Sunday, 22 June 2025
ค้นหา พบ 48945 ที่เกี่ยวข้อง

เดินหน้าร่วมมือจีน!! ‘แพทองธาร’ กระชับ!! มิตรภาพสองชาติ เปิดบทใหม่ สร้างสายสัมพันธ์อันดี

(8 ก.พ. 68) "จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่สวยงาม คนไทยไม่น้อยอยากมาเที่ยว ตัวดิฉันเคยมาปักกิ่งหลายครั้งและชอบที่นี่เช่นกัน นอกจากรู้สึกเหมือนบ้านแล้วยังสัมผัสได้ถึงมิตรไมตรี" 

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันพฤหัสบดี (6 ก.พ.) ที่ผ่านมา

ปี 2025 ตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ซึ่งระหว่างการสัมภาษณ์ แพทองธารได้แสดงเข็มกลัดที่ระลึกเนื่องในวาระดังกล่าว พร้อมเอ่ยวลี "จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" หลายครั้ง เน้นย้ำหลายหนว่าไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับจีน และกล่าวถึงความเป็นมาการแลกเปลี่ยนฉันมิตรระหว่างสองฝ่ายหลายครั้ง

แพทองธารกล่าวว่าการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนชาวไทยกับชาวจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมิตรภาพระหว่างสองประเทศก้าวสู่ 50 ปีทอง โดยทั้งสองฝ่ายร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากกรุงปักกิ่งมาประดิษฐานในไทย ซึ่งชาวไทยสนใจอย่างมาก และมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสานต่อมิตรภาพดั้งเดิมระหว่างสองประเทศ

สำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า แพทองธารเริ่มต้นด้วยการชื่นชมการพัฒนาอันรวดเร็วของจีนและผลการดำเนินงานอันโดดเด่นของกลุ่มบริษัทจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยการพัฒนาอันรวดเร็วของจีนดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก และหลายแนวคิดที่เสนอโดยผู้นำจีนเป็นที่จับตามองกันอย่างมาก

เมื่อวันที่ 4 ม.ค. แพทองธารได้เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีและอนุมัติโครงการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 2 พร้อมระบุว่าจะเดินหน้าส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานและความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าภายใต้กรอบการทำงานตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ต่อไป

นอกจากนั้นไทยจะส่งเสริมการก่อสร้างทางรถไฟไทย-จีน เพื่อให้ทางรถไฟสายนี้ที่เชื่อมต่อไทย ลาว และจีน กลายเป็นเส้นทางขนส่งข้ามชาติที่สำคัญสำหรับการขนส่งผู้คนและสินค้าโดยเร็วที่สุด โดยแพทองธารแสดงความเชื่อมั่นว่าการเชื่อมโครงสร้างพื้นฐานจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและประชาชนยิ่งขึ้น

แพทองธารยังกล่าวถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีนในไทย ระบุว่าปี 2024 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเยือนไทยราว 6.7 ล้านคน แม้ยังไม่แตะระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยไทยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีนทุกคนเป็นอย่างยิ่ง และเธอได้หารือกับตำรวจท่องเที่ยวและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่น ๆ อยู่หลายครั้งเกี่ยวกับการปกป้องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีน

ขณะเดียวกันแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรีแสดงความจริงจังในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม กล่าวว่าไทยได้ตัดกระแสไฟฟ้าที่จ่ายแก่เมียนมาตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. ซึ่งทราบว่าช่วยลดจำนวนสายโทรศัพท์หลอกลวงลง และจะประเมินผลลัพธ์ของการตัดไฟหลังจากครบหนึ่งสัปดาห์

แพทองธารกล่าวว่าไทยจะทำงานร่วมกับจีนในอนาคต เพื่อศึกษาการจัดตั้งกลไกคณะทำงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล ปฏิบัติงานร่วมกัน และร่วมแก้ไขปัญหานี้

สำหรับการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ในเมืองฮาร์บิน มณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน แพทองธารกล่าวว่าแม้ไทยไม่มีหิมะ แต่ชาวไทยสนใจกีฬาน้ำแข็งและหิมะอยู่ไม่น้อย โดยเธอจะเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันครั้งนี้ พร้อมส่งกำลังใจแก่นักกีฬาไทยและนักกีฬาจากประเทศอื่น ๆ ที่เข้าร่วมด้วย

แพทองธารกล่าวว่ากีฬาเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรม เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ (soft power) ของประเทศ และเป็นส่วนสำคัญของมิตรภาพระหว่างไทยกับจีน ซึ่งเธอวางแผนจะประชาสัมพันธ์กีฬาไทยเดิมอย่างมวยไทยระหว่างเดินทางเยือนเมืองฮาร์บินด้วย

ทั้งนี้ แพทองธารทิ้งท้ายว่าชาวไทยและชาวจีนเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน มีการไปมาหาสู่และติดต่อสื่อสารใกล้ชิด วัฒนธรรมประเพณีคล้ายคลึงกัน การช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน สามารถเข้าใจและไว้วางใจกันและกันเสมอมา โดยไทยพร้อมทำงานร่วมกับจีนเพื่อเปิดบทใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-จีน

‘สนธิ’ เผย!! ‘บิ๊กโจ๊ก’ ถอนฟ้อง คดีหมิ่นประมาท ให้แล้วทุกคดี ชี้!! ทำพลาดที่สุดในชีวิตที่ไปฟ้อง อ้อน!! ขอให้เมตตาเหมือนเดิม

(8 ก.พ. 68) นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ประธานที่ปรึกษาสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ เป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ ได้จัดรายการ SONDHITALK ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep : 279 และได้กล่าวถึง ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีใจความว่า ...

ผมโดน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ฟ้องคดีหมิ่นประมาท ทั้งหมด 8 คดี 7 คดี ฟ้อง ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ใน 7 คดีนั้นมีอยู่ 6 คดี ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ชี้ว่ามีมูล แล้ว 6 คดี ก็มีคำสั่งมาจากท่านอธิบดีว่า ให้จบภายใน 6 เดือน แล้วเขาก็ใช้คุณมินนี่ ฟ้อง อีกคดีที่จังหวัดเลย เป็นคดีหมิ่นประมาทเช่นเดียวกัน 

ซึ่งผม นายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าสู้คดีอย่างสุดฤทธิ์ โดยที่ไม่เกรงกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น ปรากฏว่า บิ๊กโจ๊ก ถอนฟ้องคดีทุกคดี โดยระบุว่าโจทก์และจำเลย ตกลงกันได้ แต่เนื่องจากเขาถอนฟ้อง โดยไม่ได้คุยอะไรกัน ก็กลายเป็นว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย จนกระทั่ง ‘ทนายนกเขา นิติธร ล้ำเหลือ’ ได้มาแจ้งว่า บิ๊กโจ๊ก ได้ถอนฟ้องหมดแล้ว ถอนฟ้องโดยไม่มีเงื่อนไข สรุปแล้วทั้ง 8 คดี ถอนฟ้องหมดเลย

และสิ่งที่ บิ๊กโจ๊กพูด สิ่งที่เขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็คือ การมาฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล

และบิ๊กโจ๊ก ก็ได้มีโอกาสมาเข้าพบ ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ถอนฟ้องแล้ว ก็มาบอกว่า ขอโทษ และให้ช่วยเมตตาเหมือนเดิม ซึ่งคำว่าเมตตานั้น ถ้าผมเห็นว่าคุณทำผิด แล้วผมจะพูดผิด ให้กลายเป็นถูกนั้น ผมทำไม่ได้ แต่ว่าถ้าคุณทำอะไรแล้ว มันก้ำกึ่ง ผมจะให้ความยุติธรรมกับคุณ

‘ชาวเมียวดี’ ชุมนุมต่อต้านไทย!! หลังมาตรการ ‘ตัดไฟ-ตัดน้ำมัน’ เตรียมรับมือปัญหาต่อไป ‘การลักลอบเข้าเมือง-การค้า-สาธารณสุข’

ตามที่รัฐบาลไทยใช้ปฏิบัติการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยการเน้นไปที่การตัดไฟ ตัดน้ำมันและอินเทอร์เนตนั้น เอย่ากล่าวแล้วในบทความก่อนว่าการตัดไฟนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่กลุ่มสแกมเมอร์เลย เพราะพวกนั้นไม่ได้ซื้อขายผ่านระบบที่ถูกต้องอยู่แล้วทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน คนที่เดือดร้อนคือชาวบ้านที่เมียวดีและชาวบ้านริมชายแดนที่ได้รับอานิสงส์จากการซื้อขายไฟต่างหากเป็นผู้ได้รับผลกระทบ

และนั่นก็ทำให้เหตุวันนี้เกิดขึ้น โดยวันนี้เวลา 9.00 น. ชาวเมียวดีมาชุมนุมเรียกร้องให้ปิดการค้าขายทั้งหมดทั้งสะพานและท่าข้ามต่าง ๆ จากไทยและแบนการใช้สินค้าไทยทั้งหมดเพื่อตอบโต้ที่ไทยปฏิบัติการที่ไทยจัดการสแกมเมอร์แต่ชาวบ้านเดือดร้อน

เอย่าได้กล่าวไปแล้วว่าการตัดไฟ ตัดน้ำมัน เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและจะสร้างผลเสียหายต่อไทยโดยเฉพาะการค้าชายแดน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะลุกลามเป็นกระแสการแบนสินค้าไทยในเมียนมาด้วย 

การค้าชายแดนที่ผ่านมาหากนับแค่การค้าผ่านด่านการค้าชายแดนก็มีมูลค่านับพันล้านบาทต่อเดือน โดยหากดูมูลค่าส่งออกเดือนธันวาคม อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาทไม่รวมการส่งออกตามท่าข้ามต่าง ๆ

แม้จนถึงตอนนี้จะมีรายงานว่ามีประชาชนมาชุมนุมยังไม่มากดังที่แผนที่เขาววางไว้ว่าจะมาชุมนุมถึง 3000 คนก็ตามแต่หากความเดือดร้อนนี้ยังคงอยู่ จะยิ่งสร้างความขัดแย้งอันนำผลมาสู่ปัญหาชายแดนนอกจากเรื่องการค้าแล้ว การลักลอบเข้าเมืองจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งปัญหาเรื่องสาธารณสุขที่จะกลายเป็นว่าคนเหล่านั้นจะข้ามมารักษาตัวที่ไทย  แล้วใครคือผู้ได้รับผลกระทบจริง ๆ กลุ่มคอลเซนเตอร์หรือคนไทย...?

ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ช่วยนำส่งหัวใจดวงที่ 113 จากผู้ให้สู่ผู้รับได้สำเร็จ ช่วยให้หัวใจดวงนี้กลับมาเต้นอีกครั้ง

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์จราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำกับดูงานงานจราจร ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกการจราจร การป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตลอดจนการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือบนท้องถนน ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานว่าตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร ได้ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำอวัยวะหัวใจส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต่อลมหายใจให้ชีวิตใหม่เป็นหัวใจดวงที่ 113 โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชน รวมถึงตำรวจทางหลวง จึงนำส่งได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 

ทั้งนี้ ภารกิจนำส่งอวัยวะหัวใจครั้งล่าสุดนี้ เป็นการส่งต่อหัวใจดวงที่ 113 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งหัวใจได้ถูกผ่าตัดออกจากผู้บริจาคเวลาประมาณ 11.00 น. แพทย์นำหัวใจเดินทางออกจากโรงพยาบาลใน จ.ลำปาง เวลา 11.43 น. ตำรวจทางหลวงลำปางเร่งเปิดทางนำส่งไปยังสนามบินลำปางอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 4 นาที ซึ่งกระบวนการทั้งหมดมีเวลาอีกเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้นในการนำหัวใจปลูกถ่ายให้ผู้รับ ทำให้เร่งรัดต้องนำส่งให้ถึงโรงพยาบาลปลายทางก่อนเวลา 15.00 น. เครื่องบินยกตัวในเวลา 12.00 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ในการลำเลียงอวัยวะหัวใจมาถึงสนามบินแสงตะวัน ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ในเวลาประมาณ 14.00 น. และเวลาตาม GPS ต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง 16 นาที เพื่อนำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หากเดินทางปกติอาจทำให้เกินเวลาและเสียหัวใจดวงนี้ไป ศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยจึงประสานขอสนับสนุนตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ช่วยในภารกิจการนำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หลังจากรับแจ้ง ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้นำกำลังไปรอรับบริเวณสนามบินแสงตะวัน เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร เร่งนำส่งอวัยวะหัวใจไปยังโรงพยาบาลจุดหมาย ใช้เส้นทางผ่านถนนมอเตอร์เวย์วงแหวนตะวันออก ขึ้นทางด่วนจตุโชติ-รามอินทรา ลงด่านพระราม 4 โดยมีรถจักรยานยนต์ของตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ จำนวน 7 คัน นำทางให้รถพยาบาล ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนผู้ใช้เส้นทางที่ช่วยเปิดทางให้ ใช้เวลาปฏิบัติภารกิจเพียง 38 นาทีเท่านั้น นำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้สำเร็จ

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ไกรบุญฯ ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ รวมถึงตำรวจทางหลวง ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง 'สุภาพบุรุษจราจร' ที่คณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจรกำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน สร้างความเชื่อถือศรัทธา 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่ประมาณ 7,500 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย โดย 1 ผู้ให้สามารถช่วยได้ 8 ชีวิต การบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจโครงการพระราชดำริ ได้ที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197

ตำรวจภูธรภาค 2 ทลายออฟฟิศออนไลน์เถื่อน จับกุมชาวจีน 12 ราย เร่งขยายผลเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.68) เวลา 08.30 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี (ผบก.ภ.จว.ชลบุรี) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรบางละมุง นำหมายค้นเข้าตรวจสอบอาคารแห่งหนึ่งในพื้นที่ ตำบลหนองปลาไหล อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี หลังได้รับเบาะแสจากประชาชนว่ามีการลักลอบดำเนินกิจกรรมออนไลน์ต้องสงสัย จากการตรวจค้น พบชาวจีนจำนวน 12 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ 2 รายอยู่ในประเทศไทยเกินกำหนด (Overstay) นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมออนไลน์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์เปิดใช้งานอยู่ 10 เครื่อง โทรศัพท์เคลื่อนที่ 61 เครื่อง จากการตรวจสอบเบื้องต้น สันนิษฐานว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวอาจมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับธุรกิจเงินกู้ออนไลน์ ที่ให้บริการแก่ลูกค้าชาวจีน ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่าง ขยายผลการสอบสวน เพื่อเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด และบันทึกข้อมูลเป็นบุคคลต้องห้ามหรือลงแบล็กลิสต์ (Blacklist) เพื่อสกัดกั้นบุคคลไม่พึงประสงค์เข้าสู่ประเทศไทย  

ตำรวจภูธรภาค 2 จะไม่ยอมให้มิจฉาชีพข้ามชาติ หรือกลุ่มอาชญากรใด ๆ ใช้พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นแหล่งซ่องสุมหรือก่ออาชญากรรมอย่างเด็ดขาด เราจะเดินหน้ากวาดล้างเครือข่ายมิจฉาชีพให้สิ้นซาก ใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ทุกคนที่คิดละเมิดกฎหมายต้องได้รับโทษ ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีที่ยืนในสังคม!  ขอเตือนทุกกลุ่มอาชญากร อย่าคิดว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมาย! ตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมเดินหน้ากวาดล้างทุกเครือข่ายอาชญากรรม ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือกลุ่มผู้กระทำผิดในทุกรูปแบบ เราจะลุยเต็มกำลัง ไม่มีละเว้น!

ตำรวจภูธรภาค 2 ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน หากพบเบาะแสเกี่ยวกับอาชญากรรม หรือบุคคลต้องสงสัย แจ้งข้อมูลได้ทันทีที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน หรือโทรแจ้งสายด่วน 191 และ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับ และเราจะจัดการกับอาชญากรให้ถึงที่สุด!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top