Friday, 20 June 2025
ค้นหา พบ 48906 ที่เกี่ยวข้อง

ถ้าจะพัฒนาอุตสาหกรรมใน EEC ได้แบบเต็มกำลัง การเสริมพลังด้วยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเครือข่าย 5G แบบเต็มรูปแบบ คงเป็นเรื่องที่ต้องบิวท์ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง

คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ กพอ.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานผลักดันการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงข่าย 5G ให้เกิดการลงทุนพัฒนาระบบ 5จี ในพื้นที่ EEC ผลักดันให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน

และหน่วยงานภาครัฐใช้เทคโนโลยี 5G ในโรงงานทั้งหมดในพื้นที่เขตส่งเสริม EEC ประมาณ 10,000 แห่ง โรงแรมทั้งหมดใน EEC ประมาณ 300 แห่ง หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่มเอสเอ็มอี

โดยทำโครงการนำร่องพัฒนาระบบ 5G เริ่มตั้งแต่ บริเวณฐานทัพเรือสัตหีบเสริมความมั่นคง สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน เสริมโครงสร้างพื้นฐาน นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเสริมประสิทธิภาพอุตสาหกรรม และอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อให้ชุมชนได้เริ่มทดลองใช้ระบบ 5G

พร้อมเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการข้อมูล ผลักดันให้ภาคเอกชนและภาครัฐ จัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ ในพื้นที่ EEC โดยให้ EECd เป็นจุดติดตั้งศูนย์ข้อมูล (ดาต้า เซ็นเตอร์) พร้อมออกแนวทางและปรับข้อกฎหมายเพื่อนำข้อมูลคลาวด์ภาครัฐ และคลาวด์ภาคเอกชน

เฉพาะข้อมูลที่เปิดเผยได้มาจัดทำข้อมูลกลางเพื่อธุรกิจในอนาคต หรือ คอมมอน ดาต้า เลค เพื่อให้ภาคธุรกิจ และกลุ่มสตาร์ทอัพ นำข้อมูลนี้ไปต่อยอดพัฒนาธุรกิจ เช่น สร้างอี-คอมเมิร์ซ การท่องเที่ยว สาธารณสุข และการแพทย์ และพัฒนาบุคลากรดิจิทัล โดยเน้นผลิตบุคลากรที่มีทักษะตามความต้องการของเอกชน 100,000 คน

อีกทั้งยังรับทราบการขอรับส่งเสริมการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ในช่วง 11 เดือน (ม.ค.- พ.ย. 2563) มีทั้งสิ้น 387 โครงการ มูลค่าลงทุนสูงถึง 1.28 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ 76,000 ล้านบาท

ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และปิโตรเคมี ส่วนในปี 64 คาดว่า ภาพรวมจะมีเงินลงทุนเข้ามาใน EEC ประมาณ 4 แสนล้านบาท ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1 แสนล้านบาท และการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายอีก 3 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเริ่มลงทุนมากในปีหน้า หลังชะลอการลงทุนในปีนี้เพราะเกิดโควิด-19 ระบาด

ถึงแม้ตอนนี้ธุรกิจไทยจะแสดงออกถึงความตื่นตัวเรื่องนวัตกรรมในระดับหนึ่ง แต่จากผลสำรวจของ ‘ไมโครซอฟท์’ กลับพบว่าธุรกิจไทยต้องเร่งเครื่องให้มากกว่าเดิม เพราะรายได้ด้านดิจิทัลของธุรกิจไทยยังตามหลังประเทศผู้นำในภูมิภาคนี้อยู่พอควร

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยจากผลสำรวจ เรื่อง ‘วัฒนธรรมนวัตกรรม-รากฐานสู่การปรับตัวและฟื้นฟูของธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก’ พบว่า ขณะนี้ภาคธุรกิจไทยได้แสดงออกถึงความตื่นตัวเรื่องนวัตกรรมในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

เหตุผลเพราะมีผลสำรวจที่ระบุว่าธุรกิจไทยจะมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลอยู่ที่ 48% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเทียบเท่ากับสัดส่วนรายได้ในปัจจุบันขององค์กรชั้นนำในเอเชียแปซิฟิกนั้น เท่ากับว่าองค์กรไทยในภาพรวมยังตามหลังผู้นำของภูมิภาคนี้อยู่ 3 ปีเต็มนั่นเอง

ธนวัฒน์ เผยอีกว่า “ปัจจุบันนวัตกรรมไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกของธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกองค์กรขาดไม่ได้ โดยสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ทั่วโลกได้กลายเป็นปัจจัยเร่งให้ภาคธุรกิจต้องหันมาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จากเดิมอาจต้องใช้เวลาหลายปี ให้เสร็จสิ้นและพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน ภาคธุรกิจไทยเองได้แสดงออกถึงความตื่นตัวในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

“สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้ภาคธุรกิจไทยเร่งยกระดับการสร้างสรรค์นวัตกรรมภายในองค์กรขึ้น 12% พร้อมวางแผนชัดเจนสำหรับการลงทุนพัฒนาศักยภาพในปีหน้า โดยกว่า 72% ขององค์กรไทยที่เข้าร่วมการสำรวจ มองว่าการสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการฟื้นฟูธุรกิจให้เปลี่ยนแปลง ปรับตัว และกลับมาเติบโตอีกครั้ง ท่ามกลางผลกระทบและแรงกดดันจากการระบาดของโควิด-19 โดยทัศนคติเกี่ยวกับนวัตกรรมในภาคธุรกิจไทยยังคงตามหลังมุมมองขององค์กรระดับแนวหน้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่กว่า 98% เชื่อว่านวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญในการฝ่าสถานการณ์วิกฤต”

19 ธันวาคม พ.ศ. 2423 วันคล้ายวันประสูติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย

วันนี้เป็นสำคัญของกองทัพเรือไทย เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันประสูติของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือ ‘เสด็จเตี่ย’ ผู้ที่ได้รับกล่าวขานว่าเป็น ‘พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย’

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอลำดับที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมารดาคือ เจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2423

ที่มาของการได้รับการถวายสมัญญาจากกองทัพเรือว่าเป็น ‘พระบิดาของกองทัพเรือไทย’ และต่อมาได้แก้ไขเป็น ‘องค์บิดาของทหารเรือไทย’ เนื่องจากพระกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงวางรากฐานและพัฒนาปรับปรุงทหารเรือสยามให้เจริญก้าวหน้าตามแบบประเทศตะวันตก

ส่วนสาเหตุที่นักเรียนนายเรือเรียกพระองค์ว่า ‘เสด็จเตี่ย’ สันนิษฐานว่ามาจากการที่พระองค์ทรงขัดดาดฟ้าให้นักเรียนนายเรือใหม่ๆ ที่ฝึกภาคทางทะเลบนเรือหลวงพาลีรั้งทวีปดูเป็นแบบอย่าง ในปี พ.ศ. 2462 หลังจากที่ทอดพระเนตรเห็นนักเรียนเหล่านั้นทำงานนี้ด้วยท่าทางเงอะงะเก้งก้าง โดยตรัสกับพวกนักเรียนเหล่านั้นว่า “อ้ายลูกชาย มานี่เตี่ยจะสอนให้”

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์  ทรงถือเป็นแบบอย่างของนายทหารเรือที่มีความวิริยะ อุตสาหะ จนได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนพระยศมากขึ้นเป็นลำดับ โดยพระยศสุดท้าย โปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ อันเป็นตำแหน่งสูงสุดในราชการทหารเรือ

 

อ้างอิง: https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_4922

 

รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกาศดีเดย์ 7 มกราคม 64 จดทะเบียนควบรวม TOT-CAT เป็น บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติหรือ NT ชี้ควบรวมช่วยลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในการดำเนินการควบรวมกิจการระหว่างบมจ. ทีโอที (TOT) และ บมจ. กสท โทรคมนาคม (CAT) เป็น บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (National Telecom Public Company Limited :NT)

โดยมีกำหนดวันจดทะเบียนในวันที่ 7 มกราคม 2564 ซึ่งภายหลังการควบรวมสำเร็จ จะส่งผลให้ NT มีโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรมากที่สุด

การควบรวมกิจการในครั้งนี้จะส่งผลทำให้ NT มีโครงข่ายครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดมีคลื่นความถี่โทรศัพท์ ครบทุกระยะ และคุณภาพการใช้งานที่ดีที่สุด ทำให้มีศักยภาพและขีดความสามารถในการให้บริการ ทั้งลูกค้าภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกพื้นที่สำหรับลูกค้าภาครัฐจะได้รับบริการโครงข่ายที่มีความแข็งแกร่งเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่ Thailand 4.0

และยังสามารถช่วยส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ลูกค้าเอกชนทั้งรายใหญ่และ SME ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับบริการโทรคมนาคมที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศเพื่อเข้าถึงโลกดิจิทัล ซึ่งหลังการควบรวม NTจะ มีทรัพยากรโครงข่ายที่เพียบพร้อมสำหรับนำไปต่อยอดมีเสาโทรคมนาคม เคเบิลใต้น้ำ คลื่นความถี่ ท่อร้อยสายใต้ดิน, Fiber Optic, Data center และระบบโทรศัพท์ที่มากขึ้น

“NT จะกลายเป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่มีศักยภาพในการให้บริการโดยเฉพาะเรื่อง 5G และดาวเทียม ทั้งการนำเอาดิจิทัลมาให้บริการภาคการสาธารณสุข การเกษตร และคมนาคม โดย NT จะเป็นผู้รวบรวมบิ๊กดาต้าผ่าน 5G ที่ประมูลได้ ซึ่งจะเริ่มนำมาให้บริการภาคสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนกัน เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ”

ด้าน พันเอกสรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ CAT เปิดเผยว่า การร่วมมือกันของ 2 หน่วยงานนั้น เพื่อพัฒนาบริการที่ยึดประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการควบรวมกิจการฯ ไปสู่การเป็น NT ด้วยจุดแข็งของ CAT ในเรื่องโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำและภาคพื้นดิน จะสนับสนุนการให้บริการด้านโทรคมนาคมและดิจิทัลร่วมกันของทั้งสองหน่วยงานมีเสถียรภาพมากขึ้น

ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาดิจิทัลโซลูชันที่หลากหลายมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีบนโลกออนไลน์ทั้งในภาคธุรกิจและภาคประชาชน

ขณะที่ นายมรกต เธียรมนตรี รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท TOT มั่นใจว่า เมื่อควบรวมทั้ง 2 องค์กรแล้ว NT จะเป็นกลไกของรัฐที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศและประชาชนสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างเข็มแข็ง

ซึ่งทีโอที พร้อมที่จะนำทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นระบบสื่อสัญญาณโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการที่มีความชำนาญในการให้บริการซึ่งมีอยู่ครอบคลุมทั่วประเทศ ตอบสนองความต้องการใช้บริการสื่อสารโทรคมนาคมในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้คนไทยได้ใช้โทรคมนาคมด้านดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ

รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกาศดีเดย์ 7 มกราคม 64 จดทะเบียนควบรวม TOT-CAT เป็น บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติหรือ NT ชี้ควบรวมช่วยลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในการดำเนินการควบรวมกิจการระหว่างบมจ. ทีโอที (TOT) และ บมจ. กสท โทรคมนาคม (CAT) เป็น บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (National Telecom Public Company Limited :NT)

โดยมีกำหนดวันจดทะเบียนในวันที่ 7 มกราคม 2564 ซึ่งภายหลังการควบรวมสำเร็จ จะส่งผลให้ NT มีโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรมากที่สุด

การควบรวมกิจการในครั้งนี้จะส่งผลทำให้ NT มีโครงข่ายครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดมีคลื่นความถี่โทรศัพท์ ครบทุกระยะ และคุณภาพการใช้งานที่ดีที่สุด ทำให้มีศักยภาพและขีดความสามารถในการให้บริการ ทั้งลูกค้าภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกพื้นที่สำหรับลูกค้าภาครัฐจะได้รับบริการโครงข่ายที่มีความแข็งแกร่งเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่ Thailand 4.0

และยังสามารถช่วยส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ลูกค้าเอกชนทั้งรายใหญ่และ SME ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับบริการโทรคมนาคมที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศเพื่อเข้าถึงโลกดิจิทัล ซึ่งหลังการควบรวม NTจะ มีทรัพยากรโครงข่ายที่เพียบพร้อมสำหรับนำไปต่อยอดมีเสาโทรคมนาคม เคเบิลใต้น้ำ คลื่นความถี่ ท่อร้อยสายใต้ดิน, Fiber Optic, Data center และระบบโทรศัพท์ที่มากขึ้น

“NT จะกลายเป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่มีศักยภาพในการให้บริการโดยเฉพาะเรื่อง 5G และดาวเทียม ทั้งการนำเอาดิจิทัลมาให้บริการภาคการสาธารณสุข การเกษตร และคมนาคม โดย NT จะเป็นผู้รวบรวมบิ๊กดาต้าผ่าน 5G ที่ประมูลได้ ซึ่งจะเริ่มนำมาให้บริการภาคสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนกัน เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ”

ด้าน พันเอกสรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ CAT เปิดเผยว่า การร่วมมือกันของ 2 หน่วยงานนั้น เพื่อพัฒนาบริการที่ยึดประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการควบรวมกิจการฯ ไปสู่การเป็น NT ด้วยจุดแข็งของ CAT ในเรื่องโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำและภาคพื้นดิน จะสนับสนุนการให้บริการด้านโทรคมนาคมและดิจิทัลร่วมกันของทั้งสองหน่วยงานมีเสถียรภาพมากขึ้น

ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาดิจิทัลโซลูชันที่หลากหลายมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีบนโลกออนไลน์ทั้งในภาคธุรกิจและภาคประชาชน

ขณะที่ นายมรกต เธียรมนตรี รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท TOT มั่นใจว่า เมื่อควบรวมทั้ง 2 องค์กรแล้ว NT จะเป็นกลไกของรัฐที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศและประชาชนสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างเข็มแข็ง

ซึ่งทีโอที พร้อมที่จะนำทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นระบบสื่อสัญญาณโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการที่มีความชำนาญในการให้บริการซึ่งมีอยู่ครอบคลุมทั่วประเทศ ตอบสนองความต้องการใช้บริการสื่อสารโทรคมนาคมในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้คนไทยได้ใช้โทรคมนาคมด้านดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top