Sunday, 22 June 2025
ค้นหา พบ 48945 ที่เกี่ยวข้อง

เครือข่ายหยุดพนันบุกกฤษฎีกา ยื่น 4 ข้อหนุนความเห็นกฤษฎีกาแยกกาสิโนออกจากสถานบันเทิงครบวงจร ชงควรอยู่ภายใต้ พรบ.พนัน พร้อมขอเวลาให้ภาคีรวบรวมรายชื่อประชาชนเสนอทำประชามติกาสิโนก่อน ไม่ควรรีบทำตามใบสั่งการเมือง ต้องรอบคอบเพราะผลกระทบกว้างขวา

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.68) เวลา 10.00 น. หน้าอาคารสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถนนพระอาทิตย์ นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน พร้อมด้วยตัวแทนมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายนักศึกษานิติศาสตร์ และเครือชุมชนลดปัจจัยเสี่ยงกว่า 50 คน เข้ายื่นหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อแสดงจุดยืนให้ฟังเสียงประชาชน มากกว่ารับคำสั่งฝ่ายการเมือง โดยเครือข่ายได้แสดงละครล้อเลียน คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เปรียบเสมือนพ่อครัวอย่าแต่มุ่งทำอาหารประเคนฝ่ายการเมือง โดยไม่ให้ความสำคัญกับเสียงสะท้อนความต้องการของประชาชน พร้อมชูป้ายข้อความอาทิ กฤษฎีกาต้องอิสระไม่ถูกควบคุมสั่งการจากการเมือง  รัฐบาลต้องเป็นผุ้ควบคุมไม่ใช่เปิดทางสร้างผีพนัน กาสิโนต้องอยู่ภายใต้ พรบ.พนัน เป็นต้น

​นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รับดำเนินการตรวจและปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อพร้อมนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในลำดับถัดไป โดยก่อนหน้านั้นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือแสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา มูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและภาคีเครือข่าย ใคร่ขอแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. มูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและเครือข่ายฯ เห็นด้วยกับข้อเสนอของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า กิจการสถานบันเทิงครบวงจรกับกิจการสถานเล่นพนัน ควรแยกการพิจารณาออกจากกัน เพราะกิจการหนึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่อีกกิจการหนึ่งมีวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหาการพนัน ด้วยแต่ละกิจการต่างมีกฎหมายเฉพาะที่ควบคุมอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายในเรื่องนั้น ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก เพราะจะเป็นความซ้ำซ้อน และควรใช้มาตรการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสำคัญ  

นายธนากรกล่าวอีกว่า  2. การออกกฎหมายใหม่นี้ จึงดูมีเจตนาอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้อำนาจออกใบอนุญาต และผู้ประกอบธุรกิจ ในลักษณะจอดจุดเดียวจบ หรือ one-stop service ซึ่งไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องอำนวยความสะดวกให้มากเช่นนี้ และอาจขัดกับกฎหมายเดิมเมื่อถึงคราวปฏิบัติจริง การออกกฎหมายใหม่เพื่อการนี้จึงเปรียบเสมือนการพยายาม 'สวมเสื้อตัวใหญ่' ที่จะก่อให้เกิดความรุ่มร่าม จนสุดท้ายเป็นอุปสรรคต่อผู้ใช้งานเอง 3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 77 บัญญัติว่า “รัฐพึงมีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น” และในเมื่อสถานกาสิโนคือแหล่งเล่นพนันขนาดใหญ่ กิจการนี้ก็พึงอยู่ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่แล้ว คือ พระราชบัญญัติการพนัน เป็นการเข้าตามตรอกออกตามประตูที่พึงกระทำ มิใช่การใช้วิธีสร้างทางลัดหรือทางลอดของตนเอง โดยใช้วิธีการออกกฎหมายพิเศษหรือกฎหมายเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทำในสิ่งที่ตนอยากทำได้ ที่สำคัญยิ่งคือ รัฐพึงเป็นผู้ควบคุมการพนัน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อภาวะเศรษฐกิจ ความปลอดภัยในชีวิต สุขภาพกายและจิต และความมั่นคงของมนุษย์ รัฐจึงไม่พึงอยู่ในฐานะผู้ส่งเสริมหรือสนับสนุนการเพิ่มแหล่งพนันด้วยนโยบายของรัฐบาลเอง เพราะรัฐเปรียบเสมือนอัศวินผู้ปราบยักษ์มาร มิใช่ผู้เปิดประตูเมืองให้ยักษ์มารย่างกรายเข้ามาอย่างสง่างามโดยการออกกฎหมายใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบธุรกิจการพนัน และหากเอกชนรายใดต้องการประกอบกิจการจำพวกนี้ ก็พีงเสนอขออนุญาตตามช่องทางของกฎหมายที่มีอยู่

“3. มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน และภาคีเครือข่ายขอเป็นกำลังใจให้คณะกรรมการกฤษฎีกายืนหยัดในความถูกต้อง โดยยึดมั่นว่า “ลูกค้าที่แท้จริงของท่านคือประชาชน” และดำรงความเป็นอิสระจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง เพื่อดำรงศรัทธาและความเชื่อถือของอนุชนคนรุ่นใหม่ และประชาชนต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาสืบไป และ 4. ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาสนับสนุนการขอใช้สิทธิของประชาชนในการเข้าชื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีจัดทำประชามติ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ จึงขอให้รัฐบาลเคารพสิทธิของประชาชน และให้โอกาสเครือข่ายในการดำเนินการรวรวมรายชื่ออย่างน้อย 60 วัน โดยไม่เร่งรัดจะให้ออกกฎหมายนี้โดยเร็วตามความต้องการของฝ่ายการเมือง” นายธนากร กล่าว

‘ผบช.ไซเบอร์’ เผยเตรียมปิดตาย!! FiveM หลังทาง Rockstar Game ให้ความร่วมมือ พบมี!! ‘เซิร์ฟเวอร์’ หลายแห่ง สนับสนุนความรุนแรงออนไลน์ กิจกรรมผิดกฎหมาย

(8 ก.พ. 68) ที่กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท.พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าว เตรียมปิดตาย FiveM ซึ่งทาง Rockstar Game รับลูกไม่ร่วมสนับสนุนความรุนแรง หลัง บช.สอท. ส่งคำร้องไปขอความร่วมมือกับ Take-Two Interactive Software, Inc. บริษัทแม่ของ Rockstar Game และ FiveM ให้พิจารณาปิดกั้นเนื้อหาที่มีความรุนแรงเกินขอบเขตและการล่วงละเมิดในเกมออนไลน์ โดยเฉพาะที่ปรากฏอยู่ใน Grand Theft Auto V (GTA V) และใน FiveM ซึ่งพบว่ามีบาง Server หรือ บาง Community ได้มีการทำผิดกฎ

ล่าสุด Rockstar Game พร้อมดำเนินการตามการร้องขอของ บช.สอท. โดยมีนโยบายชัดเจนที่จะไม่อนุญาตให้มีการล่วงละเมิด กลั่นแกล้ง ข่มขู่ หรือโจมตีระหว่างผู้เล่นต่อผู้เล่นนอกเกม โดยเฉพาะผู้ที่ทำผิดกฎ 4 ข้อนี้ ได้แก่

1. การล่วงละเมิดหรือมุ่งเป้าทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เสียชื่อเสียง การข่มขู่ หรือการสะกดรอยตามนอกเกม

2. การสร้างความเกลียดชังและเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานอัตลักษณ์ เชิดชูหรือส่งเสริมกลุ่มที่มีแนวคิดเกลียดชัง หรือการโจมตีบุคคลโดยอิงจากลักษณะที่ได้รับการคุ้มครอง เช่น เชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ เพศ อัตลักษณ์ทางเพศ หรือการแสดงออกทางเพศ รสนิยมทางเพศ สถานะความพิการ สัญชาติ อายุ ศาสนา สถานะทางครอบครัว ฯลฯ

3. เนื้อหาความรุนแรงร้ายแรงและความโหดร้าย เผยแพร่ภาพหรือกราฟิกที่รุนแรง รวมถึงภาพการทารุณกรรมสัตว์

4. ภาพโป๊เปลือยของผู้ใหญ่และกิจกรรมทางเพศ เผยแพร่ภาพที่มีเนื้อหาทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง หรือใช้แพลตฟอร์มของเราเพื่อเรียกร้องหรือแสวงหาความพึงพอใจทางเพศ

ทั้งนี้จากการสืบสวนของ บช.สอท. พบว่า มีเซิร์ฟเวอร์หลายแห่งที่สนับสนุนความรุนแรงทางออนไลน์ การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งละเมิดข้อกำหนดการให้บริการของ Take-Two ซึ่งกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อ Take-Two ให้ดำเนินการลบเนื้อหาดังกล่าวและบังคับใช้นโยบายของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ

การ take down ครั้งนี้เป็นการสร้างช่องทางความร่วมมือระหว่างกัน พร้อมกับร้องขอให้ Take-Two ลบเซิร์ฟเวอร์ที่สนับสนุนความรุนแรง การข่มขู่ และการล่วงละเมิด แบนผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่เป็นอันตราย เสริมสร้างระบบการตรวจสอบและรายงานเพื่อป้องกันการละเมิดในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ Rockstar เคยปิดเซิร์ฟเวอร์ในไทยมาแล้วที่ทำผิดกฎ

จึงขอให้ชุมชนคนเกมออนไลน์ ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบธุรกิจในไทย Influencer หรือเกมเมอร์ ทั้งหลายช่วยกันสอดส่องดูแล และมีบทบาทในการรักษาความปลอดภัยในโลกออนไลน์ร่วมกัน โดยการรายงานกรณีการล่วงละเมิดหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมผ่านช่องทางที่กำหนดในเกม หรือแจ้งให้ทางตำรวจไซเบอร์ได้ทราบ เพื่อดำเนินการประสานงานกับบริษัทในต่างประเทศ ช่วยสร้างสังคมนอกเกมที่สวยงามในสังคมไทย

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ!! ผู้สูงอายุรับเงินสด 10,000 บาท ชี้!! มีแนวโน้ม ทำให้สนับสนุนรัฐบาล เกือบ 45%

(9 ก.พ. 68) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ ของประชาชน เรื่อง ‘ผู้สูงอายุรับเงินสด 10,000 บาทแล้วจะสนับสนุนรัฐบาลไหม’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ทั้งตนเอง และ/หรือคนในครอบครัว ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการได้รับเงินสด 10,000 บาท จากรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนด
ค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการนำเงินไปใช้จ่ายของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวที่ได้รับเงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 86.18 ระบุว่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ น้ำมันเชื้อเพลิง) รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค หาหมอ) ร้อยละ 13.66 ระบุว่า ใช้หนี้ ร้อยละ 11.98 ระบุว่า เก็บออมไว้สำหรับอนาคต ร้อยละ 9.24 ระบุว่า ใช้ลงทุนการค้า ร้อยละ 8.70 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ร้อยละ 4.35 ระบุว่า ใช้ซื้อหวย สลากกินแบ่งรัฐบาล ร้อยละ 1.76 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 0.53 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือ และเครื่องมือสื่อสาร ร้อยละ 0.46 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ เป็นต้น)

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการสนับสนุนรัฐบาลของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 44.89 ระบุว่ามีส่วนทำให้สนับสนุนรัฐบาล รองลงมา ร้อยละ 30.69 ระบุว่า จะมีหรือไม่มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว ร้อยละ 14.35 ระบุว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 10.07 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร 

‘เทพไท’ เย้ย!! 'นายกฯอิ๊งค์' เยือนจีน ได้แต่ภาพ ไม่ได้ผล ชี้!! แค่การลงนามใน ‘MOU’ แบบพื้นๆ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ

(9 ก.พ. 68) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ‘เทพไท – คุยการเมือง’ เรื่อง อุ๊งอิ๊ง เยือนจีน ได้ภาพมากกว่าผล?

หลังจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กลับจากการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 5 – 8 กุมภาพันธ์ 2568 แล้ว ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านบัญชีโซเชียลมีเดียส่วนตัว ถึงความสำเร็จที่ได้เซ็นเอ็มโอยู 13 ฉบับ ซึ่งน่าจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูต ที่ผู้นำประเทศเดินทางไปเยือนกัน จะมีพิธีการลงนามในเอ็มโอยูกันเป็นปกติ

แต่อย่าลืมว่าการเดินทางไปเยือนประเทศจีนของนางสาวแพทองธารในครั้งนี้เป็นการเดินทางเยือนในโอกาสครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งเป็นวาระสำคัญ น่าจะมีประเด็นสำคัญเป็นกรณีพิเศษมากกว่าการลงนามในเอ็มโอยูแบบพื้นๆ

ในขณะเดียวกันการเดินทางเยือนประเทศจีนครั้งนี้ ก็ไม่มีประเด็นข่าวที่สื่อมวลชนในต่างประเทศเสนอ และให้ความสำคัญเลย แม้แต่สำนักข่าวซินหัวของจีน ก็ลงข่าวแค่ภาพที่นางสาวแพทองธารจับมือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิงเท่านั้น ไม่มีเนื้อข่าวประกอบ หรือคำอธิบายเพิ่มเติมเลย

ส่วนการเสนอข่าวของสื่อไทย ก็เป็นการเสนอข่าวการสัมภาษณ์ของรัฐมนตรีที่ติดตามคณะของนางสาวแพทองธาร ทุกคนจะเน้นในประเด็นที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ชื่นชมนางสาวแพทองธารและรัฐบาลไทย ที่ได้ตัดกระแสไฟฟ้าชายแดนพม่า 5 จุด เพื่อสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ นางสาวแพทองธารเองก็รู้สึกปลื้มกับคำชมนี้มากด้วยเช่นกัน

จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมรัฐบาลจึงเร่งการตัดไฟชายแดนพม่าอย่างเร่งด่วนให้ได้ ก่อนที่นางสาวแพทองธารจะออกเดินทางไปเยือนประเทศจีน ทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เร่งตัดไฟตอนเวลา 9 โมง ก่อนที่นางสาวแพทองธารขึ้นเครื่องบินไปประเทศจีน 3 ชั่วโมง  ถ้าหากว่าไม่มีประเด็นการตัดไฟก่อนไปเยือนประเทศจีน คงไม่มีประเด็นอะไรไปอวด ให้นายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้ชื่นชมและขอบคุณ

สำหรับประเด็นข่าวที่เสนอกันในสื่อโซเชียลมากที่สุด ไม่ใช่ประเด็นวาระงานการเยือนประเทศจีน แต่เป็นเรื่องการแต่งตัวของนางสาวแพทองธาร ที่ถูกวิจารณ์เรื่อง หมวก เสื้อผ้า และกางเกง รวมไปถึงรองเท้าที่สวมใส่ ว่ามีความเหมาะสมกับภาวะผู้นำประเทศหรือไม่

สรุปได้ว่าการเดินทางไปเยือนประเทศจีนของนางสาวแพทองธารในครั้งนี้ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญ ได้เพียงแค่การสร้างภาพการเดินทางไปเยือน แต่ผลสัมฤทธิ์ของเนื้องานกลับไม่มีเลย นับว่าเป็นการเสียโอกาสของประเทศชาติอีกครั้งหนึ่ง

‘เนเน่ รัดเกล้า’ โพสต์เเนะ!! กรณี ‘สส.ปูอัด ไชยามพวาน’ ชี้!! ควรมีจิตสำนึก ยืดอก ลาออก เป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคม

(9 ก.พ. 68) นางสาวรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี หรือ ‘เนเน่’ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ กรณี ‘สส.ปูอัด ไชยามพวาน’ โดยมีใจความว่า …

สิ่งที่ #สสปูอัด ต้องทำ และทำทันทีคือ ‘ลาออก’ ...เพราะประชาชนคนไทยสมควรที่จะมีผู้แทนที่มีคุณภาพ เป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคมและคนรุ่นหลัง ไม่มีมลทินทั้งในด้านกฏหมายและจริยธรรม

แม้ว่ากฏหมายและแนวปฏิบัติโดยปรกติ สภาจะไม่ส่งตัว สส.ที่ถูกออกหมายจับไปให้ตำรวจระหว่างสมัยประชุม เพื่อไม่ให้การทำหน้าที่สมาชิกผู้แทนราษฎูรในฝ่ายนิติบัญญัติสะดุดลง และคดีอาจจะเกิดขึ้นจากการถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง... แต่! แต่!! นายไชยามพวาน (ปูอัด) เป็นบุคคลที่มีคดีทางเพศ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 2 ปี!

แม้จะออกตนว่าโดนกลั่นแกล้ง โดนใส่ร้าย (อีกแล้ว) แต่ควรมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่อันทรงเกียรติของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร... คุณยืดอก ลาออก สู้คดี พิสูจน์ตัวเอง ในฐานะบุคคลธรรมดา เถอะค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top