Monday, 23 June 2025
ค้นหา พบ 48981 ที่เกี่ยวข้อง

ผู้นำไต้หวัน หมดหวังพึ่ง ‘ทรัมป์’ ชวน 'จีน' หันหน้าพูดคุยสร้างสันติภาพ

(3 ก.พ. 68) ประธานาธิบดี ไล่ ชิงเต๋อ แห่งไต้หวัน ระบุวันนี้ว่า ไต้หวันและจีนจำเป็นต้องหันหน้าพูดคุยกันเพื่อให้เกิดสันติภาพ หลังบริบทการเมืองโลกเกิด “การเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน” ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณชวนปักกิ่งรอมชอมมากกว่าที่จะเผชิญหน้ากันต่อไป

ไล่ ซึ่งถูกรัฐบาลจีนตราหน้าว่าเป็น “นักแบ่งแยกดินแดน” พยายามยื่นข้อเสนอขอพูดคุยกับปักกิ่ง ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ได้ยกระดับกดดันไต้หวันทั้งในทางการเมืองและทหารเพื่อบีบให้ไทเปยอมรับในอำนาจอธิปไตยของจีน

อย่างไรก็ตาม เวลานี้ทั้งจีนและไต้หวันต่างก็เผชิญแรงบีบจากรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งนอกจากจะสั่งรีดภาษีสินค้านำเข้าจีนแล้ว ยังขู่จะใช้มาตรการเดียวกันกับเซมิคอนดักเตอร์นำเข้าซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของไต้หวันด้วย

ระหว่างกล่าวปาฐกถาต่อผู้แทนภาคธุรกิจไต้หวันที่เข้าไปลงทุนในจีน ไล่ ชี้ว่าไต้หวันและจีนต่างมี “ศัตรูร่วม” ก็คือภัยธรรมชาติ และมี “เป้าหมายร่วม” อยู่ที่การสร้างความอยู่ดีกินดีให้ผู้คนทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบ

“ดังนั้น ในห้วงเวลาที่สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างซับซ้อนเช่นนี้ เราทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบจึงยิ่งควรที่จะพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันด้วยดี เพื่อให้เกิดสันติภาพ” เขากล่าว

ผู้นำไต้หวันเอ่ยเสริมว่า รัฐบาลของเขาเต็มใจที่จะเปิดเจรจากับจีนบนพื้นฐานของความเท่าเทียมที่ไร้เงื่อนไข และอยากให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าพูดคุยมากกว่าเผชิญหน้า แต่ขณะเดียวกันก็ย้ำว่าอนาคตของไต้หวันมีเพียงประชาชนไต้หวันเท่านั้นที่จะตัดสินใจ

อย่างไรก็ตาม สำนักงานกิจการไต้หวันของจีนยังไม่ออกมาให้ความเห็นต่อคำพูดของ ไล่ ชิงเต๋อ ทว่าที่ผ่านมาจีนเรียกร้องให้ไต้หวันยอมรับว่าดินแดน 2 ฝั่งช่องแคบคือส่วนหนึ่งของ “จีนเดียว” (One China) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ ไล่ และรัฐบาลพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ไม่เอาด้วย

ไล่ ยังกล่าวด้วยว่า ไต้หวันไม่ควรมี “ภาพลวงตา” เกี่ยวกับสันติภาพ และจำเป็นต้องแสวงหาสันติภาพผ่านความเข้มแข็งด้วยการเสริมเขี้ยวเล็บของตนเอง และยืนหยัดเคียงข้างรัฐประชาธิปไตยอื่นๆ อย่างสง่าผ่าเผย

“ประเทศจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีอธิปไตย และเพราะมีไต้หวันเท่านั้นจึงมีสาธารณรัฐจีน” ไล่ กล่าว โดยเอ่ยถึงชื่ออย่างเป็นทางการของเกาะไต้หวัน

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (6) : ‘ไฟฟ้าสำรอง’ จำเป็นหรือไม่...ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าอย่างไร???

(3 ก.พ. 68) ทำไมประเทศไทยจึงต้องมี ‘ไฟฟ้าสำรอง’ เป็นเพราะหน่วยงานที่มีหน้าที่ให้บริหารจัดการด้านไฟฟ้าต่าง ๆ กพช. กกพ. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. ย่อมต้องทราบดีอยู่แล้วว่า ในแต่ละปี ในแต่ละห้วงเวลา ประเทศไทยต้องใช้ปริมาณไฟฟ้าเป็นจำนวนเท่าใด และจะต้องเตรียมไฟฟ้าในปริมาณเท่าใดเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งานของประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าให้ได้ตลอด 24 ชั่วมโมงอย่างต่อเนื่องไม่มีการหยุดเลยในทุกฤดูกาล ทุกสภาวะอากาศ ฯลฯ เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าอย่างไม่มีการหยุดพัก จึงจำเป็นต้องมีการสำรองไฟฟ้าไว้ให้เพียงพอต่อการใช้งานโดยไม่มีการขัดข้องหรือติดขัด ด้วยปริมาณการสำรองที่พอเหมาะพอดีจะมีผลต่อประสิทธิภาพและสมรรถนะในการทำกำไรของการประกอบการธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง รับผิดชอบ จะต้องใช้ สติปัญญา ความสามารถ และความรับผิดชอบ จึงจะสามารถรักษาประโยชน์ของทั้ง รัฐ และองค์กร ตลอดจนประโยชน์ของพี่น้องประชาชนคนไทยได้

เพราะหากการสำรองไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้งานแล้วก็จะเกิดผลกระทบต่อการให้บริการแก่ประชาชนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะถ้ากระทบต่อการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะกลายความเสียหายอย่างมากมาย ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากมีการสำรองกระแสไฟฟ้าไว้จนมากเกินต่อความจำเป็น และเกินกว่าอัตรามาตรฐานปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ควรสำรอง ก็จะเกิดความเสียหายแก่หน่วยงาน เพราะการสำรองไฟฟ้านั้นจะต้องจ่าย  ‘ค่าพร้อมจ่าย (Availability Payment หรือ ค่า AP)’ ซึ่งเป็นค่าความพร้อมเดินเครื่องเพื่อจ่ายไฟฟ้าให้แก่ผู้ผลิตไฟฟ้า ไม่ว่าจะมีการใช้ไฟฟ้านั้นหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ ช่วงเวลที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องย่อมต้องทราบดีอยู่แล้ว จากข้อมมูลจากสถิติบันทึกจะช่วยคำนวณเพื่อประมาณการปริมาณความต้องการไฟฟ้าในช่วงเวลา และกำหนดปริมาณ ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ที่ถูกต้อง ใกล้เคียง และเหมาะสมที่สุดได้ 

‘การสำรองไฟฟ้า’ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักคือ
1. กำลังผลิตสำรองของระบบผลิตไฟฟ้า (Standby Reserve) เป็นโรงไฟฟ้าสำรองตามแผนการผลิตไฟฟ้า โดยมาตรฐานสากลจะกำหนดไว้ราว 15 % ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุดเนื่องจากในการวางแผนการผลิตไฟฟ้า จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ อย่างรอบคอบ อาทิ ความต้องการไฟฟ้าที่อาจเพิ่มสูงกว่าการพยากรณ์ การหยุดซ่อมโรงไฟฟ้า การเสื่อมสภาพของโรงไฟฟ้า ความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิง ข้อจำกัดของระบบส่งในแต่ละพื้นที่ และลักษณะทางเทคนิคของ โรงไฟฟ้าแต่ละประเภท

2. กำลังผลิตสำรองพร้อมจ่าย (Spinning Reserve) เป็นกำลังผลิตสำรองจากโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องอยู่ หรือ สามารถ สั่งเพิ่มการจ่ายไฟฟ้าได้ทันทีที่ระบบมีความต้องการ ซึ่งตามมาตรฐานจะอยู่ที่ 800-1,600 เมกะวัตต์ หรือ อย่างน้อยมากกว่า กำลังผลิตของโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด เพื่อรองรับหากเกิดเหตุการณ์ขัดข้องที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนขนาดใหญ่ เช่น กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติก็สามารถสั่งจ่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทันที ป้องกันปัญหาไฟฟ้าตกหรือดับ ซึ่งอาจลุกลามจนเกิดไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง (Blackout) ได้

อย่างไรก็ตาม ‘การสำรองไฟฟ้า’ ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันขึ้นกับเงื่อนไขและฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดยประเทศที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานไฟฟ้าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากกว่าความต้องการค่อนข้างสูง โดย กฟผ. ได้ศึกษาระบบการผลิตไฟฟ้าของหลายประเทศเอาไว้ ดังนี้ (ข้อมูลของปี พ.ศ. 2563)
•สเปน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 180%
•อิตาลี มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 136%
•โปรตุเกส มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 130%
•เดนมาร์ค มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 130%
•เยอรมนี มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 111%
•เนเธอร์แลนด์ มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 93%
•สวิสเซอร์แลนด์ มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการท 92%
•จีน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 91%
•ออสเตรเลีย มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 65%
•สวีเดน มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 57%
•มาเลเซีย มีกำลังผลิตที่มากกว่าความต้องการ 51%

ตัวอย่างของหลาย ๆ ประเทศที่ระบบไฟฟ้ามีความเสถียร ล้วนแต่มีกำลังการผลิตมากกว่าความต้องการใช้ในประเทศทั้งสิ้น ด้วยการวางแผนและการบริหารจัดการของหน่วยงานที่ดูแลระบบไฟฟ้าของประเทศนั้น ๆ ดังนั้น การมี ‘กำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin : RM)’ ใน แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) อันเป็นแผนแม่บทในการผลิตไฟฟ้าของประเทศว่าด้วยการจัดหาพลังงานไฟฟ้าในระยะยาว 15 -20 ปี เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ประเทศไทยจะมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอในยามที่เกิดเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ หรือกรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ก็ยังจะมีไฟฟ้าใช้ เพียงพอที่จะสนับสนุนภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม อันจะเป็นการเอื้อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก ในตอนต่อไปจะได้เล่าถึงข้อเท็จจริงของ ‘การสำรองไฟฟ้า’ ของประเทศไทยในมิติต่าง ๆ ไม่ว่า ปริมาณ ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ที่มีอยู่ ตลอดจน เหตุผลและความจำเป็นใน ‘การสำรองไฟฟ้า’ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้คนต่างไม่ได้คาดคิดหรือนึกถึงมาก่อน

4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เปิดโรงผลิตเหรียญกระษาปณ์ด้วยกำลังไฟฟ้าแห่งแรกของไทย

ย้อนกลับไปในยุคโบราณ สิ่งที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าของผู้คน ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี เรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีอยู่สองชนิด คือ "เบี้ย"(หอย) กับ "เงิน" 

เบี้ยนั้น อาศัยพวกชาวต่างประเทศ เที่ยวเสาะหาเปลือกหอยลักษณะที่ต้องการตามชายทะเลแล้วเอามาขาย ให้เรารับซื้อไว้ใช้สอย แต่ส่วนเงินนั้นนำเฉพาะตัวโลหะเข้ามาจากต่างประเทศ เอามาหล่อหลอมทำเป็นเงินตราในประเทศสยาม รูปร่างลักษณะเป็นเงินกลมที่เรียกกันว่า "เงินพดด้วง" ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาโดยตลอด จะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดและตราประจำของแต่ละรัชกาล 

พอถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ตั้งแต่เซอร์จอห์น เบาริง ได้เข้ามาทำหนังสือสัญญา เปิดการค้าขายกับประเทศไทย เมื่อพุทธศักราช 2398 ทำให้เกิดการขยายตัวทางการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก 

เงินที่ชาวต่างประเทศใช้กันอยู่ทั่วไปนั้นส่วนใหญ่มีลักษณะแบนๆ เมื่อมีการค้าขายสินค้ากันจึงมีการนำเหรียญแบนของตนเข้ามาซื้อสินค้ากับชาวสยาม ปรากฏว่าราษฎรไม่ยอมรับ จึงต้องเอาเงินเหรียญมาขอแลกเงินพดด้วงกับทางการ แต่เงินพดด้วงนั้น ช่างของพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งผลิตเงินพดด้วงด้วยมือนั้น สามารถทำได้วันละ 2,400 บาท เป็นอย่างสูง ซึ่งไม่ทันต่อความต้องการ การแก้ปัญหาดังกล่าว รัชกาลที่ 4 ท่านทรงให้ราษฎรรับเงินเหรียญฝรั่งไว้ก่อนแล้วนำมาแลกเงินพดด้วงจากท้องพระคลังภายหลัง 

ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำริที่จะเปลี่ยนรูปแบบเงินตราพดด้วงที่ใช้กันมาแต่โบราณ เป็นเงินเหรียญแบนตามแบบสากลนิยม (ซึ่งสมัยนั้นชาวบ้านเรียกกันว่า "เงินแป") เงินเหรียญแบนนี้ สามารถใช้เครื่องจักรผลิตได้ครั้งละจำนวนมากๆ จึงทรงมีพระราชกระแสรับสั่ง ให้คณะทูตไทยที่ส่งไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศอังกฤษ จัดซื้อเครื่องจักรผลิตเงินกลับมาด้วย 

โดยก่อนหน้าที่จะสั่งซื้อเครื่องจักรผลิตเงินจากอังกฤษเข้ามานั้น มีเครื่องจักรผลิตเงิน ทดลองใช้อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเครื่องจักรผลิตเงินเครื่องแรกของไทยนั้น พระนางเจ้าวิคตอเรีย สมเด็จพระบรมราชินีนาถของอังกฤษ ส่งเข้ามาถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการ 

ครั้นพุทธศักราช 2413 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สั่งซื้อเครื่องจักรผลิตเงินเครื่องใหม่ที่แข็งแรง และมีกำลังการผลิตมากกว่าเดิม และให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกระษาปณ์ใหม่ขึ้น ทางตะวันออกของประตูสุวรรณบริบาล ใกล้โรงกระษาปณ์เดิม ทรงเสด็จฯ เปิดเมื่อ วันที่ 31 พฤษภาคม 2419 เครื่องจักรนี้ใช้งานได้ต่อมาอีก 25 ปี 

จากนั้น เมื่อเดือนเมษายน 2444 จึงได้สร้างโรงกระษาปณ์ขึ้นใหม่ ที่ริมคลองหลอด แล้วเสร็จในปีพุทธศักราช 2445 โดยสั่งเครื่องจักรจากยุโรป เป็นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้า สามารถผลิตเหรียญกระษาปณ์ได้วันละ 80,000 ถึง 100,000 เหรียญ ซึ่งสามารถสนองตอบต่อความต้องการใช้ของผู้บริโภค อันเนื่องมาจากความเจริญทางด้านการค้าขายในสมัยนั้นได้ 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2445 และถือเป็นโรงงานผลิตเหรียญกระษาปณ์ ที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้าแห่งแรกของไทย

ส่องปรากฎการณ์ ‘โนโหวต – บัตรเสีย’ พุ่ง สะท้อนอารมณ์ประชาชนสั่งสอนนักการเมือง

(4 ก.พ. 68) น่าสนใจศึกษา และถอดรหัสยิ่ง สำหรับปรากฏการณ์ทางการเมืองในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) กับปรากฏการณ์บัตรเสีย และบัตรโนโหวต-โหวตโนจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

อ.เมืองตรังเขต 2 ถึงขั้นต้องจัดเลือกตั้งใหม่ ส.อบจ.16 มีนาคมนี้ หลังเกิดปรากฏการณ์ประชาชนสอนนักการเมืองจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้ชนะอันดับ 1 ได้ 2,000 กว่าคะแนน แต่แพ้คะแนนโหวตโนที่พุ่งไปเกือบ 3,000 กว่าคะแนน จน กกต.จังหวัดต้องเรียกประชุมด่วน เพื่อเปิดรับสมัคร และจัดการเลือกตั้งใหม่

กกต.ตรังกำหนดแล้ว เปิดรับสมัครใหม่ และเลือกตั้งใหม่ 16 มีนาคมนี้ 

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นปรากฏการณ์อารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริง ที่น่าจะเกิดจากความไม่พอใจต่อตัวผู้สมัคร ทั้งในส่วนของฝ่ายบริหาร และฝ่ายสภาประชาชนจึงต้องสั่งสอนนักการเมือง ผ่านการโหวตโน โนโหวต หรือบัตรเสีย เราจึงพบว่า การเลือกตั้งนายกฯอบจ.คราวนี้มีบัตรเสียจำนวนมากผิดปกติ

ขอยกเป็นตัวอย่างจังหวัดที่บัตรเสียจำนวนมาก

ในส่วนของการเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหลายจังหวัดมียอดของจำนวนบัตรเสีย กับบัตรไม่เลือกผู้สมัครคนใด หรือ บัตรโหวตโน สูงหลักหมื่นถึงหลักแสนจำนวนมาก อาทิ

จ.นครราชสีมาผู้มาใช้สิทธิ 1,155,142 คน บัตรดี 972,902 ใบ บัตรเสีย 71,306 ใบ (6.17%) บัตรไม่เลือกผู้ใด 110,934 ใบ (9.60%)

จ.มหาสารคาม ผู้มาใช้สิทธิ 453,567 คน บัตรดี 408,108 ใบ บัตรเสีย 29,007 ใบ บัตรไม่เลือกผู้ใด 16,452 ใบ

จ.เชียงใหม่ ผู้มาใช้สิทธิ 877,640 คน บัตรดี 778,227 ใบ บัตรเสีย 41,798 ใบ บัตรไม่เลือกผู้ใด 57,625ใบ

จ.เชียงราย ผู้มาใช้สิทธิ 605,780 คน บัตรดี 525,928 ใบ บัตรเสีย 36,446 ใบ (6.02%) บัตรไม่เลือกผู้ใด 43,406 ใบ (7.17%)

จ.ยะลา ผู้มาใช้สิทธิ 224,707 คน บัตรดี 176,840 ใบ บัตรเสีย 18,533 ใบ (8.25%) บัตรไม่เลือกผู้ใด 29,334 ใบ (13.05%)

จ.สงขลาผู้มาใช้สิทธิ 687,944 คน บัตรดี 572,496 ใบบัตรเสีย 28,593 ใบ (4.16%) บัตรไม่เลือกผู้ใด 86,855 ใบ (12.63%)

จ.สมุทรปราการ ผู้มาใช้สิทธิ 569,659 คน บัตรดี 547,604 ใบ บัตรเสีย 22,055 ใบ บัตรไม่เลือกผู้ใด 42,142 ใบ

จ.นนทบุรี ผู้มาใช้สิทธิ์ 432,613 คน บัตรดี 382 ,782 ใบ บัตรเสีย 12,268 ใบ บัตรไม่เลือกผู้ใด 37,562 ใบ (8.68%)

จ.สุพรรณบุรี ผู้มาใช้สิทธิ 393,849 ใบ บัตรดี 353,460 ใบ บัตรเสีย 16,274 ใบ บัตรไม่เลือกผู้ใด 24,113 ใบ

จ.กำแพงเพชร ผู้มาใช้สิทธิ 272,278 คน บัตรดี 236,084 ใบ บัตรเสีย 14,712 ใบ บัตรไม่เลือกผู้ใด 21,482 ใบ

จ.ลำพูน ผู้มาใช้สิทธิ 242,381 คน บัตรดี 212,777 ใบ บัตรเสียจำนวน 15,131 ใบ (6.2 4%) บัตรไม่เลือกผู้ใด 14,473 ใบ (5.97%)

บัตรเสียน่าจะเกิดขึ้นทั้งจากความผิดพลาดในการกาช่องลงคะแนน และเจตนาให้เป็นบัตรเสีย ส่วนการโนโหวต หรือโหวตโนก็ตามเป็นเจตนาของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ต้องการสะท้อนความรู้สึกของประชาชน อันเป็นเรื่องน่าสนใจยิ่งว่าอารมณ์ของคนที่สะท้อนออกมาเช่นนี้เกิดจากอะไร

จากการประมวลความคิดเห็นของนักวิชาการ และวงกาแฟพอจะสรุปได้ใน 4-5 ประเด็น

ประการแรก ประชาชนไม่พอใจต่อการที่ “บ้านใหญ่” เข้าไปจัดการในการคัดสรรบุคคลที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนายกฯอบจ.และ ส.อบจ.ที่ประชาชนรับรู้ได้จากสื่อที่หลากหลาย และความรวดเร็วของสื่อโซเชียล ซึ่งบางคนไม่ได้มีคุณสมบัติอะไร แต่บ้านใหญ่ชี้ตัวลงมาก็ต้องเอาตามนั้น บางคนมีคุณวุฒิ วัยวุฒิ และประสบการณ์เพียบ แต่ถูกบีบให้หลุดวงโคจรก็มีไม่น้อย

ประการที่สอง คือประชาชนไม่พอใจต่อพรรคการเมือง และนักการเมืองระดับชาติที่เข้าไปจุ้นจ้านชี้นำประชาชน ทำให้ประชาชนขาดความเป็นอิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเองตามหลักการกระจายอำนาจ องค์กรท้องถิ่นต้องมีอิสระปลอดจากการครอบงำ หรือชี้นำของการเมืองสนามใหม่

ประการที่สาม ประชาชนไม่พอใจต่อตัวผู้สมัครเอง ไม่ว่าจะเป็นการนำตัวเองไปสังกัดซุ้มการเมืองต่างๆ การมีประวัติที่ไม่ใสสะอาด บางคนมีเรื่องร้องเรียนเรื่องทุจริตคอร์รัปชน มั่วสุมในวงการพนัน ได้รับโอกาสจากประชาชนแล้ว แต่กลับไม่มีผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

ประการที่สี่ ประชาชนเรียนรู้มากขึ้นผ่านสื่อต่างๆมากมาย สืบค้นได้ด้วยตัวเอง เมื่อประชาชนได้ศึกษาเรียนรู้แล้ว วิธีการที่ประชาชนทำได้คือการสะท้อนผ่านการเลือกตั้งนั้นเอง

ประการที่ห้า ปรากฏการณ์การใช้เงินจำนวนมากของผู้สมัครนายกฯอบจ.บางคน ที่มีข่าวสะพัดกับการจัดการหัวละ 500 หัวละ 1000 เมื่ออเทียบกับเงินเดือน ค่าตอบแทนของผู้บริหารแค่หลักแสน ปีละล้านกว่าบาท สี่ปีก็แค่ไม่เกิน 5 ล้านบาท แต่กลับทุ่ม 200-300 ล้านเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่การถอนทุนในอนาคตบนตำแหน่งบริหาร

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นฝ่ายที่เกี่ยวข้องน่าจะได้นั่งลงถอดรหัส และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิถี หมายรวมถึงฝ่ายนิติบัญญัติด้วยในการคิดแก้กฎหมาย เช่น การแก้ปิดทางนักการเมืองใหญ่เข้าไปบงการ สั่งการ จัดการกับการเมืองท้องถิ่น รวมถึงจะแก้เรื่องฝ่ายบริหารลาออกก่อนหมดวาระอย่างไม่จำเป็น ทำให้สูญเสียงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งใหม่ และต้องใช้งบประมาณซ้ำสองครั้ง

ปรากฏการณ์บัตรเสีย โนโหวต เป็นปรากฏการณ์ชัดเจนว่า ประชาชนได้ออกมาใช้สิทธิ์สั่งสอนนักเมืองแล้ว เหลือแค่นักการเมืองจะสำนึกหรือไม่

บอร์ดกองทุนดีอี อนุมัติงบ 2 พันล้าน หนุนพัฒนาเทคโนโลยี 3 ด้าน “การใช้ประโยชน์– ความปลอดภัย - พัฒนาบุคลากรดิจิทัล”

(3 ก.พ. 68) บอร์ดกองทุนดีอี เห็นชอบอนุมัติโครงการจัดทำนโยบายส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและอวกาศ พร้อมอนุมัติกรอบวงเงิน 2 พันล้านบาท หนุนพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญ 3 ด้าน “การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ – ความปลอดภัยในโลกดิจิทัล - การพัฒนาบุคลากรดิจิทัล”

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วย นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุม ณ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบอนุมัติโครงการหรือกิจกรรมของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามมาตรา 26 (1) และ (2) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (เพิ่มเติม) เพื่อเป็นการส่งเสริมในการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมทั้งยังได้อนุมัติโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการจัดทำนโยบายส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและอวกาศ (Digital and Space Infrastructure Investment Policies) เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีอวกาศ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบกรอบนโยบายการให้ทุนสนับสนุนจากกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภายในวงเงิน 2,000,000,000 บาท (สองพันล้านบาท) ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ ด้าน Digital Technology (High Impact & Scalability) “การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์” ด้าน Digital Trust & Security “ความปลอดภัยในโลกดิจิทัล” และด้าน Digital Manpower “การพัฒนาบุคลากรดิจิทัล” 

ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวเสริมว่า กรอบนโยบายการให้ทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ทั้ง 3 ด้านดังกล่าว เป็นการส่งเสริมการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่สอดคล้องและเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ก่อให้เกิดประโยชน์และผลกระทบต่อประชาชน ในวงกว้าง อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลในอนาคต 

ทั้งนี้ กองทุนดีอีเปิดให้ยื่นแบบคำขอรับทุนส่งเสริม สนับสนุน หรือให้ความช่วยเหลือจากกองทุนฯ ผ่านทางระบบยื่นแบบคำขอฯ โดยผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ https://defund.onde.go.th/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top