Friday, 27 June 2025
ค้นหา พบ 49068 ที่เกี่ยวข้อง

ตำรวจภูธรภาค 2 รื้อรังยาเสพติด กดดันอาชญากร เปิด “ยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา” ปิดตายแหล่งมั่วสุม “จอมเทียนซอย 3”  ปิดตำนานลานโพธิ์ คืนพื้นที่เสื่อมโทรมเป็นพื้นที่สงบสุข

(20 ม.ค. 68) เวลา 09.00 น. พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ลงพื้นที่จอมเทียนซอย 3 เมืองพัทยา อ.บางละมุง จว.ชลบุรี ติดตาม “ยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา” โดยมี พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา นายพัชรพัชร์ ศรีธัญญนนท์ นายอำเภอบางละมุง ร่วมด้วย

พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากท่านภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การสนับสนุนการปฏิบัติของตำรวจ วันนี้ได้มาร่วมการดำเนินการปราบปรามยาเสพติดของตำรวจภูธรภาค 2 ในยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา ซึ่งยุทธการนี้เป็นการสืบสวนข้อมูลของกลุ่มนักค้ายเสพติดมาโดยตลอด โดยเน้นปัญหายาเสพติด ปัญหาผู้มีอิทธิพล ปัญหาการค้ามนุษย์ และปัญหาต่าง ๆ ที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งการดำเนินการในลักษณะนี้จะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทุกพื้นที่ รวมถึงพื้นที่พัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกจับตามองของสังคมเนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ โดยจะบูรณาการทำงานกันทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายรัฐบาล

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เปิดเผยว่า ยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา นำกำลังโดย พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.เมืองพัทยา  และ พ.ต.ท.ศิรชัช  หนูเทศ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองพัทยา ประสานงาน เมืองพัทยาทำการรื้อถอนพื้นที่เสื่อมโทรมในซอยจอมเทียน 3 ซึ่งเป็นแหล่งบ่มเพาะของยาเสพติด ผู้เสพ ผู้ค้า มานาน “พื้นที่จอมเทียนซอย 3 เป็นพื้นที่บริเวณ ท้ายซอยจอมเทียนซอย 2 และ ซอย 3 มีลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์จำนวน 20 คูหา สองฝั่ง รวมเป็น 40 คูหา และมีที่ดินระหว่างอาคารพาณิชย์ดังกล่าว พื้นที่ประมาณ 1 ไร่ ถูกบุกรุก รุกล้ำ สร้างเป็นเพิงอาศัยชั่วคราวประมาณ 30 หลัง ซึ่งปัญหาของจอมเทียนซอย 3 เกิดขึ้นจาก กรณีพิพาทฟ้องร้องกันของบริษัทที่เป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์และที่ดินดังกล่าว ทำให้พื้นที่ดังกล่าวเกิดความเสื่อมโทรม ทำให้เกิดเป็นแหล่งมั่วสุม

ของยาเสพติด และ บุคคลเร่ร่อน ต่าง ๆ ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และสภ.เมืองพัทยา ได้เปิดปฏิบัติการล้างบางปรสิต EP.2 จอมเทียนซอย 3 โมเดล ไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา จับกุมผู้ขาย บำบัดผู้เสพ สแกนพื้นที่ 100% สามารถจับกุมผู้ต้องหารวม 129 ราย ทั้งผู้ค้า ผู้เสพ ผู้ครอบครอง และต่างด้าวผิดกฎหมาย และครั้งนี้ ยุทธการ EP.3 เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน” ผบช.ภ.2 กล่าว

ผบช.ภ.2 กล่าวด้วยว่า ยุทธการล้างบางปรสิต มุ่งเน้น 3 มิติ คือ 1. การปราบปราม กดดัน พวกที่เข้ามาก่ออาชญากรรมและยาเสพติดในพื้นที่  2.การจัดสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะในพื้นที่รกร้าง ที่เอื้อต่อการเกิดอาชญากรรม มั่วสุมจำหน่ายยาเสพติด และการแพร่กระจายของเชื้อโรค และ 3.การพัฒนาการบูรณาการปฏิบัติของหน่วยงานราชการและเอกชนในพื้นที่ พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 2  ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เดินหน้ารุกปราบปรามอาชญากรรม กวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่อย่างเด็ดขาดโดยเฉพาะเมืองพัทยาที่เป็นเมืองหัวใจของการท่องเที่ยวประเทศไทย จึงให้ความสำคัญในการป้องกันปรามอาชญากรรมทุกประเภทอย่างจริงจัง โดยเปิดปฏิบัติการล้างบางปรสิต EP.1–2 อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง และเพื่อการการแก้ปัญหา ยาเสพติดในพื้นที่พัทยา เป็นไปอย่างยั่งยืน สภ.เมืองพัทยา เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง ร่วมมือกันจัดระเบียบที่อยู่อาศัย สั่งรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างไม่ถูกกฎหมาย ไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยลงพื้นที่ทำการ รื้อถอนในวันนี้ ถือเป็นปฏิบัติการบิ๊กคลีนนิ่ง ทำเมืองพัทยาให้สะอาดจากยาเสพติด และอาชญากรรม กวาดล้างแบบขุดรากถอนโคน 

“วันนี้มาดูการปฏิบัติการในพื้นที่จอมเทียนซอย 3 และ จอมเทียนซอย 11 หารือกับหน่วยราชการและภาคเอกชนในพื้นที่ถึงสภาพปัญหา ร่วมหารือการปฏิบัติของตำรวจทุกหน่วยในพื้นที่พัทยา หารือเพื่อทราบปัญหา สนับสนุนให้กำลังใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย และขอย้ำว่าต่อไปนี้ใครจะมาใช้พื้นที่จุดนี้ หรือจุดไหนในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นแหล่งค้ายาเสพติด แหล่งกบดาน แหล่งซ่องสุมไม่ได้ ตำรวจภูธรภาค 2 จะมีปฏิบัติการอย่างเข้มข้น ไม่ยอมให้ปรสิตมาเกาะกินทำลายความสงบสุขของประชาชน” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

ทั้งนี้ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ได้เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ จว.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 1 – 17 มกราคม 2568 จับกุม 229 คดี ผู้ต้องหา 231 คน ยึดของกลางยาเสพติดเคตามีน 150 กก. ยาบ้า กว่า 76,000 เม็ด อายัดทรัพย์กว่า 8,300,000 บาท

เมียนมาลงนามข้อตกลงหยุดยิงกลุ่มโกก้าง จีนรับบทตัวกลางเจรจาลดความรุนแรง

(20 ม.ค. 68) รอยเตอร์รายงานว่า นางเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน เปิดเผยว่า รัฐบาลเมียนมาและกองกำลังกบฏ MNDA (กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งเมียนมา) ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์โกก้างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมียนมา ได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา

ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการเจรจาที่จัดขึ้นในนครคุนหมิง ประเทศจีน โดยจีนได้มีบทบาทสำคัญในการประสานงานและส่งเสริมการเจรจา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความขอบคุณต่อจีนสำหรับความพยายามในการผลักดันกระบวนการสันติภาพในครั้งนี้

“การลดความรุนแรงในภาคเหนือของเมียนมาเป็นผลประโยชน์ร่วมกันสำหรับทุกฝ่าย ไม่เพียงแต่ในเมียนมา แต่ยังรวมถึงประเทศในภูมิภาค ซึ่งช่วยส่งเสริมความมั่นคงและการพัฒนาบริเวณชายแดนระหว่างจีนและเมียนมา” นางเหมากล่าว พร้อมยืนยันว่าจีนจะยังคงให้การสนับสนุนกระบวนการสันติภาพและการเจรจาต่อไป

MNDA ถือเป็นหนึ่งในกองกำลังชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในการสู้รบกับกองทัพรัฐบาลทหารเมียนมาในพื้นที่ที่กลุ่มชาติพันธุ์มองว่าเป็นดินแดนของตนเอง โดย MNDA ยังเป็นสมาชิกกลุ่มพันธมิตรสามภราดรภาพ ซึ่งรวมถึงกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอ้าง (TNLA) และกองทัพอาระกัน (AA) ที่เคยยึดพื้นที่สำคัญใกล้ชายแดนจีนได้ในช่วงปลายปี 2566

ข้อตกลงหยุดยิงครั้งนี้มีขึ้นไม่นานหลังจากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนแบบไม่เป็นทางการ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม ณ เมืองลังกาวี ประเทศมาเลเซีย โดยนายโมฮัมหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ระบุว่า อาเซียนได้เรียกร้องให้รัฐบาลทหารเมียนมาหยุดยิงและเริ่มต้นการเจรจาโดยทันที พร้อมย้ำว่า การจัดการเลือกตั้งทั่วไปในสถานการณ์ปัจจุบันไม่ควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก แต่การยุติความรุนแรงควรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้

24 มกราคม ของทุกปี วันการศึกษาสากล วันที่ระลึกถึงความสำคัญของการศึกษา

ทุกวันที่ 24 มกราคมของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น วันการศึกษาสากล (International Day of Education) โดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพื่อย้ำถึงความสำคัญของการศึกษา ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสันติภาพและการพัฒนาอย่างยั่งยืน การศึกษาที่มีคุณภาพไม่เพียงช่วยให้แต่ละบุคคลพัฒนาตนเอง แต่ยังขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติด้วย

การศึกษาถือเป็นสะพานสู่โลกกว้าง ช่วยให้ผู้คนสามารถคิดวิเคราะห์และเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ดียิ่งขึ้น หากปราศจากโอกาสทางการศึกษา ย่อมทำให้ยากที่จะตามทันโลกและผู้อื่น

การศึกษามีประโยชน์ในหลายมิติ เช่น ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ ส่งเสริมความรู้และความสามารถในการประกอบอาชีพ ทำให้พลเมืองมีส่วนร่วมในการพัฒนาชาติ เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากองค์กรระดับโลกสะท้อนปัญหาที่น่าห่วงใยเกี่ยวกับการเข้าถึงการศึกษาของเด็กและเยาวชนทั่วโลก โดยพบว่า เด็กและเยาวชนจำนวน 258 ล้านคน ยังไม่เคยเข้าเรียน เด็กและวัยรุ่น 617 ล้านคน ไม่สามารถอ่านหนังสือหรือทำคณิตศาสตร์พื้นฐานได้ ในภูมิภาคทะเลทรายซาฮารา เด็กผู้หญิงน้อยกว่า 40% จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ขณะที่มีผู้ลี้ภัยและเด็กประมาณ 4 ล้านคน ไม่ได้เข้าถึงการศึกษา

25 มกราคม 2502 ในหลวงร.9 เสด็จฯ จังหวัดสุพรรณบุรี ทรงเปิดพระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

เมื่อพุทธศักราช 2456 ได้มีการค้นพบพระเจดีย์ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสร้างขึ้น ณ ดอนพระเจดีย์ แขวงเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทรงชนะในยุทธหัตถี และในปีเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระเจดีย์แห่งนี้ เพื่อทรงนมัสการและโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระเจดีย์ขึ้นใหม่ ทว่าการก่อสร้างประสบปัญหาขัดข้องเรื่องงบประมาณ

จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช การบูรณะฟื้นฟูพระเจดีย์ได้สำเร็จลุล่วง ต่อมาในวันที่ 25 มกราคม พุทธศักราช 2502 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงเสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีเปิดพระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ ตำบลดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ตามหมายกำหนดการที่ 1/2502

เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงเสด็จเข้าสู่พิธีมณฑล ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธปฏิมาประจำรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงศีลและทรงฟังคำกราบบังคมทูลรายงาน ก่อนที่จะมีพระราชดำรัส จากนั้นพระองค์ทรงเปิดพระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระสงฆ์ 10 รูป เจริญชัยมงคลคาถา ขณะเดียวกันชาวพนักงานได้ประโคมฆ้องชัย สังข์ บัณเฑาะว์ มโหระทึก แตร และดุริยางค์ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ

หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงเสด็จไปทรงพระสุหร่ายสรงพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงจุดธูปเทียนถวายราชสักการะ ก่อนจะประทับพระราชอาสน์ในพิธีมณฑล พระสงฆ์ถวายอดิเรก และเสด็จพระราชดำเนินกลับ

ผบ.ตร.ประชุมร่วมทุกหน่วยขันน๊อตแก้ปัญหาจริงจัง เน้นปัญหาคนต่างชาติถูกหลอกลวงใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน กำชับตำรวจพื้นที่ชายแดนแม่สอด จ.ตาก มีมาตรการแก้ปัญหาให้เห็นผลชัดเจนภายใน 7 วัน 

พร้อมคาดโทษตำรวจทุกหน่วยที่ปล่อยปะละเลย หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาด

(20 ม.ค. 68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมแก้ปัญหาคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวตั้งกลุ่มแก๊งกระทำความผิดหรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. , ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้แทนหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผ่านการประชุมระบบทางไกลผ่านจอภาพ

ตามนโยบายรัฐบายที่จะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย ผบ.ตร.ขานรับนโยบายนำมาสู่การปฏิบัติ ซึ่งได้กำหนดนโยบายการปฏิบัติงานในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และเป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ และป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และกลุ่มชาวชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจโดยใช้นอมินี แรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองหรือทำงานโดยผิดกฎหมาย

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว ก่อให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว และการรักษาความปลอดภัยของประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับกรณีดังกล่าว จึงขอให้ทุกหน่วยเร่งรัดดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็ว มอบหมายหน้าที่แก่ผู้ปฏิบัติแต่ละนายให้ชัดเจน ตรวจสอบได้ และประสานการปฏิบัติกับทุกหน่วย 

ทั้งนี้ ผบ.ตร. มีข้อสั่งการ ดังนี้
1. กำชับห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพัน เรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ใดโดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ไม่เหมาะสม โดยผู้บังคับบัญชาจะต้องตรวจสอบการปฏิบัติงานและความประพฤติเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด เกิดผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม หากเพิกเฉย ละเลย จะถือว่าไม่เอาใจใส่ในการทำหน้าที่ เมื่อพบข้อบกพร่อง/ร้องเรียน จะพิจารณาทางปกครอง วินัย และอาญา โดยเด็ดขาดในทุกระดับชั้น

2. ให้กองบังคับการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรจังหวัด เป็นหน่วยหลักในการจัดทำแผนระดับพื้นที่ และจัดทำข้อมูลท้องถิ่นร่วมกับกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองการต่างประเทศ เพื่อกำหนดการปฏิบัติร่วมกัน เช่น การตรวจที่พักคนต่างด้าว การตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด (แบบใยแมงมุม) การสืบสวนปราบปราม ตลอดจนประสานหน่วยอื่น ๆ เช่น กกล.ทหาร (ชายแดน) กอ.รมน. หน่วยข่าวด้านความมั่นคงและภาคส่วนในพื้นที่ โดยผู้บังคับการตำรวจนครบาล และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด จะต้องติดตามสถานการณ์ ประสานงานหน่วยในพื้นที่ และจัดทำแผนการปฏิบัติร่วมกัน ส่วนหน่วยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีการส่งต่อและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยให้เป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะการแจ้งที่พักอาศัย สถานะของคนต่างด้าว บูรณาการข้อมูลทุกด้าน โดยให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นหน่วยหลัก

ผบ.ตร. กล่าวว่า วันนี้ได้รับฟังข้อมูลจากหน่วยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภารกิจ หน้าที่ตามกรอบของกฎหมายแต่ละฉบับ การประสานงานประเทศต้นทาง ในการควบคุม กำกับดูแลการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนต่างด้าว เช่น ที่พักอาศัย รถเช่าต่าง ๆ ไกด์หรือมัคคุเทศก์ในประเทศไทย การเดินทางตามเส้นทางต่าง ๆ ในประเทศไปจนกระทั่งพื้นที่ชายแดน และการออกจากประเทศไทย พร้อมเน้นย้ำให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และแผนประทุษกรรมด้านการหลอกลวง การช่วยเหลือสืบสวนขยายผลติดตามคนต่างด้าว และกลไกการส่งต่อระดับชาติตามแผนป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และแผนอาชญากรรมข้ามชาติ โดยให้ตำรวจพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนระดับพื้นที่ให้รัดกุม ชัดเจน และตั้งผู้ประสานงานระหว่างประเทศรับข้อมูลฝ่ายต่าง ๆ มาขับเคลื่อนโดยทันที

นอกจากนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า ในการประชุมวันนี้ มุ่งเน้นการยกระดับแก้ไขปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะปัญหาคนต่างชาติถูกหลอกลวงโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในพื้นที่ชายแดนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก ที่เกิดปัญหาอย่างมากในขณะนี้ สั่งการให้ตำรวจในพื้นที่ อ.แม่สอด ต้องมีมาตรการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ให้เห็นผลชัดเจนภายใน 7 วัน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ป้องกันปราบปราบ สืบสวนขยายผลไปยังตัวการ ผู้ร่วมกระทำความผิด ผู้ช่วยเหลือที่กระทำความผิดตามกฎหมายทุกราย บริหารจัดการทุกภาคส่วนตั้งแต่ท่าอากาศยาน รถให้เช่า เส้นทาง ที่พักคอยต่าง ๆ ขอความร่วมมือคนไทยช่วยกันประชาสัมพันธ์และเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น ช่วยเหลือดูแล เพื่อสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top