Sunday, 22 June 2025
ค้นหา พบ 48945 ที่เกี่ยวข้อง

‘ร.ต.อ.หญิง อัยรดา’ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ จี้!! ‘ปูอัด’ ลาออก สส. เร่ง!! หน่วยงานตรวจสอบโดยเร็ว ชี้!! ความยุติธรรมที่ล่าช้า ก็คือความไม่ยุติธรรม

(9 ก.พ. 68) ‘ร.ต.อ.หญิง อัยรดา บำรุงรักษ์’ รองโฆษกและผู้ช่วยผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีศาลเชียงใหม่ออกหมายจับ ‘นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์’ ถูกกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศนักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่า

ตนในฐานะตัวแทน ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะ ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความไม่ยุติธรรม โดยเร่งดำเนินการ ดังนี้

1. นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ควรแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการลาออก ไม่ใช้เอกสิทธิ์ สส. เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง

2. พรรคการเมืองในสังกัดปัจจุบันควรแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการออกมาแสดงจุดยืนและขอโทษประชาชน

นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากยึดตามสโลแกนที่ว่า “พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค” สะท้อนถึงปัญหาระบบการคัดสรรผู้สมัคร สส. ของต้นสังกัดเดิม จะได้เห็นว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่บุคลากรของพรรคเดิม มีประวัติและการกระทำด่างพร้อย  ดังนั้น ต่อไปนี้อยากฝากพี่น้องประชาชนอย่าเลือกคนลงสมัคร สส.ที่พรรคอย่างเดียวควรพิจารณาถึงผลงาน ประวัติ ความเป็นมาของผู้สมัครเป็นหลัก ดังนั้น คำที่ว่า พรรคเลือกคนประชาชนเลือกพรรค จึงไม่สามารถใช้กับพรรคการเมืองในเมืองไทยได้อีกแล้วเมื่อเกิดเหตุแบบนี้ซ้ำซากกับบุคคลากรของพรรคการเมืองดังกล่าว 

ทั้งนี้ ตนจึงอยากเรียกร้องให้ผู้บริหารอดีตพรรคก้าวไกลที่เป็นคนนำพา สส.คนกล่าวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ล่วงละเมิดทางเพศนักท่องเที่ยวหญิงต่างชาติเข้าสู่การเมืองและได้รับการเลือกตั้งเป็นสส.เพราะความนิยมของพรรค ได้ออกมาขอโทษพี่น้องประชาชนด้วย เนื่องจาก ผู้บริหารพรรคก้าวไกลในอดีตมักพูดเสมอว่า เป็นเพราะกระแสความนิยมพรรรคจึงได้ สส.มาเป็นจำนวนมาก 

ตนขอชื่นชมในความกล้าหาญของนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันที่จะยืดหยัดต่อผู้ถูกกล่าวหาซึ่งมีเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยไม่เกรงกลัวกับอำนาจใดๆ และประเด็นที่สังคมควรให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือ มาตรการเยียวยาผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจ และยิ่งกว่านั้นในสังคมไทยควรจะร่วมมือกันรณรงค์ในการป้องกัน สอดส่องดูแลไม่ให้ผู้ใด โดยเฉพาะเด็กและสตรี ตกเป็นเหยื่อได้อีก #nomorevictims

‘ม.กรุงเทพ’ ตั้งคณะกรรมการพิจารณาโทษ ตามข้อบังคับทางวินัยของมหาวิทยาลัย พร้อมยกเลิก!! การเพิกถอนรายวิชา ให้นักศึกษาผู้เสียหายเรียนได้ตามปกติ

(9 ก.พ. 68) ‘มหาวิทยาลัยกรุงเทพ’ ออกแถลงการณ์ กรณีนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ถูกทำร้ายร่างกาย

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณชน กรณีนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ถูกทำร้ายร่างกาย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา จนได้รับบาดเจ็บ 

มหาวิทยาลัยกรุงเทพขอแสดงความห่วงใยต่อผู้ได้รับผลกระทบ และขอย้ำจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมทั้งถือว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการละเมิดวินัยนักศึกษาอย่างร้ายแรง 

มหาวิทยาลัย ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยทันทีที่ทราบเรื่อง และได้ทราบตัวผู้ก่อเหตุ พร้อมเก็บรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องทุกกรณี ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการปกครอง เพื่อดำเนินการสอบสวนและพิจารณาโทษตามระเบียบข้อบังคับทางวินัยของมหาวิทยาลัย ควบคู่ไปกับการให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษตามกฎหมาย

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการดูแลและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ จึงได้ ดำเนินมาตรการเยียวยาเร่งด่วน ดังนี้

- ยกเลิกการเพิกถอนรายวิชา เพื่อให้นักศึกษาผู้ถูกกระทำสามารถเรียนได้ตามปกติ
- ให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่นักศึกษาและผู้ปกครอง พร้อมประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างใกล้ชิด
- ให้การรักษาพยาบาลโดยทีมแพทย์และพยาบาลของมหาวิทยาลัย และจัดเตรียมจิตแพทย์/ นักจิตวิทยา เพื่อดูแลสภาพจิตใจในกรณีที่นักศึกษาต้องการคำปรึกษา

มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการทั้งหมดด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยและความเป็นธรรมภายในสถาบัน พร้อมทั้งยืนหยัดต่อต้านความรุนแรงในทุกรูปแบบ

ยินดีกับปรมาจารย์หุ่นยนต์ ตั๊กม้อแห่งฟีโบ้ ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ผลิต!! ‘ลูกศิษย์’ มารับใช้ประเทศชาติ ‘ครบรอบ 30 ปี’

(9 ก.พ. 68) ในวโรกาส FIBO ครบ 30 ปี ยินดีกับปรมาจารย์หุ่นยนต์ ตั๊กม้อแห่งฟีโบ้ ดร.ชิต เหล่าวัฒนา  ผู้ก่อตั้งสถาบันหุ่นยนต์ แห่งมจธ.และแห่งแรกของประเทศไทย ผลิตลูกศิษย์มารับใช้ประเทศชาติครบรอบ 30 ปีในปีนี้ ได้สร้างชื่อเสียง และความภาคภูมิใจต่อมจธ.เป็นอย่างสูงยิ่ง ความยากลำบากในอดีตที่เจ้าสำนักผู้ก่อตั้งได้แบกไว้ ได้ส่งต่อความสำเร็จให้กับเจ้าสำนักคนใหม่แล้ว แต่ยังคงเป็นปรมาจารย์ต่อสำนักแห่งนี้สืบไปไม่มีวันสิ้นสุด และส่งผลบุญต่อผู้ก่อตั้งนำมาซึ่งความปิติและความภาคภูมิใจในความสำเร็จนี้ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่มีส่วนร่วมสร้างสำนักฟีโบ้(อาคาร)อดปลื้มใจด้วยไม่ได้ และมองเห็นความเติบใหญ่ของสำนักฟีโบ้ที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ขึ้นไปอีก ด้วยเกิดจากความรู้ ความสามารถ ความสำนึกดี ความตั้งใจดีของผู้เริ่มก่อตั้ง ดร.ชิต เหล่าวัฒนา มจธ.20 นับจากวันนั้นที่ตัดสินใจกลับมาก่อตั้งสำนักฟีโบ้แห่งนี้

‘เอกนัฏ’ ลุยสิงคโปร์ ศึกษาจัดการ PM 2.5 – ฝุ่นควันข้ามแดน หวังใช้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน - ดึงดูดลงทุนเพิ่ม

‘เอกนัฏ’ นำทีมเยือนสิงคโปร์ ศึกษาต้นแบบความสำเร็จด้านการจัดการ PM 2.5 และฝุ่นควันข้ามแดน เล็งนำแนวทางมาปรับใช้ในไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นของกระทรวงอุตสาหกรรมและรัฐบาลไทย ในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 และฝุ่นควันข้ามแดนอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและส่งเสริมการลงทุนในประเทศ

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2568 ตนเองพร้อมด้วย นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ในฐานะรักษาการผู้ว่าการ กนอ. ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ เพื่อศึกษาและหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา PM 2.5 รวมถึงแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการจัดการฝุ่นควันข้ามแดน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสิงคโปร์ และเข้าร่วมประชุมหารือกับนายโคห์ โพห์ คูน (Koh Poh Koon) รัฐมนตรีอาวุโสแห่งรัฐของกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมสิงคโปร์ ด้วย

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และฝุ่นควันข้ามแดน ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภูมิภาคอาเซียนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจ  สิงคโปร์ ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยฝุ่นควันข้ามแดนเพื่อป้องกันและลดมลพิษจากไฟป่าและไฟบนพื้นดิน โดยมีความร่วมมือในการติดตามตรวจสอบ แลกเปลี่ยนข้อมูล และเทคโนโลยีระหว่างกัน ซึ่งการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน โดยทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อส่วนรวม รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการปัญหา PM 2.5 การกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน เพื่อให้ชุมชนและภาคอุตสาหกรรมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหา PM 2.5 และปัญหาฝุ่นควัน ไม่เพียงช่วยให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หากประเทศไทยสามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศ และดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้มากขึ้น

“เราต้องการให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การแก้ไขปัญหา PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ จึงเป็นวาระสำคัญที่เราต้องเร่งดำเนินการแก้ไข” นายเอกนัฏ กล่าว

ด้านนายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. กล่าวเสริมว่า กนอ.สามารถนำแนวทางเหล่านี้มาปรับใช้ในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ในนิคมอุตสาหกรรมได้ โดยการกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดสำหรับโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับโรงงานที่ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน ส่งเสริมให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดและเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหา PM 2.5 อย่างจริงจัง

“กนอ.ชื่นชมและเห็นด้วยกับหลักการของสิงคโปร์ ในการจัดการปัญหาฝุ่นควัน และพร้อมนำแนวทางดังกล่าว มาปรับใช้ในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่ง กนอ.มุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามมาตรฐานและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา PM2.5 โดยเราต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน” นายสุเมธ กล่าว

สำหรับการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2568 คณะได้มีการประชุมหารือกับกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม สิงคโปร์ (Ministry of Sustainability and the Environment) ณ สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (The National Environment Agency : NEA, Singapore ) โดยมีนางอุรีรัชต์ เจริญโต เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐสิงคโปร์ เข้าร่วมในการประชุมหารือในครั้งนี้ด้วย โดยการเยือนสิงคโปร์ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา PM 2.5 และฝุ่นควันข้ามแดนอย่างยั่งยืนในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top