Friday, 27 June 2025
ค้นหา พบ 49042 ที่เกี่ยวข้อง

ผลงานชัด!! 'เฉลิมชัย' เพิ่งทำงาน 4 เดือน บริหารเชิงรุกทุกปัญหา ปกป้องป่าไม้ – สู้ไฟป่าสำเร็จ ลดขั้นตอนอนุญาตให้คนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน 'อภิชาติ' ชี้คำวิจารณ์คลาดเคลื่อนข้อเท็จจริง

นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (ที่ปรึกษา รมว.ทส.) กล่าวถึงกรณีมีผู้วิพากษ์วิจารณ์พาดพิงการทำงานของรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า 1 ปี 3 เดือน แล้ว ป่าสงวนถูกบุกรุกทำลาย ปล่อยไฟไหม้เป็นแสนๆ ไร่ มีปัญญาป้องกันรักษาหรือไม่ หรือจะปล่อยให้ป่าอนุรักษ์ถูกบุกรุกทำลายอย่างนี้ทุกวัน เรื่องนี้ขอชี้แจงว่า เป็นการวิจารณ์ที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ทส. เข้ามารับผิดชอบบริหารราชการแผ่นดิน ในรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2567 นับเวลาถึงบัดนี้เป็นเวลาเพียง 4 เดือนเศษ ได้ทำหน้าที่แก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งไม่พบว่ามีการบุกรุกทำลายป่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ 

โดยจากสถิติของสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ พบการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ คดีบุกรุกพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นข้อมูลระหว่างวันที่ 10 กันยายน 2567 ถึงปัจจุบัน (21 มกราคม 2568) มีทั้งหมด 388 คดี รวมพื้นที่บุกรุก เป็นจำนวน 3,845.52 ไร่ แยกเป็นป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นกฎหมายที่เน้นการควบคุมการทำไม้หวงห้าม การควบคุมการเก็บหาของป่า และการควบคุมการบุกรุกยึดถือครอบครองป่า จำนวน 61 คดี พื้นที่ 398.52 ไร่ ป่าชุมชน จำนวน 7 คดี พื้นที่ 54.82 ไร่ ป่าถาวร จำนวน 12 คดี พื้นที่ 65.24 ไร่ ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 297 คดี พื้นที่ 2,944.72 ไร่ และพื้นที่นอกเขตป่า 11 คดี พื้นที่ 382.23 ไร่ ทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่เป็นการบุกรุก กระทำผิดรายเล็ก รายน้อย มีเพียง 9 คดีที่เป็นการบุกรุกรายใหญ่ ซึ่งทุกคดีเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ขณะเดียวกัน ดร.เฉลิมชัย ได้เร่งรัดแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนในพื้นที่ป่าอย่างจริงจังตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้แนวทาง “คนอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน” โดยมุ่งอำนวยความสะดวกในการพิจารณาเห็นชอบของการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าของกรมป่าไม้ตามขั้นตอนให้รวดเร็วขึ้น ในเรื่องการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ เดิมนั้นต้องยื่นคำขอกับสำนักงานทรัพยากรป่าไม้ท้องที่ และให้อธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้ลงนามอนุมัติ ขณะนี้ได้ปรับปรุงกระบวนการให้รวดเร็วขึ้นโดยมอบอำนาจให้ สำนักงานป่าไม้เขต 13 เขตทั่วประเทศ หรือตัวแทนป่าไม้เขตอีก 10 สาขา สามารถลงนามอนุมัติได้ ทำให้กระบวนการอนุมัติคำขอสั้นลงและมีความรวดเร็วภายใต้กรอบกฎหมาย ซึ่งไม่ได้เป็นเหตุทำให้พื้นที่ป่าไม้ ทั้งป่าสงวน และป่าอนุรักษ์ ถูกบุกรุกทำลายเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด 

ทั้งนี้เมื่อ ดร.เฉลิมชัย เข้ารับตำแหน่ง พบว่ามีการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ จากหน่วยงานของรัฐ รอการพิจารณาอนุมัติ มากถึง 137,000 คำขอ จึงได้เร่งรัดการพิจารณาอนุญาตจนสำเร็จไปแล้วเป็นจำนวนมาก โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท 

ประเภทที่ 1 เป็นการขออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์พื้นที่ป่าไม้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 – ปัจจุบัน ซึ่งได้ดำเนินการอนุญาตไปแล้ว จำนวน 8,162 คำขอ รวมเนื้อที่ประมาณ 7,336,787 ไร่ ในจำนวนนี้แบ่งเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 7,486 คำขอ รวมเนื้อที่ประมาณ 7,167,801 ไร่ เป็นพื้นที่ป่าตามมาตรา 4 (1) จำนวน 676 คำขอ รวมเนื้อที่ประมาณ 168,986 ไร่ 

ประเภทที่ 2 เป็นการอนุญาตตามโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ที่มีการออกหนังสืออนุญาตแล้วจำนวน 523 คำขอ รวมเนื้อที่ประมาณ 2,807,424 ไร่ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา จำนวน 144 คำขอ รวมเนื้อที่ประมาณ 842,871 ไร่ 

ประเภทที่ 3 เป็นคำขอตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เพื่อให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ได้เข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ โดยมีการยื่นคำขออนุญาตจำนวน 137,444 คำขอ มีการอนุญาตแล้ว จำนวน 2,582 คำขอ แบ่งเป็นคำขอที่ยื่นตามมติ ครม.ฯ จำนวน 2,430 คำขอ และเป็นคำขอที่ยื่นก่อนมติ ครม.ฯ จำนวน 152 คำขอ 

ประเภทที่ 4 คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ได้เห็นชอบคำขอตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 กรณีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ที่ได้เข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต ในคราวประชุมฯ ครั้งที่ 12/2567 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 จำนวน 5,407 คำขอ แบ่งเป็น คำขอที่คณะกรรมการฯ เห็นชอบ จำนวน 64 คำขอ และคำขอที่คณะกรรมการฯ เห็นชอบในหลักการ จำนวน 5,343 คำขอ 

ที่ปรึกษา รมว. ทส. กล่าวว่า จากการดูรายละเอียดคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ พบว่าเป็นคำขอจากหน่วยงานราชการ ตั้งแต่ระดับกรม ไปจนถึงระดับ อบต. สถาบันการศึกษาของรัฐ กฟผ. และเมื่อพิจารณาที่วัตถุประสงค์ของการใช้พื้นที่พบว่า เป็นการขออนุญาตเพื่อเข้าทำประโยชน์ให้กับประชาชนในวงกว้าง ตั้งแต่ การก่อสร้างโรงพยาบาล สถานบริการสาธารณสุข รพ.สต. ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ถนน สะพาน ทางรถไฟ ทางสาธารณประโยชน์ กิจการโทรคมนาคม ก่อสร้างโรงเรียน ขยายระบบประปาหมู่บ้าน สร้างอ่างเก็บน้ำ ขยายเขตไฟฟ้า และเป็นโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลเป็นการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐในลักษณะแปลงรวม ดำเนินการภายใต้ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) อันจะเห็นได้ว่าเป็นการเร่งรัดคำขอทั้งหมดเป็นไปเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยเร็ว 

นายอภิชาต ยังเพิ่มเติมต่อไปว่า สำหรับปัญหาไฟป่า เมื่อ ดร.เฉลิมชัย  เข้ารับตำแหน่งช่วงแรก ๆ เห็นว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งมักเกิดปัญหาไฟป่า ในเดือนพฤศจิกายน 2567  จึงได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อซักซ้อมการป้องกันและรับมือปัญหาไฟป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ ตลอดจนเปิดศูนย์ปฏิบัติการ เพื่อคอยเฝ้าระวัง ควบคุมไฟป่า และหมอกควันที่มักเกิดขึ้นในพื้นที่ป่าที่ประสบปัญหาไฟป่าซ้ำซาก 140 แห่ง แบ่งเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 129 แห่ง และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 11 แห่ง ใน 39 จังหวัด และยังครอบคลุมพื้นที่ป่าแปลงใหญ่เสี่ยงเผาไหม้ทั้ง 14 กลุ่มป่า ในรอบ 4 เดือนเศษ พบว่า มีเพียง 1 ครั้งที่จัดว่าเป็นเหตุการณ์ใหญ่ คือพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาเสียดอ้า ป่าเขานกยูง และป่าเขาอ่างหิน บริเวณ "เขาลอย" ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ที่เกิดเหตุไฟไหม้ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2568 สร้างความเสียหายกว่า 1,500 ไร่ สาเหตุของไฟป่าครั้งนี้อาจเกิดจากการเผาป่าเพื่อต้อนสัตว์ป่าสำหรับลักลอบล่าสัตว์ ส่วนไฟไหม้ที่บริเวณป่าอื่นๆ เจ้าหน้าที่สามารถดับไฟได้ภายใน 24 ชั่วโมง แต่ละแห่งมีพื้นที่เสียหายไม่เกิน 30 ไร่ 

“ทุกครั้งที่เกิดไฟป่า ดร.เฉลิมชัย ได้สั่งการให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ เข้าปฏิบัติการดับไฟป่าทันที พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ เครื่องมือ และงบประมาณที่จำเป็นอย่างเพียงพอ จนสามารถดับไฟป่าได้เสร็จสิ้นในระยะเวลาอันสั้น และจำกัดความเสียหายในระดับต่ำสุด” นายอภิชาต กล่าวและว่า นอกจากนี้ ดร.เฉลิมชัย ยังทำงานเชิงรุก แก้ไขปัญหาไฟป่าที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล โดยการลงพื้นที่พร้อมสั่งการให้หน่วยปฏิบัติซักซ้อมแผนปฏิบัติการเพื่อรับมือในทุกกรณีอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งกระทรวง ทส. ยังได้รณรงค์อย่างต่อเนื่องกับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ นโยบายและการปฏิบัติงานในเรื่องดังกล่าวข้างต้นเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางผ่านสื่อมวลชน และยังใช้อีกหลายโอกาสตอบชี้แจงกระทู้ถามของ สส. ในสภาตลอดมา 

นายอภิชาต กล่าวด้วยว่า ในรอบ 4 เดือนเศษ ขอยืนยันว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้การบริหารจัดการอย่างจริงจังและต่อเนื่องของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้มีผลงานมากมาย อาทิ การช่วยน้ำท่วมภาคเหนือ ภาคใต้หลายจังหวัด ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ส่งรถทำอาหารเคลื่อนที่ พร้อมน้ำดื่มช่วยเหลือผู้ประสบภัย และเข้าติดตามสถานการณ์หลังน้ำลด เพื่อสนับสนุนการกำจัดขยะหลังน้ำท่วม และแหล่งน้ำขังเพื่อป้องกันน้ำเน่าเสีย อนุรักษ์พะยูน-ฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติพะยูนเกยตื้น เฝ้าติดตามการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง ตั้งวอร์รูมเร่งผลักดันช้างกลับเข้าป่า เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ปรับปรุงสวัสดิการเสี่ยงภัย และฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในสังกัดเพื่อรับมือเผชิญเหตุสัตว์ป่า การติดตั้งเครื่องตรวจติดตามการเคลื่อนตัวของมวลดิน ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงกว่า 600 สถานีทั่วประเทศ พร้อมป้องกัน เฝ้าระวัง และเตือนภัย ในพื้นที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินถล่ม ลดความเสี่ยงจากธรณีพิบัติภัยแก่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง เสริมเขี้ยวเล็บ กรมอุทยานฯ โดยขอรับการสนับสนุนอาวุธปืน เสริมประสิทธิภาพการป้องกัน และดำเนินคดีอย่างจริงจังกับผู้ลักลอบตัดไม้ ล่า-ค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย โดยกำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดได้ปฏิบัติงานอย่างเข้มข้น เพื่อปราบปรามการกระทำผิด ต่อต้านขบวนการค้าสัตว์ป่าข้ามชาติอย่างเข้มข้น และนำไปสู่การส่งคืน “ลีเมอร์ - เต่า” สัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธุ์กว่า 900 ตัว กลับสู่ถิ่นกำเนิด “มาดากัสการ์” สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อนในการประชุม COP29 พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ฯลฯ 

“พิชัย” โชว์วิชั่นที่ดาวอส ประกาศไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนจากนานาประเทศในอุตสาหกรรม AI, Data Center และ PCB พร้อมร่วมมือสมาชิกอาเซียนเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

(22 ม.ค. 68) นายพิชัยฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมงานเสวนาหัวข้อ Leaving Asia’s Comfort Zone ภายในงาน WEF 2025 ที่ดาวอส เพื่อแสดงมุมมองการปรับตัวของไทยจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI และยังใช้โอกาสนี้แสดงความพร้อมที่จะเป็นหมุดหมายดึงดูดการลงทุนในเทคโนโลยี AI, Data Center และอุตสาหกรรม PCB และจะร่วมมืออย่างเต็มที่กับทุกภาคส่วนและนานาประเทศ เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะไปพร้อมกัน

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมการเสวนา (Panelist) ในหัวข้อ Leaving Asia’s Comfort Zone ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โดยงานเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุม World Economic Forum (WEF) ประจำปี 2025 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแลกเปลี่ยนในประเด็นการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากการเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อนำพาประเทศเข้าสู่ยุคอัจฉริยะและสร้างความสามารถทางการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก ร่วมกับนายกันคิมยอง (Gan Kim Yong) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ และประธานบริษัทด้านกฎหมายและเทคโนโลยีการเงินชั้นนำของโลก

นายพิชัยฯ ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการปรับตัวให้เท่าทันกับยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) และให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรภายในประเทศให้มีทักษะประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดประโยชน์ได้เต็มที่ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์กล่าวเห็นด้วยที่ประเทศไทยมีศักยภาพและชื่นชมที่มีบทบาทสำคัญบนเวทีอาเซียนในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะการผลักดันการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจทัลอาเซียน หรือ DEFA นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การปรับตัวให้เข้าสู่ยุค AI ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น

พร้อมทั้งให้มุมมองว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างการพัฒนากำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าให้ได้เพียงพอ และการลงทุนในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอย่างการลงทุนในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) และอุตสาหกรรม PCB ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อน เนื่องจากมีความสำคัญในการเป็นแหล่งจัดเก็บข้อมูลอันมหาศาลที่ช่วยให้ AI มีความฉลาด หรือ Intelligence มากขึ้น ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับความสนใจจากบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนด้าน AI และ Cloud Computing ภายในประเทศ เช่น บริษัท G42 จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

นายพิชัยฯ ยังได้กล่าวถึงการยกระดับทักษะ (upskill) และการเพิ่มพูนทักษะ (reskill) ด้าน AI ให้แก่แรงงานได้เท่าทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แม้กระทั่งการพัฒนาทักษะ AI ให้กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ประชากรกลุ่มนี้สามารถปรับตัวและไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของบุคลากรภายในประเทศเช่นกัน แต่ก็ยังต้องการดึงดูดบุคลากรด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงที่เป็นกลุ่ม Digital Nomad ให้เข้ามาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกแก่กลุ่มคนเหล่านี้ ทั้งอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง 5G ระบบสาธารณสุข healthcare ที่ดีรวมถึงแหล่งพักผ่อนสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง พร้อมกล่าวปิดท้ายว่า การเสวนานี้ถือเป็นโอกาสที่ตนได้แสดงความพร้อมของไทยในการเปิดรับความร่วมมือและการลงทุนจากนานาประเทศในอุตสาหกรรม AI ตลอดจนอุตสาหกรรม Data Center และ PCB และจะร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสมาชิกอาเซียนให้ก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะไปพร้อมกัน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชื่นชมพยาบาลตำรวจสาว ช่วยชายสูงวัยหมดสติสถานีรถไฟใต้ดินกินซ่า ขณะเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ยกย่องเป็นแบบอย่างที่ดี 

(22 ม.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับทราบถึงกรณี ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ พยาบาล (สบ 1) กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล กลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ ช่วยเหลือชายชาวญี่ปุ่นหมดสติในสถานีรถไฟใต้ดินกินซ่า จนปลอดภัย ขณะเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น จนเป็นที่ชื่นชมของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ และโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก และล่าสุดสภาการพยาบาลได้โพสต์ชื่นชม ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารีฯ ในการทำความดีด้วยหัวใจ ช่วยเหลือผู้อื่นโดยทันที ด้วยจิตอาสา ถือเป็นแบบอย่างของการใช้ความรู้ความสามารถในวิชาชีพพยาบาลให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ สร้างความสุขให้สังคม

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 12.00 น. ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ พยาบาล (สบ 1) กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล กลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ ได้ให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุเพศชาย หมดสติล้มลงกับพื้น บริเวณสถานีรถไฟใต้ดินสายกินซ่า สถานีอาซากูซะ เมืองโตเกียว ขณะเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ทักษะทางวิชาชีพในการประเมินอาการ ระดับความรู้สึกตัวและสัญญาณชีพ ชายสูงอายุไม่รู้สึกตัว คลำชีพจรไม่ได้ จึงทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) และแจ้งขอเครื่อง AED จากเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อเครื่อง AED มาถึง ได้หยุด CPR และติดแผ่น Paddle AED เตรียมใช้เครื่อง AED ชายสูงอายุได้กลับมามีชีพจร จึงไม่ได้ทำการ shock ไฟฟ้าหัวใจ ต่อมาเจ้าหน้าที่กู้ชีพมาถึงที่เกิดเหตุ และนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อไป

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขอชื่นชม ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารีฯ ที่ใช้จิตวิญณาณความเป็นพยาบาลวิชาชีพ และจิตวิญญาณของการเป็นข้าราชการตำรวจ ไม่นิ่งดูดายในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มไม่ว่าชนชาติใด สถานที่ใด แม้ไม่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอยกย่องการปฏิบัติ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับข้าราชการตำรวจและประชาชนต่อไป

‘ดร.หิมาลัย’ แจงปม ‘พีระพันธุ์’ เร่งลดค่าน้ำมัน-ค่าไฟ หวังดึงนักลงทุนกลับไทย ย้ำ! ลดค่าไฟต่ำกว่า 4 บาท คิดไว้อยู่แล้ว

เร่งเดินหน้าเพื่อเศรษฐกิจไทย ‘หิมาลัย’ แจงปม ‘พีระพันธุ์’ เร่งลดค่าน้ำมัน-ค่าไฟ เหตุหวังดึงนักลงทุนกลับไทย 

เมื่อวันที่ (22 ม.ค. 68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอธิบายถึงสาเหตุที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำลังเร่งดำเนินนโยบาย “รื้อ ลด ปลด สร้างพลังงานไทย” โดยเฉพาะการลดราคาด้านพลังงานลงหลายประเภท ทั้งราคาน้ำมันและค่าไฟว่า ก่อนอื่นต้องบอกว่าการพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศ คือ สิ่งสำคัญของประเทศไทยในทุกวันนี้ เพราะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าต่อไปได้ แต่ทุกวันนี้นักลงทุนต่างชาติกลับถอนตัวการลงทุนในไทยออกไป ทั้งที่ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของไทยก็มีความเพียบพร้อมและตอบโจทย์ โดยสาเหตุสำคัญเกิดจาก 2 ประการหลัก ๆ ประกอบด้วย

ประการแรก คือ เรื่องต้นทุนการขนส่ง ที่การขนส่งมีต้นทุนหลัก ๆ คือน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซินของไทยอยู่ที่ประมาณลิตรละ 40.35 บาท แตกต่างจากเวียดนามและมาเลเซีย ที่ราคาอยู่ที่ลิตรละ 36.42 บาท และ 15.31 บาท ตามลำดับ ส่วนน้ำมันดีเซลของไทยอยู่ที่ลิตรละประมาณ 30.94 บาท ส่วนเวียดนามและมาเลเซีย ราคาอยู่ที่ลิตรละประมาณ 30.28 บาท และ 16.69 บาท ตามลำดับ เช่นนี้จะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันในไทยแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อันเป็นเหตุให้นักลงทุนถอนการลงทุนในไทยแล้วย้ายไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทน

ประการต่อมา คือ เรื่องค่าไฟ ค่าไฟในไทยช่วงปลายปี 67 ราคาหน่วยละ 4.18 บาท ส่วนช่วงระหว่างม.ค.- เม.ย. 68 ราคาหน่วยละ 4.15 บาทซึ่งแพงกว่าเวียดนามและมาเลเซียที่ค่าไฟอยู่ที่หน่วยละ 3.57 บาท และ 1.80 บาท ปัจจัยนี้ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันต้องใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก

ด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงทำให้นายพีระพันธุ์ เร่งรื้อโครงสร้างราคาน้ำมันควบคู่ไปกับการลดราคาน้ำมัน และหาทางลดค่าไฟฟ้าในไทยลง โดยหวังลดค่าไฟให้เหลือต่ำกว่าหน่วยละ 4 บาท เพื่อหวังดึงนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศไทยให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งตนเองก็ขอบคุณรัฐบาลที่สนับสนุนแนวคิดของนายพีระพันธุ์ ด้วย

ดร.หิมาลัย ระบุด้วยว่า นายพีระพันธุ์ เคยย้ำว่า การเข้ามาทำงานในฐานะฝ่ายบริหาร ในตำแหน่งรัฐมนตรี จะต้องทำงานทุกวินาทีให้ดีที่สุด

“นายพีระพันธุ์ เคยบอกว่า ได้เข้ามาทำงานเพื่อประเทศแล้วต้องพยายามทำงานให้เต็มที่ ทำงานทุกวินาที ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก” ดร.หิมาลัย ระบุ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งขับเคลื่อนป้องกันปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ มุ่งแก้ปัญหายาเสพติดอย่างมีประสิทธิภาพ

(22 ม.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. ในฐานะประธานอนุกรรมการป้องกัน ปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางป้องกันปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ โดยมี พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผบช.ปส., นายทิพเมษฐ์ สังขวรรณะ ผอ.ปปส.ภาค 1, นายไกรเลิศ ดาวเรือง ผอ.ปปส.ภาค 7, นายโชติพันธ์ จุลเพชร ผอ.ปปส.ภาค 8, พ.ต.ท.นริช สอนดิษฐ ผอ.ปปส.ภาค 9, นายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.สำนักปราบปรามยาเสพติด และผู้แทนกรมการปกครอง พร้อมผู้แทนหน่วย บช.น., ภ.1, ภ.7, ภ.8, ภ.9, บช.ตชด. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 ตร.

พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความพร้อมในการตอบสนองนโยบายรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญในการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวดในทุกมิติ บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ควบคู่ไปกับการเยียวยาฟื้นฟู คืนคนดีสู่สังคม อันเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ได้กำชับให้ทุกฝ่ายสืบสวน หาข่าว ติดตามสถานการณ์ยาเสพติด เส้นทางการลักลอบนำเข้ายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน พื้นที่พักคอยตามแนวชายแดน เส้นทางการลำเลียงยาเสพติด ตั้งแต่พื้นที่ต้นทาง พื้นที่พักคอยตอนใน ไปจนถึงพื้นที่ปลายทางนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อกำหนดมาตรการในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดแบบเหลื่อมเวลาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งเส้นทางหลัก ทางรอง ทางหลบเลี่ยงและเส้นทางโครงข่ายใยแมงมุม เพื่อกำหนดปฏิบัติการกวาดล้างจับกุม โดยยึดถือตาม SOP อย่างเคร่งครัด เน้นการทำงานแบบบูรณาการ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ ประสานความร่วมมือผู้ให้บริการระบบขนส่งโลจิสติกส์ ทั้งภาครัฐและเอกชน บันทึกข้อมูลผู้ส่งพัสดุทุกครั้ง พร้อมร่วมตรวจสอบการลักลอบลำเลียงยาเสพติดทางบริการ
ขนส่งสินค้า หรือพัสดุภัณฑ์ทางไปรษณีย์ เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติด
ใช้เป็นช่องทางในการลักลอบลำเลียงยาเสพติด

โดยในห้วงหลังจากนี้จะลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมติดตามและขับเคลื่อนการปฏิบัติ ณ ด่านตรวจยาเสพติด และจุดปฏิบัติการสำคัญในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ต้องมีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรมและเป็นที่ประจักษ์ของประชาชนและสังคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามยาเสพติดในทุกมิติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top