Friday, 27 June 2025
ค้นหา พบ 49042 ที่เกี่ยวข้อง

กกพ. แจงเสร็จสิ้นหน้าที่รับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 แล้ว พร้อมเห็นชอบตาม กพช. เบรกลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

(22 ม.ค. 68) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เห็นควรปฏิบัติตามมติ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เบรกทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 แม้จะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก 72 ราย รวม 2,145.40 เมกะวัตต์ ไปแล้วก็ตาม พร้อมแจ้งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ว่าได้ปฏิบัติการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 ตามหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนี้ 3 การไฟฟ้าต้องรอนโยบายภาครัฐสั่งการลงนามสัญญา PPA ถึงจะเดินหน้าต่อได้  

แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกรณีเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2567 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติให้ชะลอโครงการไฟฟ้าสีเขียว เฟส 2 หรือ “โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2565 – 2573” ปริมาณรวม 3,668.5 เมกะวัตต์ โดยเป็นการชะลอการลงนามสัญญากับ 3 การไฟฟ้าไว้ก่อน เพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง พร้อมทั้งมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ไปหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาด้านข้อกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของ กพช. รวมทั้งให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กพช. พิจารณาแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว และให้ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ กกพ. และ 3 การไฟฟ้า ทราบมติ กพช. ต่อไป

โดยล่าสุดทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประชุมพิจารณาเห็นควรให้ปฏิบัติตามมติ กพช. โดยให้ชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าที่ผ่านเกณฑ์เข้าร่วมโครงการฯ กับการไฟฟ้าออกไปก่อนจนกว่าทางภาครัฐจะสั่งการลงมาใหม่

อย่างไรก็ตาม กกพ. ได้แจ้งไปยังสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะเลขานุการ กพช. ว่า ทาง กกพ. ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 เสร็จสิ้นกระบวนการตาม มติ กพช. ที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนกระบวนการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) เป็นกระบวนการที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.),การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จะไปดำเนินการต่อตามมติ กพช. และนโยบายภาครัฐต่อไป

สำหรับการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว รอบ 2 จำนวน 3,668.5 เมกะวัตต์ ได้แบ่งเป็น รอบรับซื้อไฟฟ้า 2,180 เมกะวัตต์ สำหรับผู้ที่ผ่านคุณสมบัติการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวแล้ว แต่ไม่ผ่านเข้าร่วมโครงการในรอบแรก ซึ่งจะได้รับการพิจารณาก่อน (ในส่วนนี้กระทรวงพลังงานให้ชะลอไว้ก่อน เพื่อทำการตรวจสอบให้ถูกต้องตามกฎหมาย) ส่วนรอบรับซื้อไฟฟ้าที่เหลืออีก 1,488.5 เมกะวัตต์ ขณะนี้ยังไม่ได้ประกาศเปิดรับซื้อไฟฟ้าในส่วนนี้แต่อย่างใด

ทั้งนี้ย้อนไปในวันที่ 25 พ.ย. 2567 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาแถลงข่าวถึงการให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว รอบ 2 ว่า กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบด้านกฎหมายในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว รอบ 2 จำนวน 2,180 เมกะวัตต์ ว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ เนื่องจากตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ผ่านมา ได้เปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวรอบแรกประมาณ 5,000 เมกะวัตต์ ไปแล้ว แต่ต่อมาพบว่ายังมีผู้ผลิตที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการอีกหลายราย จึงทำการเปิดรับซื้อรอบ 2 ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตัวเองจะเข้ามาบริหารงาน 

ดังนั้นจึงต้องดำเนินการตรวจสอบทางกฎหมายก่อนว่า การเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว 2,180 เมกะวัตต์ ที่กำหนดให้เฉพาะกลุ่มผู้ที่ผ่านคุณสมบัติแล้วแต่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการไฟฟ้าสีเขียวในรอบแรก จะได้รับการพิจารณาก่อนนั้น จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่

ต่อมาในวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ยังคงดำเนินการตามมติ กพช. เดิม โดยออกประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ได้รับการคัดเลือกตามระเบียบ กกพ. ว่าด้วย “การจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรูปแบบ Feed-in Tariff (FIT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567” โดยมีผู้ผ่านเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 72 ราย

โดยแบ่งเป็น 1. ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม 8 ราย รวมกำลังผลิต 565.40 เมกะวัตต์  2.ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์  หรือรวมปริมาณทั้งสิ้น 2,145.40 เมกะวัตต์

ดังนั้นล่าสุดเมื่อ 25 ธ.ค. 2567 ที่ กพช. ได้มีมติให้ชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไว้ก่อน จึงส่งผลให้กระบวนการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว เฟส 2 ต้องถูกระงับไว้ก่อนด้วย เพื่อรอการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าจะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ต่อไป

‘สภาพยาบาล’ ชื่นชม!! ‘พยาบาลตำรวจสาว’ใช้ทักษะช่วยชายสูงวัยหมดสติในสถานีรถไฟใต้ดินญี่ปุ่น

(22 ม.ค. 68) สภาการพยาบาล ขอชื่นชมพยาบาลผู้ทำความดี จากกรณีเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 12.00 น. ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ พยาบาล (สบ 1) กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ สังกัดกลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ ได้ให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุเพศชาย หมดสติล้มลงกับพื้น บริเวณสถานีรถไฟใต้ดิน Ginza Line สถานี Asakusa จังหวัด Tokyo ขณะเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ทักษะทางวิชาชีพในการประเมินอาการ ระดับความรู้สึกตัวและสัญญาณชีพ ชายสูงอายุไม่รู้สึกตัว คลำชีพจรไม่ได้ จึงทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) และแจ้งขอเครื่อง AED จากเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อเครื่อง AED มาถึง ได้หยุด CPR และติดแผ่น Paddle AED เตรียมใช้เครื่อง AED ชายสูงอายุได้กลับมามีชีพจร จึงไม่ได้ทำการ shock ไฟฟ้าหัวใจ ต่อมาเจ้าหน้าที่กู้ชีพมาถึงที่เกิดเหตุ และนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาต่อไป

ในการนี้ สภาการพยาบาลขอแสดงความชื่นชม ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ ในการทำความดีด้วยหัวใจ ช่วยเหลือผู้อื่นโดยทันที ด้วยจิตอาสา ถือเป็นแบบอย่างของการใช้ความรู้ความสามารถในวิชาชีพพยาบาลให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ สร้างความสุขให้สังคม

สมุทรปราการ-พิธา ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.สมุทรปราการ

(21 ม.ค. 68) ณ ตลาดแบล็คมาเก็ต ถนนสุขุมวิท ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง สมุทรปราการ  นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พร้อมด้วยทีม สส.พรรคประชาชน ลงพื้นที่หาเสียงช่วย ดร.นพดล สมยานนทนากุล ผู้ลงสมัครนายก อบจ.สมุทรปราการ และช่วยหาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.อบจ.สมุทรปราการ นอกจากนี้ได้ขึ้นปราศรัยแนะนำตัวผู้สมัครในแต่ละเขต 

โดยมีชาวสมุทรปราการ ต่างสวมเสื้อสีส้ม เดินทางมาร่วมรับฟังการปราศรัยก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โดยก่อนที่นายพิธาจะขึ้นเวที ช่วงเวลา 15.00 น. ได้เดินทางไปที่บริเวณตลาดปากน้ำ เเละได้พบปะพูดคุยกับชาวสมุทรปราการ เพื่อขอคะแนนเสียง จากพ่อค้าแม่ค้าและผู้ที่มาเดินซื้อของที่ภายในตลาดแห่งนี้ ซึ่งระหว่างลงพื้นที่ต่างมีบรรดาแฟนคลับเข้ามาขอถ่ายรูปและมอบดอกไม้ให้กับนายพิธาเป็นจำนวนมาก

จนเวลา 18.30 น. เจี๊ยบ อมรรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้ขึ้นปราศรัยเชิญชวนให้ออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงให้มากก่อนที่จะกล่าวถึงนโยบายของพรรคต่อไป

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

27 มกราคม 2501 วันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันเริ่มต้นของนายร้อย 4 เหล่า

โรงเรียนเตรียมทหาร หรือ Armed Forces Academies Preparatory School เป็นสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดสถาบันวิชาการป้องกันประเทศกองบัญชาการกองทัพไทย และเป็นสถาบันการศึกษาแห่งเดียวในประเทศไทย ที่เป็นศูนย์รวมเบื้องต้นสำหรับผู้ที่จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ, โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ

โดยผู้ที่ศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร เรียกว่านักเรียนเตรียมทหาร (นตท.)

การรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้น โรงเรียนเตรียมทหารมิได้เป็นผู้ดำเนินการสอบคัดเลือกนักเรียนเตรียมทหารด้วยตนเอง หากแต่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ, โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจจะเป็นผู้ดำเนินการสอบคัดเลือก

โดยในแต่ละปีจะมีการกำหนดจำนวนรับนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จากนั้นแต่ละเหล่าทัพจะส่งผู้ผ่านการสอบคัดเลือกมาเรียนรวมกันที่โรงเรียนเตรียมทหาร เป็นเวลา 2 ปี

ภายหลังจากที่สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนเตรียมทหารแล้ว นักเรียนเตรียมทหารเหล่านี้จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนเหล่าทัพ (โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ, โรงเรียนนายเรืออากาศและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ) ตามที่นักเรียนได้สมัครและผ่านการสอบคัดเลือก

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเหล่าทัพแล้ว นักเรียนนายร้อยเหล่านี้ จะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นนายทหาร และนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร พร้อมทั้งเข้ารับพระราชทานกระบี่จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เสด็จแทนพระองค์

สำหรับประวัติการก่อตั้งและสถาปนามีว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2500 จอมพลถนอม กิตติขจร ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เสนอดำริต่อสภากลาโหมว่า หากจะรวมโรงเรียนที่อยู่ในระดับการศึกษาเดียวกันจากกองทัพต่าง ๆ เป็นสถาบันเดียวกันก็จะเป็นการประหยัดงบประมาณของชาติ

ทั้งยังทำให้ผู้ศึกษามีโอกาสได้รู้จักคุ้นเคย มีความสนิทสนมกลมเกลียว มีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความคิดจิตใจร่วมกันแต่เยาว์วัย ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลเหล่านี้สามารถประสานงานกันได้ด้วยดีและปฏิบัติงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่สุด สภากลาโหมได้เห็นชอบในดำรินี้เป็นเอกฉันท์ ในขั้นแรกให้รวมโรงเรียนเตรียมนายร้อย โรงเรียนเตรียมนายเรือ และโรงเรียนเตรียมนายเรืออากาศ เป็นโรงเรียนเตรียมทหาร สังกัดกรมการศึกษาวิจัย กองบัญชาการทหารสูงสุด เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2501

จึงถือว่าวันที่ 27 มกราคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร  และในปี 2506 กรมตำรวจได้ขอให้โรงเรียนเตรียมทหารรับนักเรียนเพื่อเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วย โรงเรียนเตรียมทหารจึงเป็นศูนย์รวมเบื้องต้นสำหรับนายทหาร นายตำรวจ โดยสมบูรณ์

ผลโพลเผยคนอเมริกันมอง 4 ปีของไบเดน ทำสหรัฐแตกแยก ทิ้งผลงานผู้อพยพทะลัก

(22 ม.ค.68) ผลสำรวจจาก Rasmussen Reports ระบุว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าในช่วงการเป็นประธานาธิบดีของโจ ไบเดน ระหว่างปี 2021-2024 ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่มีความแตกแยกมากขึ้น

ผลสำรวจที่จัดทำขึ้นออนไลน์ในช่วงกลางเดือนมกราคมในการสำรวจผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 1,220 คน พบว่า 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าอเมริกาแตกแยกมากขึ้นหลังจากการดำรงตำแหน่ง 4 ปีของไบเดน ขณะอีกที่ 30% มองว่า ระดับความแตกแยกในประเทศยังคงเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่ไบเดนจะเข้ามาดำรงตำแหน่ง

มีเพียง 16% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า รู้สึกว่าประเทศมีความแตกแยกน้อยลง ในขณะที่ 2% ไม่มีความเห็นในเรื่องดังกล่าว

การบริหารงานของไบเดนได้เผชิญความท้าทายกับปัญหาการอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายจากชายแดนใต้ของสหรัฐฯ โดยมีตัวเลขผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายทำสถิติสูงสุดติดต่อกันถึง 3 ปี มีผู้ย้ายถิ่นผิดกฎหมายมากกว่า 8 ล้านคนที่ข้ามเข้ามาในสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2021 ตามข้อมูลจากกรมศุลกากรและการป้องกันชายแดน (CBP)

ในอีกแง่หนึ่ง ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดโดย Ipsos และ Reuters การสำรวจครั้งนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 20-21 มกราคม โดยมีการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ จำนวน 1,077 คน  ระบุว่า คะแนนความนิยมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สูงถึงเกือบครึ่งของผู้สำรวจความเห็น โดยร้อยละ  47% ของผู้ตอบความเห็นแสดงจุดยืนให้การสนับสนุนทรัมป์ หลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นครั้งที่สองในพิธีสาบานตนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ณ อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจดังกล่าว พบว่า 58% ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของทรัมป์ในการอภัยโทษผู้ต้องโทษประมาณ 1,500 คนที่ถูกตัดสินลงโทษจากเหตุการณ์ประท้วงที่อาคารรัฐสภา ขณะที่ 29% สนับสนุนการจัดการของประธานาธิบดีคนที่ 47 ในเรื่องการเมืองและความยุติธรรม

ในขณะเดียวกัน 46% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยกับนโยบายของทรัมป์ในด้านการตรวจคนเข้าเมือง โดย 56% สนับสนุนข้อเสนอที่ว่า สหรัฐฯ ควร "ลดจำนวนผู้ขอลี้ภัยที่ได้รับอนุญาตให้ข้ามพรมแดนอย่างมีนัยสำคัญ"

สำหรับคะแนนความนิยมของทรัมป์ในช่วงเริ่มต้นของวาระแรกนั้นอยู่ที่ 43% และสูงสุดที่ 49% ในปี 2017 ก่อนที่จะลดลงเหลือ 34% เมื่อสิ้นสุดวาระ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top