Thursday, 3 July 2025
ค้นหา พบ 49177 ที่เกี่ยวข้อง

“ผบช.สตม.ลงพื้นที่ ประชุมร่วมหน่วยความมั่นคงวางมาตรการเข้ม สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ชายแดน ไทย-ปอยเปต”

(6 ม.ค. 68) ผบช.สตม. ลงตรวจพื้นที่สระแก้ว ประชุมหน่วยความมั่นคง วางมาตรการเข้มคัดกรองนายทุนเดินทางเข้าออกไทยฝั่งปอยเปต สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หนุนนโยบายรัฐบาล ประสานความร่วมมือทหาร ปกครอง เสริมกำลังเจ้าหน้าที่จุดเสี่ยง ช่องทางธรรมชาติ ป้องกันการเข้าออกเมืองผิดกฎหมาย พร้อมทำฐานข้อมูลคนไทยลักลอบไปทำงานกัมพูชา เพื่อตัดเส้นทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบครบวงจร พบส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอายุ 20-30 ปี 

วันนี้(6 ม.ค.68) เวลา 10.00 น. ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จ.สระแก้ว พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ประชุมร่วมกับ Mr.kim suvanna กงสุลใหญ่กัมพูชาประจำประเทศไทย, พล.ท.วันนา เป๊ก  หน.ประสานงานชายแดนกัมพูชา-ไทย พร้อมด้วย พล.ต.ต.ออมสิณ  บุญญานุสนธิ์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว พ.อ.ชัยณรงค์  กาสี ผบ.กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ นายสุเทพ ชัยวัฒน์ ปลัดจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วย พม.จว., รอง ผอ.รมน.จว. และจัดหางาน จว.สระแก้ว หารือมาตรการป้องกันแรงงานไทยที่ลักลอบไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งนายทุนต่างชาติที่เดินทางเข้าออกไทย โดยอาศัยวีซ่านักท่องเที่ยว พร้อมลงพื้นที่สำรวจจุดเสี่ยง ช่องทางธรรมชาติ ที่เป็นเส้นทางหลบเลี่ยง และที่กบดานของแรงงานไทยเพื่อไปทำงานในประเทศกัมพูชา 
พล.ต.ท.ภาณุมาศ ฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม.เข้มงวดกวดขันคนต่างชาติที่เดินทางเข้าออกไทยมากผิดปกติ ซึ่งเชื่อว่าอาจไปทำธุรกิจผิดกฎหมาย และอาศัยประเทศไทยเป็นเส้นทางหลอก หรือเป็นแหล่งที่พำนักเพื่อไปทำงานที่กัมพูชา ทั้งนี้ สตม.ได้เพิ่มมาตรการตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยบ่อยครั้ง แต่ไม่มีปัจจัยยังชีพ เช่น แผนการท่องเที่ยว หรือ ไม่มีเงินสดติดตัว หรือคนที่เข้ามาหลายครั้งในรอบปี แต่ไม่มีหลักฐานการท่องเที่ยว ก็จะปฏิเสธการเข้าเมือง และบันทึกประวัติไว้ทันที 

นอกจากนี้แล้วยังดำเนินคดีคนไทยที่ถูกเจ้าหน้าที่กัมพูชาจับกุม ข้อหาหลบหนีเข้าเมือง แล้วถูกผลักดันกลับมาไทย ซึ่งจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ฐานเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านตามช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่า สถานี หรือท้องที่ ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลไว้แล้วส่งต่อให้หน่วยงานด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป จากสถิติ ปี 2567 มีคนไทยที่ถูกส่งกลับนับตั้งแต่ ม.ค.-ธ.ค.67 รวมทั้งสิ้น 210 คน เป็นผู้ชาย 125 คน ผู้หญิง 86 คน ส่วนใหญ่อายุประมาณ 20-30 ปี ส่วนรายใดมีหมายจับก็จะส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีต่อไป 

ด้าน พ.อ.ชัยณรงค์ ฯ ผบ.กรมทหารราบที่ 12 รอ. กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการจับกุมคนต่างชาติ ที่ลักลอบเข้าประเทศ และยังให้ข้อมูลอีกว่า ณ ตอนนี้การลักลอบออกนอกประเทศนั้นมักจะออกโดยผ่านพื้นที่ส่วนบุคคล โดยเฉพาะพื้นที่เฝ้าระวังบริเวณรับฝากรถยนต์ จำนวน 7 แห่ง ตามแนวชายแดน

ในขณะที่ นายสุเทพ ฯ ปลัดจังหวัดสระแก้ว กล่าวด้วยว่าชายแดนไทยกัมพูชาเป็นแผ่นดินติดแผ่นดินมีระยะทางกว่า 165 กิโลเมตร ซึ่งทางฝ่ายปกครองก็ได้มีการขอความร่วมมือผู้ใหญ่บ้านคอยสอดส่องและส่งข้อมูลให้ทางจังหวัด

นางกนกวรรณฯ พม.จว.สระแก้ว ได้กล่าวว่าภารกิจของ พม.นั้นเป็นกระบวนการส่งต่อระดับชาติฯ(NRM) อันได้แก่ คัดกรอง คัดแยก คุ้มครอง ซึ่งในปี2567 ที่ผ่านมามีผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์3ราย จากทั้งหมด 210 ราย

นายปรีชา ดุจจานุทัศน์ จัดหางานจังหวัดสระแก้ว ได้ชี้แจงว่าการที่คนไทยต้องไปทำงานในต่างประเทศนั้นต้องมีเอกสารดังนี้

-เอกสารนายจ้างในต่างประเทศ
-มีหนังสือจ้างงานจากกงสุลไทยในต่างประเทศ
-มีpassport และ วีซ่าทำงาน ที่ถูกต้อง
จึงจะทำงานในต่างประเทศได้ ทั้งนี้จัดหางานจังหวัดสระแก้ว ได้ร่วมกับ ตม.จว.สระแก้วในการคัดกรองคนไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วย

ซึ่งทางฝ่ายเจ้าหน้าที่กัมพูชา โดยนายเลียม  โซดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียนเมียนเจย กล่าวอีกว่า ทางกัมพูชา รับทราบข้อมูลของทางฝั่งไทยแล้ว และพร้อมให้ความร่วมมือกับทางฝั่งไทยในการสะกัดกั้นคนข้ามแดนผิดกฎหมาย

กองทัพอากาศ จัดพิธีทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ ประจำปี 2568

(6 ม.ค. 68) พลอากาศเอก พันธ์ภักดี  พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ คุณมนทิรา  พัฒนกุล นายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ เป็นประธานในพิธีพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ประจำปี 2568 ณ ลานอเนกประสงค์ สโมสรทหารอากาศชั้นประทวน เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลในปี 2568 โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ สมาคมแม่บ้านทหารอากาศ ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ นักเรียนทหาร และครอบครัว เข้าร่วมพิธี

ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณต่อกำลังพล พร้อมทั้งอวยพรปีใหม่ โดยเน้นถึงความสามัคคีและความเสียสละของบุคลากรทุกระดับในกองทัพอากาศ ที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของภารกิจต่าง ๆ ความว่า “ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ได้พร้อมใจกันมาร่วมทำบุญตักบาตรในวันนี้ และอำนวยพรให้ผมและครอบครัว ผมรู้สึกอบอุ่นใจและขอขอบคุณในน้ำใจไมตรีที่ทุกท่านมอบให้ พร้อมทั้งขอฝากความระลึกถึงและความปรารถนาดีไปยังพี่น้องข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ นักเรียนทหาร และทหารกองประจำการที่ไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ทุกท่านทราบว่า ผู้บังคับบัญชามีความห่วงใย และพร้อมดูแลช่วยเหลือด้านสวัสดิการ เพื่อให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ผมยืนยันเจตนารมณ์ที่จะอุทิศตนปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับทุกท่านด้วยความเสียสละ ซื่อสัตย์สุจริต และนำพาความเจริญก้าวหน้ามาสู่กองทัพอากาศและประเทศชาติสืบไป”

พร้อมกันนี้ ได้มีพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 45 รูป จากวัดชูจิตธรรมาราม และพิธีเจริญพระพุทธมนต์จากพระสงฆ์ จำนวน 9 รูป จากวัดดอนเมือง (พระอารามหลวง) เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความสุข ความสงบ และความเป็นสิริมงคล รวมทั้งเพื่อสืบสานประเพณีอันดีงามของประชาชนชาวไทย

#กองทัพอากาศ

‘พิชัย’ จับมือปากีสถาน ฟื้นเวทีประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า JTC ครั้งแรกในรอบ 10 ปี ตลาดใหญ่เอเชียใต้ประชากร 240 ล้านคน

(6 ม.ค. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการพบหารือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย (นางรุคซานา อัฟซอล) ณ กระทรวงพาณิชย์ ว่าทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบที่จะกลับมาประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ปากีสถาน (ระดับรัฐมนตรี) หลังจากห่างหายไปกว่า 10 ปี เพื่อหารือแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ร่วมกันภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและบริบทการค้าปัจจุบัน อาทิ การกลับเข้าสู่การเจรจาความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ไทย-ปากีสถาน การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และการพัฒนาความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ได้แก่ อาหาร สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ ประมง และการท่องเที่ยว อันจะช่วยส่งเสริมโอกาสทางการค้าและห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน รวมทั้งเพิ่มพูนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในระยะยาว โดยไทยยินดีเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ปากีสถาน ครั้งที่ 4 ในปี 2568

นายพิชัย กล่าวว่า ปากีสถานเป็นตลาดใหญ่ มีประชากรกว่า 240 ล้านคน มากเป็นอันดับ 5 ของโลก มีประชากรวัยทำงานที่มีกำลังซื้อมากถึง 80 ล้านคน ทั้งนี้ การค้าระหว่างกันมีความเกื้อกูลกันและมีโอกาสขยายตัวได้อีกมากเนื่องจากสินค้าหลายรายการเป็นสินค้าขั้นกลางจากไทยที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของปากีสถานเพื่อรองรับตลาดภายในและส่งออกไปต่างประเทศ เช่น ใยสังเคราะห์ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและ ส่วนประกอบ และชิ้นส่วนรถยนต์ ขณะที่ปากีสถานมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่สามารถเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมการผลิตของไทยได้ เช่น สัตว์น้ำ อัญมณี ถ่านหิน และแร่เหล็ก ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างกัน โดยไทยได้เชิญชวนให้ผู้ประกอบการปากีสถานเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ My Karachi ระหว่างวันที่ 1-3สิงหาคม 2568 ณ เมืองการาจี ขณะที่ปากีสถานได้เชิญผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน Pakistan ASEAN Trade Development Conference ระหว่างวันที่ 6-9 สิงหาคม 2568 ณ กรุงจาการ์ตา 

นายพิชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยและปากีสถานยังยืนยันความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน โดยปากีสถานได้มีการจัดตั้งสภาอำนวยความสะดวกการลงทุนพิเศษ(Special Investment Facilitation Council) เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติใน 5 สาขาหลัก ได้แก่ เกษตรและอาหาร เทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงานหมุนเวียน การทำเหมืองแร่ และท่องเที่ยว ในขณะที่ไทยได้เชิญชวนให้ปากีสถานเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทย โดยไทยมีความพร้อมด้านระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีรองรับการลงทุนอย่างเต็มที่ อาทิ ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะไฟฟ้าและน้ำ

ปากีสถานเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2567 (มกราคม – พฤศจิกายน) การค้าระหว่างไทยกับปากีสถานมีมูลค่า 1,031.76.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกของไทยไปปากีสถานมูลค่า 781.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เส้นใยประดิษฐ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และยางพารา และการนำเข้าของไทยจากปากีสถานมูลค่า 250.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ  สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป น้ำมันดิบ กระดาษ และผลิตภัณฑ์กระดาษ เสื้อผ้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 530.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เชียงใหม่-แม่ทัพภาคที่ 3 เปิดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าฯ ตั้งเป้าเมษายนปีนี้อากาศจะต้องดี

(6 ม.ค. 68) แม่ทัพภาคที่ 3 มอบนโยบายให้ 17 จังหวัดภาคเหนือ พร้อม เปิดกิจกรรม “รณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่ภาคเหนือ” ประจำปี 2568 และตรวจความพร้อมของกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และอากาศยาน ในการป้องกันและแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ในพื้นที่ 17 ภาคเหนือ ย้ำ กองทัพภาคที่ 3 พร้อมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มขีดความสามารถ

กิจกรรม “รณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่ภาคเหนือ” ประจำปี 2568 ซึ่งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ได้ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ จัดขึ้น โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 จัดตั้งขึ้นตามคำสั่ง กองทัพภาคที่ 3 ,ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 ,กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ,ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาค 3  ที่ 421/2567 / ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567  มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

1. วางแผน อำนวยการและบูรณาการ การป้องกันแก้ปัญหาไฟป่า รวมทั้งการควบคุมและดับไฟที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบและในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดระหว่าง โดยบูรณการด้านงบประมาณอัตรากำลัง เจ้าหน้าที่ เครือข่ายอาสาสมัคร ยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์ เครื่องมือ ยานพาหนะ และอากาศยาน ฯลฯ
2. ปฏิบัติการเฝ้าระวัง ติดตาม ประเมินสถานการณ์ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน และดับไฟป่า รวมทั้งบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ ฝุ่นละออง ระดับจังหวัด และรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
3. สนับสนุนการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลกระทบของไฟป่าและหมอกควัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน 
4. แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิบัติแก้ไขปัญหาและหมอกควันในพื้นที่ 14 กลุ่มป่าแปลงใหญ่รอยต่อไฟป่า เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ ฝุ่นละอองระดับภาค
5. ปฏิบัติงานอื่นตามที่คณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศมอบหมาย
 
โดยได้จัดตั้ง ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ที่ อาคารยอดทัพ กองพลทหารราบที่ 7  อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 30 เมษายน 2568 หรือ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ซึ่งจัดให้มีการประชุมประสานงาน กับศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองระดับจังหวัด และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน 17 จังหวัด รวมทั้งชุดขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม 17 จังหวัดภาคเหนือ 

เพื่อบูรณาการสรรพกำลังทั้งมวลของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้มีส่วนร่วมในการป้องกัน แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ตามนโยบายของ รัฐบาลให้ทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อมบูรณาการแผนงานป้องกันการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง และแผนเผชิญเหตุในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสาธารณภัยให้มีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสาร เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น เป้าหมายในการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองในปี 2568  จะพิจารณาจากสถิติจุดความร้อน  และพื้นที่เผาไหม้ของปีที่ผ่านมา  

กำหนดเป้าหมายสำคัญ 7 ดอย , 19 รอยต่อ , และ 12 ป่าแปลงใหญ่ พร้อมทั้งผลลัพธ์ที่ต้องการ คือ จุดความร้อนลดลง พื้นที่เผาไหม้ลดลง และฝุ่นละอองขนาดเล็กลดระดับความรุนแรงลง จนไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ตามที่รัฐบาลกำหนด 

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 ได้มอบนโยบายแผนการปฏิบัติงานและแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประจำปี 2568 ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ , หัวหน้าส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้อง และรับฟังการบรรยายลักษณะสภาพอากาศ อัตราการระบายอากาศ ความกดอากาศ จาก ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ , การสนับสนุนอากาศยานยุทโธปกรณ์ตรวจหาจุดความร้อน จากกองทัพอากาศ , กระบวนการสร้างความชุ่มชื้นในอากาศ และการทำฝนหลวง  จาก ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือตอนบน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร , มาตราการ/แนวทางการ ควบคุมไฟป่า 14 cluster พื้นที่ไหม้ซ้ำซาก พื้นที่รอยต่อ จากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ และ แนวทางการบังคับใช้กฎหมาย ตำรวจภูธรภาค 5  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรม “รณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 พื้นที่ภาคเหนือ” ประจำปี งบประมาณ 2568 ตั้งเป้าหมายเดือนเมษายนปีนี้อากาศเชียงใหม่จะต้องดี

นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองจาก 10 หน่วยงาน และตรวจความพร้อมและให้กำลังใจชุดปฏิบัติการดับไฟป่า อากาศยานและอุปกรณ์ดับไฟป่า จาก กองทัพภาคที่ 3 , กรมป่าไม้ , กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช , กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย , องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และมวลชนจิตอาสา กว่า 500 นาย ณ ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ภาค 3 กองพลทหารราบที่ 7 อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 
 
ทั้งนี้ กองทัพบก และ กองทัพภาคที่ 3 โดย ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ภาค 3 ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาไฟป่า-หมอกควันและการเผาป่าในพื้นที่ภาคเหนือเป็นอย่างมาก ด้วยการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาล ในการขับเคลื่อนภารกิจพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือประชาชน และการบรรเทาสาธารณภัยอย่างเต็มขีดความสามารถ รวมทั้ง การบูรณาการและประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพสูงสุด

นภาพร/เชียงใหม่

'ทรูโด' ลาออกนายกแคนาดา หลังคะแนนนิยมร่วง สมาชิกพรรคไม่หนุน

(6 ม.ค. 68) นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังดำรงตำแหน่งมานานเกือบ 10 ปี โดยเขาเผชิญกับกระแสความไม่พอใจจากประชาชนเกี่ยวกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปัญหาราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งทะยาน นอกจากนี้ แคนาดายังประสบวิกฤตผู้อพยพและปัญหาความวุ่นวายภายในรัฐบาล ซึ่งเห็นได้จากการลาออกอย่างกะทันหันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านถึง 3 พรรคได้ประกาศชัดเจนว่าจะร่วมกันลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลในการประชุมสภาครั้งหน้า

นายทรูโดระบุว่า เขาจะยุติบทบาทนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีนิยมคนใหม่เสร็จสิ้น โดยยืนยันว่าเขาไม่สามารถทำหน้าที่หัวหน้าพรรคในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ เนื่องจากความขัดแย้งภายในพรรค

“ผมไม่ใช่คนที่ยอมถอยง่ายๆ โดยเฉพาะในเรื่องที่มีความสำคัญต่อพรรคและประเทศชาติ” ทรูโดกล่าวในแถลงการณ์ “แต่ผมเชื่อว่าผมได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีเพื่อประชาชนและส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่แล้ว ผมเชื่อมั่นว่าหัวหน้าพรรคคนใหม่จะสานต่อคุณค่าและอุดมการณ์ของพรรคเสรีนิยมเพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป”

ความเห็นจากพรรคเสรีนิยมและฝ่ายค้าน

นายซาชิต เมห์รา ประธานพรรคเสรีนิยม กล่าวขอบคุณนายทรูโดสำหรับบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศด้วยนโยบายสำคัญ เช่น นโยบายดูแลเด็กในราคา 10 ดอลลาร์ต่อวัน โครงการดูแลสุขภาพฟัน และแผนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมระบุว่า พรรคจะจัดการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าคนใหม่ในสัปดาห์หน้า

ด้านนายปิแอร์ ปัวลีแวร์ ผู้นำพรรคอนุรักษนิยม โพสต์วิดีโอบน X (เดิมชื่อ Twitter) ระบุว่า “ชาวแคนาดารู้สึกเหมือนได้หลุดพ้นจากยุคมืด” พร้อมตำหนิผู้สมัครรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีนิยมว่าเป็นผู้ร่วมมือกับทรูโดในการทำลายประเทศในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน นายจักมีต ซิงห์ ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ใหม่ กล่าววิจารณ์ว่า “ไม่สำคัญว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคเสรีนิยม เพราะพวกเขาทั้งหมดจะทำให้ประชาชนผิดหวัง พรรคเสรีนิยมไม่ควรได้รับโอกาสอีกต่อไป”

การลาออกของทรูโดนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเวทีการเมืองแคนาดา ซึ่งต้องจับตาดูว่าพรรคเสรีนิยมจะสามารถฟื้นตัวและนำพรรคเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไปได้หรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top