Sunday, 18 May 2025
ค้นหา พบ 48181 ที่เกี่ยวข้อง

'สภาอุตฯ' เผย!! ตัวเลขเดือนมกราคม 67 ยอดผลิตรถ EV พุ่ง 9,000% ยอดขายในตลาดเติบโต 200% มี EV ไหลวนบนถนนแล้ว 1.48 แสนคัน

(23 ก.พ. 67) เริ่มต้นเดือนแรกของปีด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของยานยนต์ไฟฟ้า เมื่อกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เผยแพร่รายงานจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนมกราคม 2567

โดยยอดผลิต EV พุ่งกระฉูด อาทิ ในส่วนของรถยนต์นั่ง เดือนมกราคม 2567 ผลิตได้ 52,509 คัน ลดลง -7.27% จากเดือนมกราคม 2566 โดยตัวเลขการผลิต EV พุ่งกระฉูดเกือบหนึ่งหมื่นเปอร์เซ็นต์จากการเริ่มตั้งโรงงานผลิตต่าง ๆ ของค่ายรถโดยเฉพาะแบรนด์จีน ซึ่งการผลิตจะต้องเพิ่มมากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อนโยบาย EV 3.5 ดังนี้...

-สันดาป (ICE) 32,655 คัน ลดลง -28.95% จากเดือนมกราคม 2566
-แบตเตอรี่ (BEV) 652 คัน เพิ่มขึ้น +9,214.29% จากเดือนมกราคม 2566 
-ไฮบริด (HEV) 18,801 คัน เพิ่มขึ้น +94.63% จากเดือนมกราคม 2566
-ปลั๊กอิน (PHEV) 401 คัน ลดลง -59.70% จากเดือนมกราคม 2566

ด้านยอดขาย EV เริ่มท้าทายตลาด โดยเมื่อเทียบสัดส่วนเดือนมกราคมปีก่อนกับปีนี้ จะเห็นได้ว่า ปีที่แล้ว ICE ครองตลาด 30% ส่วน BEV และ HEV ยังมีตัวเลขอยู่ในหลักหน่วย แต่ปีนี้ การเติบโตของอีวีที่มีหลายเจ้าเข้าตลาดไทยมา ทำให้ยอดขาย BEV เติบโตในระดับ 200% ดังนี้...

-สันดาป (ICE) 14,373 คัน สัดส่วน 26.22 ของยอดขายทั้งหมด ลดลง -32.81%
-แบตเตอรี่ (BEV) 9,763 คัน สัดส่วน 17.81 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น +205.48%
-ไฮบริด (HEV) 10,130 คัน สัดส่วน 18.48 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น +71.52%
-ปลั๊กอิน (PHEV) 98 คัน สัดส่วน 0.18 ของยอดขายทั้งหมด ลดลง -67.66%

ส่วนยอด EV สะสมนั้น BEV ยังคงเป็นดาวเด่น ดังนี้...

- แบตเตอรี่ (BEV) มีจำนวนทั้งสิ้น 147,743 คัน เพิ่มขึ้น +301.75% จากปีก่อน
- ไฮบริด (HEV) มีจำนวนทั้งสิ้น 357,645 คัน เพิ่มขึ้น +33.75% จากปีก่อน
- ปลั๊กอิน (PHEV) มีจำนวนทั้งสิ้น 54,907 คัน เพิ่มขึ้น + 26.63 จากปีก่อน

‘ลอรี่’ ชี้!! ‘สส.อัครเดช’ อภิปรายตามกฎ-กรอบเวลา ซัด!! ‘รองอ๋อง’ เจตนาตัดบท-ขัดขวาง-ละเมิดสิทธิ์ชัดเจน

(23 ก.พ. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ ลอรี่ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า เหตุการณ์ในวันประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ กรณีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ใช้อำนาจแทรกตัดบทไม่ให้นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติอภิปรายลงรายละเอียด ระหว่างตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดระเบียบสายไฟฟ้า และสายสื่อสาร และการบริหาร การจัดการไฟฟ้าส่องสว่างอย่างทั่วถึง ทั้งที่กำลังอภิปรายตามกรอบเวลา ถูกต้องตามข้อบังคับ ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ถูกต้องและไม่เคยมีประธานในที่ประชุมคนใดเคยทำมาก่อนในประวัติศาสตร์

นายพงศ์พล กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ส่อเข้าข่ายผิดข้อบังคับการประชุมข้อ 9 วรรค 1 ที่ระบุไว้ชัดว่าประธานฯ ต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ แต่นายปดิพัทธ์กลับใช้อำนาจกลั่นแกล้งปิดปาก อ้างผู้อภิปรายพูดร่ายยาวซ้ำซาก

“เท่าที่ผมเปิดเทปฟังการอภิปรายย้อนหลัง นายอัครเดชอภิปรายย้ำถึงการนำสายไฟสื่อสารลงใต้ดินประหยัดงบประมาณได้หลายสิบล้านพูดตัวเลข 70-80 ล้านบาทไม่กี่ครั้ง เพราะเป็นตัวเลขสำคัญชี้ให้ประชาชนเห็นถึงการประหยัดงบประมาณของรัฐได้จำนวนมาก ขณะนั้นผู้อภิปรายใช้เวลาไปยังไม่ถึง 10 นาที จากสิทธิอภิปรายเต็ม 15 นาที ถูกหลักเกณฑ์ทุกอย่าง แต่ไม่เข้าใจเหตุใดประธานที่ประชุมจึงใช้อำนาจตัดบทเช่นนี้” นายพงศ์พล กล่าว

รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ตำแหน่งประธานที่ประชุม คือ ผู้อำนวยการเอื้อการประชุมให้ราบรื่น (moderater) ไม่มีอำนาจมาออกความเห็นแทรกแซงเนื้อหาของผู้อภิปราย หรือเซนเซอร์นู่นนี่ หรือคิดแทนแต่อย่างใด ส่วนตัวแนะนำว่า ถึงจะมีเรื่องติดใจส่วนตัวกับนายอัครเดชมาก่อนจากการอภิปรายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ไม่ควรนำอารมณ์ส่วนตัวมาลงตรงนี้ เพราะทำให้สภาฯ สูญเสียความน่าเชื่อถือ และประชาชนถูกปิดกั้นจากการได้รับข้อมูลรอบด้านทั้ง 2 ฝ่าย

“เมื่อมานั่งเก้าอี้ประธานสภาฯ แล้ว จงวางหมวกนักการเมืองทิ้งไว้นอกห้องประชุม แล้วจงวางตัวทำหน้าที่ให้เป็นกลาง ถ้าทำไม่ได้ลงไปนั่งข้างล่าง แล้วให้คนมีวุฒิภาวะดีกว่าขึ้นมาทำแทนดีกว่า” รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

‘อ.พงษ์ภาณุ’ เปิดมุมมอง ‘หนี้สาธารณะ’ กับการพัฒนาประเทศ ข้อดี ‘ก่อหนี้-กู้ยืม’ สร้างแรงส่งสู่การลงทุน เพื่ออนาคตเศรษฐกิจ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'หนี้สาธารณะกับการพัฒนาประเทศ' เมื่อวันที่ 25 ก.พ.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า…

หลังการแพร่ระบาดของโควิด ประเทศหลายประเทศ ทั้งประเทศร่ำรวยและประเทศกำลังพัฒนา ต่างก็มีระดับหนี้สาธารณะสูงขึ้นมาก และเมื่อธนาคารกลางปรับดอกเบี้ยสูงขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หนี้สาธารณะจึงเริ่มเป็นปัญหาและในบางประเทศเข้าขั้นวิกฤต เช่น สหรัฐอเมริกาเริ่มมีปัญหาเพดานหนี้จนอาจถึงขั้นรัฐบาลปิดดำเนินการ (Government Shutdown) จีนมีปัญหาหนี้รุนแรงในระดับรัฐบาลท้องถิ่นจนรัฐบาลกลางต้องเข้าไปอุ้ม ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขหนี้ตามสนธิสัญญา Maastricht ได้

แม้ว่าในบางครั้งหนี้อาจเป็นปัญหาและก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้ก็ตาม แต่หนี้โดยตัวเองไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายที่จะต้องหวาดกลัวเสมอไป การก่อหนี้หรือการกู้ยืมมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้เกิดการลงทุนเพื่อสร้างผลผลิตเพื่อการบริโภคในอนาคตแทนที่จะบริโภคหมดไปในปัจจุบัน ตลาดและสถาบันการเงินมีหน้าที่หลักในการระดมทุนจากผู้ออมและจัดสรรทุนในรูปหนี้หรือทุนไปยังกิจกรรม/โครงการที่นำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ระดับประเทศก็เช่นกัน การก่อหนี้สาธารณะมีจุดประสงค์เพื่อให้รัฐบาลมีทรัพยากรเสริมจากรายได้ภาษีอากร เพื่อจัดให้มีบริการที่จำเป็นต่อประชาชนและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

ยิ่งถ้าเป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรที่จะระดมมาใช้ในการพัฒนาประเทศ อาจมีความจำเป็นต้องอาศัยเงินทุนจากภายนอกเข้ามาเสริมเงินออมในประเทศ ระเบียบโลกจึงได้กำหนดให้มีโครงสร้างทางตลาดและสถาบันที่เอื้อต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนข้ามพรมแดนไปยังที่ที่มีความต้องการใช้เงินทุนนั้น

แต่ก็มีบุคคลบางกลุ่มพยายามบิดเบือนและสร้างความสับสนวุ่นวายขึ้นมาในสังคมไทยอยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะกับข่าวแผนการออกพันธบัตรในต่างประเทศ ว่าเป็นการเปิดประตูเมืองชักศึกเข้าบ้าน ซึ่งจะนำไปสู่หายนะทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีอคติอย่างรุนแรงต่อกลไกตลาดการเงินระหว่างประเทศ

ประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนา ได้รับประโยชน์มหาศาลจากตลาดการเงินโลก เช่นเดียวกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงออกพันธบัตรรัฐบาลไทยในตลาดโลกครั้งแรก ที่ตลาดลอนดอน เมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว เพื่อก่อสร้างทางรถไฟสายแรกของประเทศไทย โครงสร้างพื้นฐานของประเทศสำคัญ ๆ ล้วนใช้เงินกู้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศทั้งนั้น อาทิเช่น ทางหลวงแผ่นดิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เป็นต้น รัฐบาลประยุทธ์ก็กู้เงินเป็นเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก หากไม่มีแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศ ประเทศไทยคงไม่มีโอกาสพัฒนาเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางเช่นทุกวันนี้

ประเทศไทยมีระบบบริหารจัดการหนี้สาธารณะที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก กฎหมายการเงินการคลังของไทยวางโครงสร้างและสถาบันภาครัฐเพื่อสร้างหลักประกันแห่งวินัยการเงินการคลังที่เหมาะสม และรัฐบาลไทยก็ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเสมอมา 

วันนี้หนี้สาธารณะของประเทศอยู่ในระดับปลอดภัยและมีองค์ประกอบที่เหมาะสม ทุนสำรองระหว่างประเทศมีความมั่นคง ประเทศไทยมี Credit Rating ในระดับ Investment Grade เสมอมา

ดังนั้น การออกพันธบัตรรัฐบาลในตลาดต่างประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาสร้างความตระหนกตกใจในสังคมไทย ในทางตรงกันข้าม ทำนองเดียวกับการออกพันธบัตรเพื่อสร้าง Yield Curve ของตลาดตราสารหนี้ในประเทศ แผนการออกพันธบัตรในตลาดต่างประเทศดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของประเทศในสายตานักลงทุนระดับโลก และสร้างตลาดอ้างอิง (Benchmark) ให้กับตราสารหนี้ของภาคเอกชนที่จะพึงมีในอนาคตหากจำเป็น

ปรับทัศนคติเรื่องการเงิน กับ 'โจ มณฑานี ตันติสุข' 'วินัย' ที่สร้างได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้วิกฤตมาเยือน

กลายเป็นประเด็นโด่งดัง ภายหลังจากกระแสข่าวที่ คุณโจ มณฑานี ตันติสุข ดีเจ พิธีกร นักวิจารณ์ นักเขียนและวิทยากรชื่อดัง ได้รีวิวการใช้เงินเดือนละ 15,000 บาท อย่างไรใน กทม. แบบชีวิตดี๊ดี จนทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันในสังคมตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าเป็นจริงหรือไม่?

วันนี้รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอในประเด็นนี้ พร้อม ๆ ไปกับมุมมองชวนคิดที่จะชวนคนไทยได้ตระหนักถึงการใช้และบริหารการเงินในแบบที่ทุกคนสามารถอยู่ได้อย่างไม่ทุกข์ และสุขได้ในยุคที่เงินในกระเป๋าบางคนอาจจะไม่ได้แน่นฟูก็ตาม

โดย THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้เปิดบทสนทนา ด้วยการซักถามถึงจุดเริ่มต้นที่คุณโจได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เรื่องการเงิน ซึ่ง เธอ ได้เล่าให้ฟังว่า...

จุดเริ่มต้นสำคัญมาจากชีวิตในช่วงวิกฤตการเงินต้มยำกุ้ง โดยสาเหตุเกิดจากเป็นคนไม่มีความรู้เรื่องการเงิน เมื่อเกิดวิกฤตแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร อีกทั้งยังปิดใจไม่ยอมรับว่าตัวเองประสบปัญหาการเงิน จนภายหลังก็เข้าใจว่า สาเหตุของวิกฤตการเงินของตนเกิดจากการใช้จ่ายเงินผิดพลาดนั่นเอง

ดังนั้น คุณโจ จึงหันมาศึกษาเรียนรู้เรื่องการเงินจากอินเทอร์เน็ต จากหนังสือ และงานสัมมนาต่าง ๆ อย่างจริงจัง ทำให้ทราบว่าตัวเองมีปัญหาทางจิตวิทยาการเงิน ภายใต้ตัวแปรที่เรียกว่า 'คนเลี่ยงเงิน' 

คุณโจ เล่าต่อว่า 'คนเลี่ยงเงิน' ในที่นี้ คือ ไม่ใส่ใจในรายละเอียดว่าเราใช้เงินไปกับอะไร ใบแจ้งหนี้ส่งมาก็ไม่สนใจ ทำให้จ่ายหนี้ช้าตลอด จนถูกตัดน้ำตัดไฟเป็นประจำ 

การหลีกเลี่ยง ทำให้ไม่รู้สถานการณ์การเงินของตัวเอง จนนำพาชีวิตคุณโจไปสู่ความยากลำบากที่สุด ถึงขั้น บ้านโดนยึด ไม่มีทรัพย์สินใด ๆ ติดตัว นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่คุณโจ อยากนำประสบการณ์ตรงมาถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ โดยให้คำแนะนำผู้คนผ่านทางเฟซบุ๊ก เพื่อตั้งใจให้ทุกคนหลุดพ้นจากปัญหาการเงิน ซึ่งกล้าพูดเต็มปากเลยว่า 'มีแต่ความทุกข์ทรมาน'

เมื่อถามว่า อะไร คือ สัญญาณอันตรายทางการเงิน? คุณโจ กล่าวว่า เมื่อคุณเริ่มหมุนเงินไม่ทัน หรือเงินอยู่กับเราได้ไม่นาน เงินชักหน้าไม่ถึงหลังและเริ่มยืมเงินจากคนรอบข้างมากขึ้น จนกลายเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวเมื่อไร... สุดท้ายคุณจะกลายเป็นคนล้มละลาย ฉะนั้นหากเริ่มมีสัญญาณเตือนเหล่านี้เข้ามา ต้องรีบแก้ไขปัญหาโดยด่วน แต่อยากให้กำลังใจว่าไม่ว่าจะล้มตอนอายุเท่าไหร่ ล้มแล้วลุกได้เสมอ การล้มละลายไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิตต่างหาก

เมื่อถามถึงนิยามในการบริหารจัดการการเงินที่ดีต้องทำอย่างไร? คุณโจ กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ที่ มุมมอง หรือ Mindset ทางการเงินของแต่ละคน ถ้าอยากมีเงิน แต่ไม่หารายได้ ไม่ตั้งใจทำงาน จะใช้ช่องทางกู้หนี้ยืมสินเพียงอย่างเดียว แน่นอนย่อมเป็นหนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลับกันถ้าเรามีเงิน แต่ไม่มีวินัยทางการเงิน เช่น ไม่มีการบันทึกการใช้เงินในแต่ละวันหรือไม่ แบบนี้ก็อาจจะทำให้สุขภาพทางการเงินย่ำแย่ได้ในระยะยาว

เมื่อถามว่า ทุกวันนี้ปัญหาหนี้บัตรเครดิตเป็นปัญหาใหญ่มาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะไปบังคับให้ผู้คนเลิกใช้? คุณโจ กล่าวว่า ถ้าต้องใช้ ก็อยากให้ปรับ Mindset ใหม่ เช่น คุณต้องเข้าใจว่า การจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต เป็นมุมมองความคิดที่ทำลายตัวเอง ซึ่งถ้าไม่เปลี่ยนความคิดนี้ก็อาจจะทำให้คุณเป็นหนี้ไปเรื่อย ๆ และนั่นจะทำให้ปัญหาทางการเงินด้านอื่น ๆ ตามมา ควรซื้อเมื่อพร้อม

ขณะเดียวกันการหยุดก่อหนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นก้าวแรก เพื่อควบคุมหนี้ที่สร้างไว้ก่อน เพราะถ้าไม่หยุดหนี้มันก็มีโอกาสขยายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องเข้ากระบวนการควบคุมพฤติกรรม (ในต่างประเทศมีโครงการในลักษณะนี้) และต้องรู้สถานการณ์ตัวเองว่าตอนนี้มีหนี้อะไรค้างอยู่บ้าง มีดอกเบี้ยเท่าไหร่ หนี้คงค้างเท่าไหร่ เงินต้นคงค้างเท่าไหร่ ถึงจะบริหารได้ 

ยิ่งไปกว่านั้น Mindset ในการใช้เงินก็สำคัญ อย่าปล่อยให้จิตใจเราถูกผลักด้วย Need หรือ Want ลองปรับวิธีคิด ซื้อแต่ของจำเป็น ก่อนของที่อยากได้เสมอ ซึ่งการใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งใด ก็จะสะท้อนว่าเราให้ความสำคัญกับสิ่งนั้น ๆ ด้วยเช่นกัน อาทิ ใช้เงินไปกับคนรักมาก ๆ แสดงว่าเราอยากได้ความรัก เป็นต้น

สรุปแล้วทั้งการจัดการและขจัดปัญหาทางด้านการเงิน ล้วนแล้วแต่ต้องแก้ที่ Mindset ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ถือเป็นเรื่องยาก โดยคุณโจมองว่า คนที่มักจะมีวินัยการเงินได้ดี มักจะประสบวิกฤตมาก่อน แต่ขณะเดียวกันทุกคนก็สามารถสร้างวินัยการเงินได้ตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องรอให้วิกฤตมาเยือนได้ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้เมื่อถามว่าควรเริ่มสร้างวินัยทางการเงินตั้งแต่เมื่อไร? คุณโจ แนะว่า ควรเริ่มตั้งแต่วัยประถมเลย เพราะเด็ก ๆ จะได้รู้คุณค่าของเงิน รักเงิน มี Mindset เชิงบวกกับเงิน เมื่อเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีความแข็งแรงทางการเงิน และมีสันติสุขทางการเงิน

สำหรับปัญหาหนี้บัตรเครดิตนั้น โจ มณฑานี กล่าวว่า Mindset การจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต เป็นมุมองความคิดที่ทำลายตัวเอง ซึ่งถ้าไม่เปลี่ยนความคิดนี้ก็อาจจะเป็นหนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งการเป็นหนี้ในต่างประเทศ เขาจะให้ลูกหนี้เข้ามาเซ็นเพื่อหยุดก่อหนี้ก่อนเข้าร่วมโครงการ ซึ่งการหยุดก่อหนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นก้าวแรก เพื่อควบคุมหนี้ที่สร้างไว้ก่อน เพราะถ้าไม่หยุดหนี้มันก็มีโอกาสขยายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องเข้ากระบวนการควบคุมพฤติกรรม และต้องรู้สถานการณ์ตัวเองว่าตอนนี้มีหนี้อะไรค้างอยู่บ้าง มีดอกเบี้ยเท่าไหร่ หนี้คงค้างเท่าไหร่ เงินต้นคงค้างเท่าไหร่ ถึงจะบริหารได้ โดยเฉพาะ Mindset การใช้เงินว่าจิตใจเราถูกผลักด้วยอะไร need หรือ want ซื้อของจำเป็น หรือซื้อของที่ฉันอยากได้ เราต้องเลือกซื้อของจำเป็นก่อนอยากได้เสมอ ซึ่งการใช้จ่ายเงินไปกับอะไรแสดงว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องนั้น เช่น ใช้เงินไปกับคนรักมาก ๆ แสดงว่าเราอยากได้ความรัก เป็นต้น 

เมื่อถามถึงประเด็นที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในตอนนี้ กับหัวข้อ 'เงินเดือนละ 15,000 บาท ใช้ในเมืองหลวงได้พอจริงหรือไม่?' คุณโจ มองว่า จริง ๆ แล้วอยู่ที่คุณภาพชีวิตที่เราเลือก และคำว่าคุณภาพชีวิตที่ดีของแต่ละคนก็แตกต่างกัน อย่างตนเลือกใช้คุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านการปลดหนี้ การมีเงินออมเกษียณ ไม่ต้องรอหมายศาลว่าจะมาเมื่อไหร่ ได้กินของอร่อย ซึ่งพี่กินไข่ต้มราดน้ำปลาพริกก็อร่อยแล้ว เคยกินน้ำก๊อกมาแล้วในช่วงที่ยากลำบาก แต่ก็มีความสุขมากเพราะเปลี่ยนตัวเองแล้วและรู้ว่าจากนี้ไปจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม 

ในช่วงท้าย คุณโจ ได้กล่าวด้วยว่า "วิกฤตชีวิตที่เกิดขึ้นช่วยลอกเปลือกของเราออกเหลือแต่แก่นของตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งความพอเพียง เป็นกุญแจไปสู่สันติสุขทางการเงิน อย่างทุกวันนี้ก็มีความสุขกับการเขียนหนังสือเล่มใหม่ ๆ หลายเล่ม และที่กำลังจะจัดจำหน่าย คือ เรื่อง 'เด็กๆ ที่ร่ำรวยและมีความสุข' เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้อ่านและนำไปสอนลูก ๆ เกี่ยวกับการเงินได้"

ปัจจุบัน คุณโจ ยังคงเป็นวิทยากรให้กับหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย พร้อมให้คำปรึกษาทางการเงิน ผ่านทางเฟซบุ๊ก 'Montaneemoney' ท่านใดสนใจก็สามารถติดตามกันได้ตามลิงก์นี้ >> https://www.facebook.com/montaneemoney?mibextid=ZbWKwL

ผลงานจาก 'ลุงตู่' ถึง 'พีระพันธุ์' พากระแสมวลชนคนไทยตีกลับ ความเจริญที่ผู้คนเริ่มโจษขาน อาจดับฝัน 'ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน'

(23 ก.พ. 67) จากช่องติ๊กต็อก @fhakram.chavit หรือ ‘คุณฟ้าคราม’ โพสต์คลิปวิดีโอแสดงความคิดเห็นต่อผลงานของ ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ที่ท่านได้ทำมาโดยตลอดระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรี ในมุมที่หลายคนอาจจะไม่รู้ข้อมูลมาก่อน ก่อนถึง ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ และคนอื่น ๆ ที่สามารถสานต่อโครงการเหล่านี้ได้ในอนาคต โดยระบุว่า…

ที่บอกว่าก้าวไกลทั้งแผ่นดินเนี่ย…ไม่ต้องไปกลัวหรอก ยังไงสีเหลืองก็ชนะ ซึ่งทุกคนจะไปกลัวอะไร ก็ในเมื่อขนาดช่วง ‘พิธาฟีเวอร์’ ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เลย และนับภาษาอะไรกับตอนนี้ ส่วนอันต่อมาคือช่วงก่อนนี้ ‘สีเหลือง’ ยังเป็น ‘พลังเงียบ’ อยู่เลย แต่ขอโทษนะพิธาฟีเวอร์ก็สู้ ‘ลุงตู่องคมนตรีฟีเวอร์’ ไม่ได้

แล้วเพิ่งช่วงหลังเลือกตั้งนี่เอง ที่ประชาชนเพิ่งรู้ในเรื่องของม.112 เกี่ยวกับเยาวชนทะลุวังหรือใครคิดยังไงกับสถาบัน เพราะฉะนั้นสถานการณ์ต่างกันมาก ต่อมาประเทศไทยเราเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่ากัน สังคมอย่าไปให้ค่าเจเนอเรชันใหม่จนเยอะลิมิต เพราะวัยรุ่นที่ดีและสง่างามจริง ๆ ในหัวใจควรจะเป็นคนที่นอบน้อมกับผู้ใหญ่ รวมถึงเรื่องสถาบันด้วย เพราะว่าวัยรุ่นต้องมีความสํานึกรู้คุณกตัญญูกตเวทีในหัวใจ มันถึงจะสง่างาม และตอนนี้อินฟลูเอนเซอร์ฝั่งเหลืองเยอะมากและเยอะที่สุดแล้ว

นอกจากนี้ เดี๋ยวนี้เขายังมีการจัดโพลกันแบบกลัว ‘ท่านพีระพันธุ์’ กันแล้วนะ ถ้าเขาไม่กลัวเขาไม่ขัดขาหรอก อย่างโพลของ Line Today ที่ได้สร้างผลสำรวจคะแนนความนิยมของนักการเมืองที่คุณชื่นชอบ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ซึ่งคุณรู้ไหมว่าโพลนี้มีนักการเมืองแทบทุกคนเลยนะ อย่างอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร, พิธา, เศรษฐา, หมอชลน่าน, รัชนก ศรีนอก หรือ รังสิมันต์ โรม ก็มา แต่กลับไม่มีท่านพีระพันธุ์ โอ้โห…กลัวอะไรขนาดนั้นใจเย็น ๆ 

ถัดมายังมีอีกโพลกับหัวข้อ ‘ถ้าท่านต้องเลือกตั้งวันนี้จะเลือกพรรคใด’ ซึ่งมีให้ 2 พรรค ก็คือ เพื่อไทยและก้าวไกล แต่ของเพื่อไทยมีรูปอิโมจิหน้าตกใจประกอบ แต่ถ้าเป็นก้าวไกลก็เป็นหัวใจแทน และก็ไม่มีพรรครวมไทยสร้างชาติเช่นเดิม ก็คิดดูว่าจัดโพลแบบกลัวอะไร? 

ซึ่งอย่างที่เคยบอกไปว่าสามกีบหลาย ๆ คนเนี่ยไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วก็ชอบบอกว่าส้มทั้งแผ่นดินอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ต้องอะไรมากหรอก ความจริงคือความจริง ความดีคือความดี เดี๋ยวผู้คนเขาก็จะเห็นเอง อย่างเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ก็ต่างผุดผลงานลุงตู่ออกมาเพียบ แล้วผู้คนก็จะได้เห็นผลงานลุงตู่ที่ทะลุมิติ ทะลุมัลติเวิร์ส เรียกได้ว่าเป็น S Curve ของเมืองไทยเลยก็ได้

เพราะที่ผ่านมาลุงตู่ได้สร้าง EEC : Eastern Economic Corridor ที่มีรถไฟฟ้าตัดผ่าน 3 สนามบินอย่าง ดอนเมือง, สุวรรณภูมิ แล้วก็ไปถึงอู่ตะเภาด้วย แล้วก็มีการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเพื่อรองรับเป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่ 3 ของประเทศไทย โดยทั้งหมดนี้สร้างมา 5 ปีแล้ว ซึ่งเสร็จปี 70 ซึ่งก็อีกแค่ 3 ปีเท่านั้น จากสนามบินดอนเมือง-บางอู่ตะเภา ใช้เวลาไม่ถึง 60 นาที โคตรสุดยอด นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องนั่นก็คือ ‘วังจันทร์วัลเลย์’ ที่กําลังจะยกระดับประเทศไทยของเราให้เป็น Smart City ซึ่งมันสุดยอดมาก มันคือ Smart Innovative แพลตฟอร์มดี ๆ นี่เอง และยังเป็นเมืองต้นแบบอัจฉริยะทางเทคโนโลยี ซึ่งในนั้นมีเรื่องของการวิจัย การพัฒนา การทดลอง พลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก หรือเกี่ยวกับเรื่องของหุ่นยนต์ (Robotics) ต่าง ๆ อย่างด้าน AI และยังสามารถรองรับกลุ่มผู้สูงอายุในการใช้เทคโนโลยีทําให้การเป็นอยู่ของผู้สูงอายุสบายขึ้น

อีกเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ เรื่องของการวิจัยพัฒนาอีวี เกี่ยวกับเรื่องของรถอีวี แบตเตอรี่ และมีโรงเรียนที่น่าเข้าไปมาก ๆ อย่าง ‘โรงเรียนกำเนิดวิทย์’ (kvis) ซึ่งเป็นโรงเรียนเกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยี โดยจะได้เรียนเกี่ยวกับพลังงานสะอาด เอไอ หุ่นยนต์ ทั้งนี้ EEC และ วังจันทร์วัลเลย์ ที่อยู่ในนั้น อยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของลุงตู่

กลับมาเรื่องรถไฟฟ้า 10 กว่าสายในกรุงเทพมหานคร และภาคอีสานความเจริญสุด ๆ กําลังจะไปถึงแล้ว เพราะลุงตู่ทําให้รถไฟฟ้าความเร็วสูงลากไปตั้งแต่ดอนเมือง สระบุรี อยุธยา อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย ส่วนภาคเหนือรถไฟฟ้าไปตั้งแต่ ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ศรีสัชนาลัย ลําปาง ลําพูน เชียงใหม่ ส่วนสายใต้ฝั่งท่องเที่ยวก็จะมี นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี หัวหิน ประจวบ ชุมพร สุราษฎร์ พัทลุง หาดใหญ่ นครศรีธรรมราช เยอะแยะไปหมด

นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมท่าเรือแหลมฉบังมาบตาพุด ท่าเรือน้ำลึก ให้ไทยเราเป็นจุดศูนย์กลางแห่งการส่งออกของโลก ซึ่งสิ่งที่เราจะได้ก็คือการเกิดงานและเงินให้กับลูกหลานของเราที่ต้องออกไปทํามาหากิน สร้างเนื้อสร้างตัว และก็มีรายได้ต่อหัวที่สูงมากขึ้น รวมทั้งผู้สูงอายุจะใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น เพราะจะใช้เทคโนโลยีนี้ผ่านการควบคุมจากสมาร์ทโฟนได้ และจะมีรายได้เข้าประเทศมหาศาล…ซึ่ง ‘แลนด์บริดจ์’ จะดูเล็กไปเลย เพราะว่าไทยกําลังจะเป็น Spider Web ซึ่งก็คือใยแมงมุมของด้านการคมนาคม ที่เชื่อมโยงกันทั่วทั้งประเทศ จนทะลุไปถึงประเทศจีน ทั้งนี้ EEC ได้เสร็จไปแล้วเฟสแรก มีเงินเข้ากระเป๋าประเทศไปแล้ว 80- 90%

ทั้งนี้ ในวังจันทร์วัลเลย์ พัฒนากลุ่มอวกาศ มีดาวเทียมดวงแรกของประเทศไทยซึ่งก็คือ THEOS 2 ซึ่งคุณเศรษฐาก็ออกมาพูดว่าไทยเราจะเป็นจุดศูนย์กลางของโลก แล้วก็ตื่นเต้นมากเกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาอีวี หรือภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจริง ๆ มันเจริญมามากแล้วคุณเศรษฐาก็รู้ แต่เป็นผลงานลุงตู่นะ คุณต้องให้เครดิตมาก ๆ หน่อย แล้วก็ค่อย ๆ สานต่อไป ซึ่งไม่สานต่อไม่ได้เพราะมันอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี…

นอกจากนี้ยังมี โครงการเรื่องเครื่องกําเนิดแสง, เมืองนวัตกรรมอาหาร, เมืองนวัตกรรมการบินและอวกาศ, การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อชุมชน, มีเงินสํารอง, มีทองสํารอง, แอปกระเป๋าตังค์ที่เยียวยาฟื้นฟูในช่วงโควิด-19 เป็นต้น และด้วยทั้งหมดนี่คือการหาเงินเข้าประเทศอย่างแท้จริง รวมถึงในอนาคตที่กำลังจะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในด้านการคมนาคมและการท่องเที่ยวของโลก 

แต่ต่างจากนโยบายของพรรคก้าวไกล ซึ่งเรือธงของเขาก็คือ ‘รัฐสวัสดิการ’ ตั้งแต่เกิดยันเสียชีวิต คำถามคือ เอาเงินมาจากไหน? ต้องกู้ไหม? แค่เงินของผู้สูงอายุก็หลายแสนล้านแล้ว และจะให้จะแจกตั้งแต่เกิดยันเสียชีวิตเลยเหรอ ฟังดูแล้วมันก็เคลิ้ม ๆ นะ แต่ว่าประเทศพังแน่…แล้วหาเงินเข้าประเทศยังไง จะไปตัดรถตัดทอนความมั่นคงก็ระวังประเทศมันจะพังเอา และจะมาแก้ไขม. 112 อีก ซึ่งไม่ได้เลยนะ เพราะความมั่นคงของใครที่เขามาลงทุน ก็เพราะพระมหากษัตริย์ ทําให้ไทยเรามีความมั่นคง ไม่โดนแทรกแซงจากต่างชาติ 

ดังนั้น อย่าไปโดนใครกล่อมเรื่องประชาธิปไตย มันไม่ได้ดีไปซะทั้งหมดทุกอย่าง มันพังกันมาแล้วก็หลายประเทศ อย่าปล่อยให้ประชาธิปไตยมันครอบงําสมองเราขนาดนั้น ดูที่ข้อเท็จจริงและความเป็นจริง ว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นคนทําจริงเราเห็นอยู่ดี เขาไม่ได้คิดแต่พูด แต่เขาจะทําให้เราเห็น…

ต่อมาคําถาม ‘ถ้าดีขนาดนี้แล้วทําไมคนไม่เลือก?’ สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมด คุณคิดว่ามีคนรู้เรื่องแบบผมสักกี่คน ซึ่งหลาย ๆ คนไม่รู้เรื่องนี้เลย ดังนั้นคุณไม่ควรถามผมเลยนะว่าทําไมดีแล้วคนไม่เลือก ซึ่งคําตอบมันมีอยู่แล้ว ก็ถ้ามันดีแล้วคุณไม่เลือกก็แปลว่าคุณ (โดนหลอกแล้ว) … ซึ่งอาจจะไม่มากนัก แต่เปลี่ยนใจกันได้ไม่เป็นไร หลงผิดไปยินดีกลับมาสู้ด้วยกันใหม่ ยินดีเสมอ…

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้การใช้ชีวิตก็ดีขึ้น เพราะมีคมนาคมที่ทำให้เราเดินทางไปทำงานสะดวก จึงอยากให้ทุกคนลองปรับตัวกันบ้าง ไปทำงานกันบ้าง หรือใครที่รู้สึกว่าปรับตัวในโลกดิจิทัลมันยากและปรับไม่ทัน อันนี้ผมเข้าใจ แต่พวกที่ด่าอย่างเดียวเลยว่าไม่มีเงิน เศรษฐกิจแย่ ประเทศชาติแย่ ระบบแย่ อยากจะเปลี่ยนแปลงและให้ประเทศมันดีขึ้นกว่านี้ คำถามคือประเทศมันยังไม่ดีพออีกหรอทุกวันนี้… ‘ลุงตู่’ ท่านทำ S Curve สร้างไว้ให้ขนาดนี้ คุณไม่คิดจะพัฒนาและปรับตัวเลย คุณจะรอแต่รัฐสวัสดิการและขอเงินอย่างเดียว แล้วคุณจ่ายภาษีกันเท่าไหร่…อย่างสวิตเซอร์แลนด์, เนเธอร์แลนด์, ไอซ์แลนด์, เยอรมัน เขาจ่ายภาษีกันประมาณ 40-50% เลย จะเอาประชานิยมที่เขาแจกอย่างเดียว จะให้รอเอาเงินมาให้ เอาสวัสดิการดี ๆ มาให้ แต่ต้องมากู้สาธารณะ ทีนี้ลุงตู่กู้มาล้นเพดาน แถมเงินทุกบาททุกสตางค์ของที่กู้มา มันก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบที่ได้พูดไป เพื่อให้พวกคุณไง ด่าเช้าด่าเย็นแต่ก็ใช้ถนน ด่าว่า 8 ปีไม่ทําอะไรเลย แต่ก็ใช้รถไฟฟ้า เรียกร้องจะเอาวัคซีนที่ดีที่สุดอย่างไฟเซอร์ โมเดอร์นา แล้วตอนนี้เป็นไงเสียชีวิตกันเป็นแถบ… ดังนั้นลุงตู่ไม่ใช่เทพที่ไหน ไม่ใช่คนเลวจากการรัฐประหาร แต่เป็นคนดีที่ตั้งใจทําผลงานสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และสร้าง S Curve ให้กับประเทศไทยได้อย่างน่ามหัศจรรย์

แล้วล่าสุดท่านพีระพันธุ์คุยกับผู้ว่าการมณฑลยูนนานของจีน สร้างสัมพันธไมตรีอันดี ซึ่งความพีกก็คือเขาก็มาคุยกันเรื่องของการพัฒนาต่อยอดเศรษฐกิจ พวกโครงสร้างพื้นฐานที่มันเชื่อมกันพลังงานสะอาด พลังงานสีเขียว และก็อุตสาหกรรมสีเขียว แล้วก็แลกเปลี่ยนความรู้ด้านพลังงาน รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน นี่แหละ…มันเป็นความสําเร็จทั้งหมดแล้วมาเชื่อมโยงกันได้ดีมาก สุดท้าย…สีเหลืองคนละไม้คนละมือ จะไม่ชนะได้ยังไงโครงการดี ๆ ขนาดนี้ สู้ไปด้วยกัน…


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top