ครั้ง

แต่นายทรัมป์กลับตะโกนใส่นายเซเลนสกี ก่อนตอบว่า นายปูตินไม่ได้ทำลายข้อตกลงกับตน และส่วนใหญ่หลบเลี่ยงคำถามเกี่ยวกับการเสนอหลักประกันความปลอดภัยให้กับยูเครน

สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดหลังจากแวนซ์ท้าทายเซเลนสกีว่า “ท่านประธานาธิบดี ด้วยความเคารพผมคิดว่าการที่คุณมาที่ห้องรูปไข่เพื่อพยายามฟ้องร้องเรื่องนี้ต่อหน้าสื่ออเมริกันถือเป็นการไม่ให้เกียรติ”

เซเลนสกีพยายามคัดค้าน และทำให้นายทรัมป์พูดเสียงดังว่า “คุณกำลังพนันกับชีวิตของผู้คนนับล้าน” ในช่วงหนึ่งนายทรัมป์ประกาศว่าตัวเองอยู่ “ตรงกลาง” และไม่ได้อยู่ฝ่ายยูเครนหรือรัสเซียในความขัดแย้งนี้

ทั้งยังเยาะเย้ยความเกลียดชัง ที่เซเลนสกีมีต่อปูตินว่าเป็นอุปสรรคต่อสันติภาพ “คุณเห็นความเกลียดชังที่เขามีต่อปูตินไหม มันยากมากสำหรับผมที่จะทำข้อตกลงด้วยความเกลียดชังแบบนั้น”

ขณะที่พรรคเดโมแครตวิจารณ์นายทรัมป์ และรัฐบาลทันทีที่ล้มเหลวการบรรลุข้อตกลงกับยูเครน นายชัค ชูเมอร์ หัวหน้าวุฒิสภาพรรคเดโมแครต กล่าวว่า ทรัมป์และแวนซ์ “กำลังทำงานสกปรกให้ปูติน”

‘คณะผู้แทนไทย’ เผย ชาวอุยกูร์ ดีใจได้คืนสู่อ้อมกอดครอบครัว ชี้ ทุกคนปลอดภัย ขณะที่ทางการจีน ให้คำมั่นจะไม่ดำเนินคดี

(1 มี.ค.68) เป็นข่าวไปทั่วโลก เมื่อรัฐบาลจีนส่งเครื่องบินมารับชาวอุยกูร์ที่ลักลอบเข้าเมืองและกลายเป็นผู้ต้องกักอยู่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองขอไทยมานานกว่า 10 ปีแล้ว เพราะไม่มีประเทศที่สามรับตัวไป อีกทั้งเดิมทีชาวอุยกูร์เหล่านั้นไม่ยอมกลับไปบ้านเกิดด้วยเกรงการลงโทษจากรัฐบาลจีน การถูกกักตัวเป็นระยะเวลาที่ยาวนานนับ 10 ปี ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างชาวอุยกูร์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จึงทำให้ชาวอุยกูร์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สตม. สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การส่งกลับครั้งนี้จึงเป็นไปด้วยความราบรื่นและเรียบร้อย

อีกทั้งในช่วงตรุษจีนของปีนี้เอง รัฐบาลจีนได้นำการแสดงของชาวอุยกูร์มาแสดงที่เยาวราช กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ได้เห็นถึงการยอมรับของสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า ชาวอุยกูร์เป็นส่วนหนึ่งของจีน ซึ่งเป็นไปตามแผนงานในการพัฒนาประเทศของรัฐบาลจีน โดยหลังจากนั้นรัฐบาลจีนได้ส่งคลิปต่าง ๆ ที่ถ่ายจากญาติพี่น้องของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชาวอุยกูร์ในปัจจุบัน และครอบครัวของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นต่างก็เรียกร้องต้องการให้ญาติพี่น้องของตนได้เดินทางกลับบ้านเพื่อไปใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องพลัดพรากห่างกันมานานกว่า 10 ปี และต่อมารัฐบาลจีนได้ทำการออกหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการว่า ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนนี้จะไม่ถูกดำเนินคดี และยังจะได้รับการฝึกงานสร้างอาชีพให้มีรายได้ต่อไป โดยสามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวได้เลยทันทีหลังจากเดินทางกลับและผ่านการตรวจร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 คณะผู้แทนของประเทศไทยได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนและตรวจสอบชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับ โดย พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผบ.ตร. หนึ่งในคณะผู้แทนไทยได้เปิดเผยว่า คณะผู้แทนไทยได้พบอดีตผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นซึ่งปรากฏแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความปลอดภัยและความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งต่อการกลับมาของครอบครัวอดีตผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้น ดังนั้น UNHCR และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งออกมาประท้วงและหรือประณามประเทศไทยถึงการส่งตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เหล่านั้นกลับ คงต้องกลับไปหาข้อมูลและทบทวนใหม่ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาทำไม UNHCR จึงไม่สามารถประสานจัดการส่งคนเหล่านี้ไปประเทศที่สามได้สำเร็จ (แต่กลับสามารถทำให้ผู้ต้องหาในคดีความผิดตามมาตรา 112 หลบหนีออกจากประเทศไทยไปเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศต่าง ๆ ได้) เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้เองก็ทำการผลักดันผู้อพยพหลบหนีเข้าเมืองเพื่อส่งออกนอกประเทศกันเป็นการใหญ่ การที่จะกล่าวหาหรือประณามหยามเหยียดใครจนได้รับความเสียหายนั้น สมควรที่จะได้ทบทวนมองดูตัวเองให้ดีโดยถี่ถ้วนเสียก่อน เพราะการกระทำกับคำพูดของทั้ง UNHCR และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ มีความย้อนแย้งขัดกันมากเหลือเกิน และต้องรอดูกันต่อไปว่า ชาวปาเลสไตน์ที่เดินทางกลับบ้านที่ฉนวนกาซ่าจะได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีเทียบเคียงได้กับการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนของรัฐบาลจีน เช่นนี้หรือไม่?

ILINK เผยผลประกอบการปี 67 มีกำไร 744 ลบ. เพิ่มขึ้น 4.43% ตั้งเป้าปี 68 รายได้รวม 7,120 ลบ. เน้นเติบโตแบบคุณภาพทุกกลุ่มธุรกิจ

ILINK เผยผลประกอบการปี 2567 มีกำไร 744 ลบ. กวาดรายได้รวม 6,772 ลบ. มั่นใจปี 2568 ขับเคลื่อนทุกกลุ่มธุรกิจ ด้วยปัจจัยเชิงกลยุทธ์ เน้นเติบโตแบบมีคุณภาพ 'Quality Growth'

เมื่อวันที่ (28 ก.พ.68) นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น หรือ ILINK เปิดเผยถึงผลประกาศผลประกอบการประจำปี 2567 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้รวมทั้งปี 6,772 ล้านบาท แม้รายได้รวมจะลดลงเล็กน้อย 2.77% แต่กำไรสุทธิยังคงเติบโตได้ดี สะท้อนถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและกลยุทธ์ 'Quality Growth' หรือการเติบโตอย่างมีคุณภาพ 

สำหรับปี 2568 ILINK ตั้งเป้ารายได้รวม 7,120 ล้านบาท และกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 9% ของรายได้ โดยจะมุ่งเน้นการเติบโตใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ, ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ, และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2568 ที่จะส่งผลให้เติบโตจาก Technology  Advancement และ  Hyper Scale  Data Center Investment อีกทั้งนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุน Green Energy & Solar Roof Policy และ Recovery of Tourists

โดยธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ทำรายได้รวม 3,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% กำไรสุทธิ 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.66% ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 ที่ 3,420 ล้านบาท

ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ ทำรายได้รวม 953 ล้านบาท ลดลง 28.28% กำไรสุทธิ 58 ล้านบาท ลดลง 45.48% คาดว่าจะมีงานโครงการใหม่ในปี 2568 มูลค่า 2,271.71 ล้านบาท

ธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์: ทำรายได้รวม 2,711 ล้านบาท ลดลง 1.6% กำไรสุทธิ 324 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.55%

ILINK มั่นใจว่าจะสามารถรักษาการเติบโต และทำกำไรอย่างต่อเนื่องในปี 2568 โดยเน้น "การเติบโตอย่างมีคุณภาพ 'Quality Growth' " และคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง New High อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top