Sunday, 22 June 2025
ค้นหา พบ 48959 ที่เกี่ยวข้อง

'ทรัมป์' เสนอฮุบกาซาเปลี่ยนเป็น 'ริเวียร่าอาหรับ' นักวิชาการชี้แนวคิดอันตรายสุดโต่งของพวกล่าอาณานิคม

(6 ก.พ.68) กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางสำหรับแนวคิดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เสนอให้สหรัฐเข้าควบคุมฉนวนกาซาที่ได้รับความเสียหายจากสงคราม และเปลี่ยนให้กลายเป็น 'ริเวียร่าของตะวันออกกลาง' โดยให้ชาวปาเลสไตน์ย้ายถิ่นฐานออกจากพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด 

ดร.ทาเมอร์ คาร์มูท ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากสถาบัน Doha Institute for Graduate Studies กล่าวกับสำนักข่าว Sputnik ว่าแนวคิดของทรัมป์เป็นเรื่อง "ขาดความรับผิดชอบและไร้มนุษยธรรม" พร้อมระบุว่าที่ผ่านมาชาวกาซาคาดหวังให้สหรัฐฯ กำหนดแนวทางทางการเมืองเพื่อยุติความขัดแย้งและช่วยฟื้นฟูฉนวนกาซาหลังจากเผชิญกับความโหดร้ายจากสงคราม  

"นี่เป็นการรื้อฟื้นมรดกของลัทธิล่าอาณานิคมและจักรวรรดินิยมขั้นสูง ที่ประเทศหนึ่งสามารถตัดสินชะตากรรมของอีกประเทศหรือประชาชนกลุ่มหนึ่งได้" คาร์มูทเตือน "นี่เป็นเรื่องน่าตกใจ และอันตรายอย่างยิ่ง"  

ขณะเดียวกันด้าน ดร.อัยมัน ยูซุฟ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยอาหรับ-อเมริกันในปาเลสไตน์ กล่าวว่าชาวปาเลสไตน์ปฏิเสธแผนของทรัมป์ที่ต้องการย้ายพวกเขาออกจากฉนวนกาซาไปยังจอร์แดนและอียิปต์ ซึ่งไม่สามารถรองรับผู้ลี้ภัยจำนวนมากได้

ศาสตราจารย์ยูซุฟยังระบุว่า วอชิงตันและเทลอาวีฟกำลังใช้ความแตกแยกระหว่างกลุ่มฟาตาห์และฮามาสเพื่อผลักดันวาระซ่อนเร้นของตนเอง พร้อมเรียกร้องให้ชาวปาเลสไตน์ลดความขัดแย้งภายในและมุ่งสู่การปรองดองในระดับชาติ  

นักวิเคราะห์ชี้ว่า หากทรัมป์ต้องการช่วยเหลือจริง ควรใช้มาตรการควบคุมอิสราเอลอย่างเข้มงวดขึ้น เพื่อยับยั้งปฏิบัติการทางทหารในกาซาในอนาคตมากกว่าที่จะเปลี่ยนฉนวนกาซาซึ่งเป็นพื้นที่ขัดแย้งมานาน กลายเป็นสถานตากอากาศในฝันของเขา 

ทรัมป์สั่งอายัดทรัพย์-แบนวีซ่าเจ้าหน้าที่ ICC ตอบโต้สหรัฐและอิสราเอลถูกสอบสวน

(7 ก.พ.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) โดยกล่าวหาว่าศาลดำเนินการอย่างไม่ชอบธรรมและไร้มูลความจริงต่อสหรัฐและอิสราเอล

ตามรายงานของบีบีซี (BBC) และเอพี (AP) ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่กำหนดมาตรการคว่ำบาตร ICC ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงเฮก โดยให้เหตุผลว่าศาลได้ดำเนินการสอบสวนอิสราเอลและสหรัฐโดยไม่มีความชอบธรรม คำสั่งดังกล่าวลงนามเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น

คำสั่งของทรัมป์ระบุว่า "ศาลอาญาระหว่างประเทศดำเนินการอย่างมิชอบและปราศจากมูลความจริง โดยมุ่งเป้าไปที่สหรัฐและอิสราเอล ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของเรา" นอกจากนี้ ทรัมป์ยังวิพากษ์วิจารณ์ ICC ว่าใช้อำนาจโดยมิชอบในการออกหมายจับต่อเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และโยอาฟ กัลแลนต์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล

คำสั่งดังกล่าวยังเน้นว่า 'ICC ไม่มีอำนาจเหนือสหรัฐหรืออิสราเอล' และระบุว่ามาตรการคว่ำบาตรจะรวมถึงการจำกัดการทำธุรกรรมทางการเงินและการออกวีซ่าให้กับเจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ ICC ซึ่งมีส่วนช่วยในการสอบสวนพลเมืองของสหรัฐและชาติพันธมิตร

การแซงก์ชั่นอาจรวมถึงการอายัดทรัพย์สินและการห้ามเจ้าหน้าที่ของ ICC และครอบครัวของพวกเขาเข้าประเทศสหรัฐ คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในช่วงเวลาที่เนทันยาฮูเดินทางเยือนสหรัฐเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์

การตอบโต้ของสหรัฐเกิดขึ้นหลังจาก ICC ออกหมายจับเนทันยาฮูเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ในข้อกล่าวหาการก่ออาชญากรรมสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งเนทันยาฮูปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด นอกจากนี้ ICC ยังออกหมายจับต่อผู้บัญชาการของกลุ่มฮามาสด้วย

ทำเนียบขาวกล่าวหาว่า ICC กำลังสร้างมาตรฐานที่เป็นอันตราย โดยทำให้สหรัฐและเจ้าหน้าที่ของตนตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงจากการคุกคาม การล่วงละเมิด และการจับกุมอย่างไม่เป็นธรรม

“การกระทำของ ICC เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของสหรัฐ และเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงแห่งชาติของเรา รวมถึงนโยบายต่างประเทศที่สำคัญของสหรัฐและพันธมิตร เช่น อิสราเอล” คำสั่งดังกล่าวระบุ

นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังกล่าวหา ICC ว่าจำกัดสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอล ขณะเดียวกันก็มองข้ามบทบาทของอิหร่านและกลุ่มต่อต้านอิสราเอลในความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ สหรัฐไม่ใช่สมาชิกของ ICC และปฏิเสธอำนาจศาลของ ICC มาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ในสมัยแรกของทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐเคยใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อเจ้าหน้าที่ของ ICC ที่กำลังสืบสวนกรณีที่กองทัพสหรัฐอาจก่ออาชญากรรมสงครามในอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวถูกยกเลิกไปในยุครัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

ศาลขอนแก่นสั่งคุก ‘ไผ่ ดาวดิน’ 2 ปี 8 เดือน ผิด ม.116 ก่อม็อบปี 63 ให้ประกันวงเงิน 7 หมื่นบาท

ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ศาลขอนแก่นพิพากษาจำคุก 'ไผ่ ดาวดิน' 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา ผิด ม.116 จากการเข้าร่วมกิจกรรมหมายที่ไหนม็อบที่นั่น เมื่อปี 2563 ให้ประกันตัวหลังวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด 70,000 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ (5 ก.พ. 68) ศาลจังหวัดขอนแก่นได้นัดฟังการอ่านคำพิพากษา นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาฐานความผิด ม.116 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจากการเข้าร่วมกิจกรรม “หมายที่ไหนม็อบที่นั่น” ซึ่งจัดโดยกลุ่ม “ขอนแก่นพอกันที” เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2563 ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกและดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยศาลได้มีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ก่อนที่ทีมทนายจะยื่นขอประกันตัวด้วยเงินสด 70,000 บาท

นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน กล่าวว่า วันนี้เป็นคดีจากการร่วมกิจกรรมชุมนุมหมายที่ไหนม็อบที่นั่น เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งโดนฟ้องในมาตรา 112 และ 116 ร่วมกับนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แต่มีการจำหน่ายคดีออกไปเหลือตนเองที่ต้องสู้คดี ซึ่งศาลได้ตัดสินจำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จึงได้ทำการยื่นประกันตัวในศาลชั้นต้นระหว่างการอุทธรณ์และจะยื่นอุทธรณ์ต่อไปในคดีนี้

"ผมมีคดีที่กำลังอุทธรณ์อยู่เช่นเดียวกันโทษจำคุกอยู่ที่ศาลภูเขียวศาลตัดสินจำคุก 2 ปี 11 เดือน และมีคดี 116 ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น รวมเป็น 4 ปี 19 เดือน วันนี้ยื่นประกันตัวด้วยหลักทรัพย์เงินสด 70,000 บาท เงื่อนไขห้ามไปกระทำความผิดซ้ำ ห้ามไปพูดถึงเอ่ยถึงอีก ห้ามมีคดีอีก"

นายจตุภัทร์กล่าวถึงแนวทางการต่อสู้หลังจากนี้ พวกเราจะกลับมาอีกครั้งโดยจะเน้นพูดถึงประเด็นปัญหาต่างๆ ในสังคม ภายในเดือนนี้จะเริ่มมีการเคลื่อนไหว ฝากติดตามในเพจทะลุฟ้า เพราะเราคิดว่าปัญหาของสังคมไทยเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นต้นตอของปัญหาการเมืองตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน

"ปีนี้เราจะมีการพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะทำให้อำนาจและหน้าที่สถานะต่างๆ ในสังคมไทยได้ถูกกำหนดร่วมกัน ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่ถูกกำหนดจากคณะรัฐประหารและเอื้อกลไกผลประโยชน์ต่าง ๆ ให้คณะรัฐประหารหรือฝ่ายอำนาจอนุรักษนิยม เราพร้อมที่จะออกมาและออกมาเรื่อย ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เราจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป จะมีข้อเรียกร้องยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวของเราในปีนี้" นายจตุภัทร์กล่าว

Flowers of Manchester ครบรอบ 67 ปี โศกนาฏกรรมที่เปลี่ยนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและฟุตบอลไปตลอดกาล

หากคุณได้มีโอกาสไปเยือนสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด รังเหย้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่มีฉายาว่าโรงละครแห่งความฝัน (Theater of Dreams) และได้ไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากำแพงอัฒจันทร์ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้คุณจะพบกับแผ่นป้ายจารึกรายชื่อขนาบข้างด้วยดอกไม้แสดงความเคารพและการไว้อาลัย รูปภาพของนักฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในยุคอดีต อยู่เคียงข้างกับนาฬิกาเก่าเรือนหนึ่งที่เข็มนาฬิกาหยุดนิ่งอยู่ที่เวลา 15.03 และเหมือนกับว่ามันไม่เคยเดินอีกเลยนับจากนั้น 

6 กุมภาพันธ์ของทุกปี คือวันแห่งความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ไม่เพียงแต่สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเท่านั้นหากแต่เป็นการสูญเสียที่โลกฟุตบอลทั้งใบต้องจดจำ 

เนื่องในโอกาสครบรอบ 67 ปีแห่ง 'โศกนาฏกรรมมิวนิค 1958' ใด ๆ digest ขอพาทุกท่านย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์แห่งความสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์นี้ วันที่ทุกพื้นที่ 'สีแดง' สีประจำสโมสรของ 'ปีศาจแดง' แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะถูกฉาบให้เป็น 'สีดำ'

บัสบี้ เบ็บส์

ในช่วงทศวรรษที่ 1950 เป็นช่วงเวลาที่อังกฤษเพิ่งผ่านความบอบช้ำจากสงครามโลกมาหมาด ๆ และเป็นช่วงเวลาที่ทีมต่างๆกำลังช่วงชิงตำแหน่งอันดับหนึ่งกันอย่างเข้มข้น และมีหลายทีมที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างน่ากลัว หนึ่งในนั้นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งผู้ที่กุมบังเหียนทีมในตอนนั้นคือ อเล็กซานเดอร์ แม็ทธิว บัสบี้ หรือในชื่อแฟนบอลคุ้นเคยว่า แม็ตต์ บัสบี้ ก่อนที่จะได้บรรดาศักดิ์ท่านเซอร์ในเวลาต่อมานั่นเอง โดยแทบจะทันทีที่แม็ตต์ บัสบี้เข้ามาคุมทีม เขาก็ได้เพิ่มศักยภาพให้ยูไนเต็ดกลายเป็นทีมที่มีลุ้นในการเป็นแชมป์แห่งอังกฤษ ในช่วง 5 ปีแรกของการคุมทีมนั้น บัสบี้พาทีมเป็นรองแชมป์ได้ถึง 4 ครั้ง ก่อนที่จะประสบความสำเร็จได้แชมป์เอฟเอ คัพในปี 1948 ตามมาด้วยแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1951-52 

แต่ปีถัดมาบัสบี้กลับเลือกทำในสิ่งที่แฟนบอลในสมัยนั้นต้องเกาหัวด้วยความงง เมื่อเขาเลือกจะทำการถ่ายเลือดผู้เล่นครั้งใหญ่ ด้วยการโละนักเตะเก่า ๆ ทิ้ง และดันเด็กเยาวชนขึ้นมาเป็นตัวหลักแทนเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาสามารถที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยนักเตะอายุน้อย ๆ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ 'บัสบี้ เบ็บส์' และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางการปั้นเยาวชนของสโมสรที่อเล็กซ์ เฟอร์กูสันในวันที่ยังไม่ได้ยศอัศวินจะนำมาใช้ต่อในอีกสามทศวรรษให้หลัง นักเตะหลายคนถูกผลักดันมาจาก 'แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จูเนียร์ แอธเลติก คลับ' ศูนย์ฝึกเยาวชนในสมัยนั้น และยูไนเต็ด เดินหน้าคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 2 ปีซ้อน ในฤดูกาล 1955-1956 และ 1956-57 ด้วยอายุเฉลี่ยนักเตะเพียง 22 ปี และยูไนเต็ดกลายเป็นทีมที่เป็นที่ครั่นคร้ามของคู่แข่งไปทั่วทั้งเกาะอังกฤษและทั่วแผ่นดินยุโรป

โศกนาฏกรรมมิวนิค

6 กุมภาพันธ์ 1958 ยูไนเต็ด บุกไปยันเสมอกับ เรดสตาร์ เบลเกรด ทีมจากยูโกสลาเวีย 3-3 ผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกยูโรเปี้ยนคัพ ไปรอดวลกับ 'ปีศาจแดงดำ' เอซี มิลาน

ขากลับจากยูโกสลาเวียทีมงานสตาฟฟ์และผู้เล่นของยูไนเต็ดเดินทางด้วยเครื่องบิน ไฟลท์ BE609 ของสายการบิน British European Airways และต้องแวะเติมน้ำมันที่สนามบินมิวนิค เยอรมัน แต่พอเติมน้ำมันเสร็จแล้ว นักบินกลับไม่สามารถนำเครื่องขึ้นได้ตามปกติเนื่องจากทัศนวิสัยที่ย่ำแย่ ทำให้กัปตันพยายามนำเครื่องขึ้นบินถึงสองครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ และในความพยายามครั้งที่สามนี่เองเครื่องยนต์ที่เร่งมาด้วยความเร็วกว่า 194 กม/ชม. เกิดลื่นไถลตรงปลายสุดของรันเวย์และชนเข้ากับรั้วของสนามบิน ก่อนตัวเครื่องจะหลุดข้ามถนนออกไป โชคร้ายที่อีกฟากหนึ่งนั้นมีบ้านหลังหนึ่งอยู่พอดี ปีกซ้ายของเครื่องบินหมุนฟาดเข้ากับตัวบ้านอย่างแรงจนพังยับ ส่วนหางของเครื่องถูกฉีกออกไปก่อนที่ด้านซ้ายของเครื่องบินจะฟาดเข้ากับต้นไม้ ด้านขวาของเครื่องเข้าไปกระแทกอย่างแรงกับห้องเก็บของซึ่งมียางรถยนต์และน้ำมันอยู่เต็มจนเกิดการลุกไหม้ เกิดไฟลุกท่วมบ้านที่มีสมาชิกหกราย โชคยังดีที่ผู้เป็นแม่กับลูก ๆ อีกสามรายหนีตายจากแรงระเบิดออกมาได้ทัน ส่วนพ่อและลูกสาวคนโตออกไปข้างนอกพอดีเลยรอดตาย

แต่อีก 23 ชีวิตบนเครื่องไม่โชคดีขนาดนั้น ซึ่งรวมถึง 8 นักเตะของยูไนเต็ด และทีมสตาฟฟ์อีก 3 คนไม่ได้กลับบ้านอีกเลยตลอดกาล 21 ชีวิตจบชีวิตลงทันที อีกสามรายอาการยังโคม่า น่าเศร้าที่ เคนเน็ธ เรย์เมนท์ นักบินที่สองทนพิษบาดแผลไม่ไหวสิ้นใจลงในอีกสามสัปดาห์ต่อมา ส่วนดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ปีกดาวรุ่งตัวความหวังของยูไนเต็ดและทีมชาติอังกฤษยังฟื้นได้สติ แต่ห้าวันต่อมาอาการของเอ็ดเวิร์ดส์ทรุดหนักลง คณะแพทย์พยายามอย่างเต็มที่ที่จะยื้อชีวิตของเขา แต่ก็ไม่สำเร็จ เวลาตีสองสิบห้านาทีของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1958 ร่างกายของ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ก็ทนรับสภาพไม่ไหวหลังจากยื้อมานานกว่า 15 วัน เขาสิ้นใจลงในโรงพยาบาลท่ามกลางความโศกเศร้าของแฟนบอลทั่วโลก

ภายหลังจากโศกนาฏกรรม
แม็ตต์ บัสบี้ เป็นหนึ่งในผู้ที่รอดชีวิต แต่ก็ต้องนอนโรงพยาบาลนานถึงสองเดือน เขาเคยคิดจะเลิกคุมทีมจากสภาพร่างกายและจิตใจที่ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก แต่ก็ได้รับกำลังใจจากภรรยา ครอบครัว และแฟนบอลนี่เองที่ฉุดบัสบี้ออกมาจากโลกแห่งความเศร้า เขากลับไปยังแมนเชสเตอร์และปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชนเป็นครั้งแรกในนัดชิงชนะเลิศของเอฟเอ คัพ ปี 1958 ที่ยูไนเต็ดได้เข้าชิงกับโบลตัน ด้วยการขาดกำลังหลักไปพร้อมกันทีเดียว ผลงานในลีกจึงตกต่ำลงทันที หลังจากเหตุการณ์ที่มิวนิค ทีมเก็บชัยชนะได้อีกเพียงครั้งเดียวในฤดูกาลที่เหลือเหนือซันเดอร์แลนด์ในเดือนเมษายน อันดับร่วงไปจบที่ 9 ส่วนในเอฟเอ คัพ ผลงานดีกว่า เกมที่พบกับเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ นัดแรกหลังจากโศกนาฏกรรม ลงเอยด้วยชัยชนะ 3-0 และในถ้วยใบนี้พวกเขาทำผลงานได้ดีจนได้เข้าชิงชนะเลิศ

สุดท้าย แม็ตต์ บัสบี้ กลับมาคุมทัพและพาทีมกลับมาเป็นแชมป์ลีกได้อีกครั้ง ด้วยขุนพลรุ่นใหม่อย่าง จอร์จ เบสต์, น็อบบี้ สไตล์ส, ไบรอัน คิดด์ บวกกับ ชาร์ลตัน และโฟลค์ ที่เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของทีมชุดก่อน

เป็นเวลา 10 ปีพอดีนับจากโศกนาฏกรรมที่มิวนิค แม็ตต์ บัสบี้ และนักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชุดที่เกรียงไกรที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ นำโดยหนึ่งในผู้ประสบเหตุที่มิวนิคแต่รอดชีวิตมาได้อย่าง บ็อบบี้ ชาน์ลตัน พวกเขาผงาดคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ ปี 1968 และเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ทำได้

จากวันนั้นถึงวันนี้ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี จะมีพิธีร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมดังกล่าว โดยทุกคนจะใช้คำเรียกขานถึงผู้ที่จากไปและเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนั้นว่า 'Flower Of Manchester' ซึ่งมีที่มาก็จากวงดนตรีพื้นเพจากเมืองแมนเชสเตอร์ชื่อ The Spinner ที่แต่งเพลง Flower Of Manchester เพื่อแสดงความเคารพและรำลึกถึงนักเตะยูไนเต็ดในยุคนั้น 

จากวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 67 ปีเต็มพอดี แต่เรื่องราวของเหล่าบัสบี้ เบ็บส์ยังได้ถูกส่งต่อไปยังรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่เคยสิ้นสุด พวกเขาไม่เป็นเพียงแค่ความภาคภูมิใจของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเท่านั้น แต่คือเกียรติยศของฟุตบอลอังกฤษในการส่งมอบมิตรภาพและความยอดเยี่ยมของฟุตบอลอังกฤษให้ชาวยุโรปได้รู้จักถึงความเป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้และแพสชันในฟุตบอลที่ไม่เคยเลือนหาย

เวลาของนาฬิกาเรือนอื่น ๆ จะหมุนเดินต่อไป แต่สำหรับ 15.03 ของวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 นาฬิกาเรือนเก่าที่ตั้งอยู่ข้างรูปภาพของเหล่าบัสบี้ เบ็บส์บนกำแพงที่สนามโอล์ดแทรฟฟอร์ดนี้จะหยุดนิ่งอยู่ตลอดไปเช่นเดียวกับลมหายใจของทั้ง 23 ชีวิตที่จากไป แต่จิตวิญญาณของพวกเขาไม่ได้หายไปไหน พวกเขายังคงเล่นฟุตบอลด้วยความสนุกสนานและจะยังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของทุกชีวิตที่รักในฟุตบอลตลอดไป

ด้วยจิตคารวะจาก ใดๆdigest ต่อดวงจิตทุกดวงในนาม Flowers of Manchester

นายพลเร่งดันใช้โซลาร์เซลล์ ลดเสี่ยงอุตสาหกรรมสะดุด

(7 ก.พ.68) พลเอก โซ วิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานคณะกรรมการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และขนาดย่อย (MSME) ของเมียนมา สนับสนุนให้ภาคธุรกิจหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าในประเทศ

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะมิเรอร์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการ MSME ในกรุงเนปิดอว์ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดหาพลังงานให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยพล.อ.โซ วิน เน้นย้ำถึงความสำคัญของพลังงานแสงอาทิตย์ในฐานะทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบจากปัญหาไฟฟ้าขาดแคลน

ปัจจุบัน เมียนมามีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมมากกว่า 6,300 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตาม โรงงานหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการจากปัญหาต่าง ๆ ขณะที่กระทรวงพลังงานไฟฟ้ากำลังเร่งจัดหาไฟฟ้าทางเลือกเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

พล.อ.โซ วิน เปิดเผยว่า มีบริษัทบางแห่งเริ่มใช้พลังงานแสงอาทิตย์แล้ว และสามารถขยายกิจการได้อย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างให้ธุรกิจอื่น ๆ หันมาลงทุนด้านพลังงานสะอาดมากขึ้น นอกจากนี้ เขายังชี้ว่า การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจมีไฟฟ้าใช้อย่างมั่นคง แต่ยังเปิดโอกาสให้ขายไฟฟ้าส่วนเกินคืนเข้าสู่โครงข่ายแห่งชาติ ทำให้สามารถคืนทุนจากการลงทุนในระบบพลังงานแสงอาทิตย์ได้ในระยะเวลาไม่นาน

นอกจากพลังงานแสงอาทิตย์ รัฐบาลเมียนมายังเดินหน้าผลิตพลังงานไฮบริดจากก๊าซธรรมชาติและพลังงานแสงอาทิตย์ รวมกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ในหลายภูมิภาคและรัฐ เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนพลังงานในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top