Monday, 19 May 2025
ค้นหา พบ 48194 ที่เกี่ยวข้อง

‘อ.เฉลิมชัย’ ชวนคิด ยุคสมัยเปลี่ยนไป ต้องตามเด็กให้ทัน รับ!! ตนเป็นคนแก่ แต่ฟังเด็กรุ่นใหม่ หวังดันชาติเดินต่อ

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @jaramphonsornphong แชร์คลิปวิดีโอของ ‘อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์’ ที่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเด็กรุ่นใหม่ในประเทศไทย พร้อมเผยว่า ตนนั้นก็รู้สึกศรัทธาในความคิดของเด็กรุ่นใหม่เช่นกัน โดยในคลิประบุว่า…

“ความสามารถของคุณดีกว่าเขาหรือ? ก็ไม่ใช่ คนรุ่นใหม่เขารวดเร็ว เพราะเขาต้องแข่งกับโลกทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่แข่งกันในประเทศ แต่มันคือการแข่งขันกับโลกทั้งหมด ดังนั้น ความคิดของเด็กเหล่านี้มันจึงต้องรวดเร็ว ฉับไว ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงเร็วจนทำให้คนแก่ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว แต่คุณต้องยอมรับว่านี่คือ ‘โลกใหม่’ โลกใหม่ไม่ใช่เพียงในประเทศของเราอย่างเดียวที่เปลี่ยน แต่มันเปลี่ยนทั้งโลก จงจําไว้ว่า ถ้าตราบใดที่คนรุ่นใหม่ของเรา ไม่เกิดการแปลงเปลี่ยนที่รวดเร็วขนาดนี้ เราจะสู้กับคนทั้งโลกได้อย่างไร?”

“ผมจึงศรัทธาต่อคนรุ่นใหม่ ผมบอกได้เลย ผมสอนคน ผมให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่นําเสนอผลงาน ผมชอบความคิดเด็กรุ่นใหม่ ผมรับฟังเขา ในการประชุมทุกครั้งเด็กรุ่นใหม่ เด็กอายุเพียงแค่ 20 กว่าปี สามารถยกมือแล้วบอกว่าสิ่งที่อาจารย์คิดมันผิด ผมคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ อาจารย์เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อาจารย์พิจารณา เป็นต้น ผมเป็นคนแก่ที่ไม่ได้มองเด็กว่าก้าวร้าว แต่ผมเห็นว่าประโยชน์ที่เด็กคอยเสนอนั้นคือประโยชน์ของส่วนรวม ผมไม่เคยคิดว่า สิ่งนี้จะทำให้เด็กกลายเป็นคนที่ก้าวร้าวต่อตัวเอง หรือคอยมาทับถมความคิดของผม แต่กลับกัน ผมกลับศรัทธาต่อความคิดเหล่านี้”

“การบริหารจัดการวัดของผมจึงยิ่งใหญ่และงดงาม เด็กรุ่นใหม่ของผมขึ้นครองอํานาจทั้งหมด คุณรู้ไว้เลยว่าที่วัดผมไม่มีคนแก่ และคนแก่กลายเป็นที่ปรึกษาหมด คนหนุ่มได้มีโอกาสเติบโตก้าวหน้าหมด ทั้งหัวหน้าฝ่ายทุกฝ่าย นี่คือสิ่งที่ผมใช้คนรุ่นใหม่ในการคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ดังนั้น ผมจึงศรัทธาสิ่งนี้มากกว่า ผมเป็นคนไม่เชื่อในอายุ แต่ผมเชื่อในความคิดของทุกคน และมองทุกคนคือ ‘คนเท่าเทียมกัน’ ไม่ใช่คิดว่าคนนี้เป็นคนแก่แล้วคนรุ่นใหม่จะต้องเชื่อฟัง ผมไม่มีความคิดอย่างงั้น ถ้าคิดแบบนั้นแล้วคุณจะเจริญได้อย่างไร?”

“ดังนั้น ในการประชุมของผม คนกว่า 145 คน เด็กรุ่นใหม่ อายุ 20 กว่าปี สามารถยกมือแล้วสวนทางกับคนอายุ 60 ปีได้แบบเสรีภาพ แล้วความคิดของเขาจึงนําเสนอมาสู่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่วัดมากกว่าผม ผมจึงขอบอกว่าพวกเขาเก่งกว่าผม ณ เวลานี้”

“ผมรู้สึกดีใจที่พวกเขาคิดได้ดีกว่า แล้วผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทําได้ดีอีกด้วย โดยตอนนี้ผมได้วางมือกับ ‘วัดร่องขุ่น’ ทั้งหมด เพราะผมต้องการให้อิสรภาพทางความคิดพวกเขา ต่อยอดจากความคิดที่ยอดเยี่ยมของผม ไปสู่ความคิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า แต่ถ้าพวกเขาใช้ความคิดของผมที่ยอดเยี่ยมตลอดเวลา ความคิดของผมก็จะ ‘ล้าสมัย’ ไปในที่สุด ผมรู้ตัวเองดีว่า วันเวลาของผมจะล้าสมัย ผมต้องสร้างคนรุ่นใหม่ และความใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น เมื่อผมอายุ 50 ปี ผมได้ใช้เวลาทั้งหมด 15 ปีในการสร้างคน เพื่อต่อยอดสมองอันบัดซบของผม ความงี่เง่าของผม สมองแก่ ๆ ของผมจะจบลงแล้ว… ดังนั้น ผมต้องการ ‘สร้างสมองใหม่’ ขึ้นมา”

“ณ เวลานี้ สมองของผมใช้ไม่ได้แล้ว สู้เด็กเขาไม่ได้ ดังนั้น ผมจึงต้องยอมรับเลยว่า ผมเป็นคนแก่ที่สู้เด็กไม่ได้ คุณจงยอมรับซะ อย่างเช่นผม ผมยอมรับเลย ผมเป็นนักประชาธิปไตย ผมไม่รู้สึกว่าผมแก่กว่าเขา แต่ผมเห็นว่าเด็กเขาต้องกล้าหาญในการแสดงออก และกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา ความคิดเห็นของเขาคือ ‘ความร่วมสมัย’ คุณจําไว้เลยว่านั่นคือสิ่งที่จะทําให้ชาติเติบโตต่อไปได้”

‘อี้ แทนคุณ’ ย้อนถาม “จะให้เลือกตั้งทำไม ถ้าคุณยังถือหุ้นสื่ออยู่” ชี้ ‘พิธา’ ชวดนายกฯ ควรโทษตัวเองหยุดปลุกปั่นสร้างแตกแยก

(20 ก.ค. 66) ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมรัฐสภาที่ถกกันกว่า 7 ชั่วโมงโดยผลโหวตไม่สามารถเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้ง และหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7:2 รับคดีที่ กกต.ร้องให้วินิจฉัยคุณสมบัติ ส.ส.นั้น เกิดจากเหตุเพราะนายพิธา ขาดธรรมาภิบาลในตัวเอง เป็นคน ‘ทุศีล’ มีมลทิน รู้ทั้งรู้ว่าห้ามถือหุ้นสื่อ ITV ที่ยังคงสถานะความเป็นหุ้นสื่ออยู่ แต่ก็จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย 

หรือเป็นเพราะเชื่อกุนซือด้านกฎหมายคนเดียวกันที่เคยแนะนำนายธนาธร จนเป็นเหตุให้เจริญรอยตามกันใช่หรือไม่? ทั้งการสิ้นสมาชิกภาพ ถูกตัดสิทธิและถูกดำเนินคดีอาญามาตรา 151 อันเป็นวิบากกรรม ที่นายพิธา ทำตัวเองล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับใครคนอื่นเลย 

หากจะโทษจงโทษตัวเองที่ไม่รอบคอบพอและตีความกฎหมายตามใจตนเอง และควรหยุดนำมาสร้างวาทกรรมโจมตี ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังกันในหมู่ประชาชน เกลียดชังองค์กรอิสระและเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ ที่ต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยควรให้สติให้ปัญญาในการเคารพกฎหมายไม่ใช่เป็นฝ่ายออกกฎหมายแต่กลับทำลายกฎหมายเสียเอง  

ขอย้ำประเทศไทยเป็น ‘นิติรัฐ’ ไม่ใช่ ‘นิติด้อมส้ม’ มีกฎหมายไม่ใช่กฎหมู่ และประชาชนตาสว่างเยอะแล้วหลังจับโป๊ะ เครือข่ายก้าวไกลและพวกใช้ IO หรือปฎิบัติการทางข้อมูลข่าวสารคุกคามกระบวนการยุติธรรม ศาล กกต. ส.ว.และคนเห็นต่างแบบล่าแม่มด

ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นวิบากกรรมที่นายพิธา หลอกตัวเองมาตลอดว่าตนไม่ผิด 

“ผมจึงขอเตือนสตินายพิธาว่า ควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ กลับใจสำนึกในความผิดที่ตนก่อไว้อย่าสร้างกรรมเพิ่มและสำนึกในบุญคุณประเทศชาติบ้านเมืองทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการเคารพกฎหมายไม่ด้อยค่าประเทศ ไม่ด้อยค่าสถาบันหลักของชาติ หยุด ‘โทษคนอื่น’ ให้คนเข้าใจผิดเพื่อสร้างความแตกแยกในสังคม และพิจารณาตนเองว่าคุณทำผิดอะไรบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าคุณทำในสิ่งที่กฎหมายหัามไว้ แล้วจะให้มีเลือกตั้งไปทำไม คุณมีการไปรับรองผู้สมัคร ส.ส.ในฐานะหัวหน้าพรรคทำไม ให้ต้องเสียเวลาสภาสองวันทำไม และสุดท้ายโทษคนอื่นทำไม ทั้งหมดนี้ หากเกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองคือต้นทุนที่แท้จริงที่นายพิธาและพรรคก้าวไกลต้องจ่าย” ดร.แทนคุณ กล่าว

'ขัตติยา' กระทุ้ง 5 ประเด็นกองทุนประกันสังคม หลังพบติดลบหลายหมื่นล้าน ทวงถามวิธีแก้ไข

(20 ก.ค.66) ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณารับทราบรายงานของผู้ตรวจสอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม ปี 2564 ถามผู้บริหารถึงปัญหารายได้เฉลี่ยกองทุนประกันสังคมติดลบหลายหมื่นล้านจะมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไร และจะบริหารกองทุนอย่างให้โปร่งใสมั่นคงและผู้จ่ายเงินสมทบสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายได้

1. กองทุนประกันสังคมถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นหลักประกันและความมั่นคงให้ผู้ใช้แรงงาน โดยเป็นความไว้วางใจที่ภาคแรงงานมีให้กับภาครัฐ แต่สถานการณ์ปัจจุบัน มีคำถามจากผู้ประกันตนที่ต้องจ่ายเงินสมทบว่า กองทุนประกันสังคมนี้ยังเป็นหลักประกัน ยังมีความมั่นคงและความไว้วางใจที่มีให้กับกองทุนนี้อยู่หรือไม่

2. ความท้าทายปัญหาของกองทุนประกันสังคม มี 2 ประการคือ 1. ช่วงสถานการณ์โควิด รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เอาเงินจากกองทุนประกันสังคมไปเยียวยาผู้ตกงานจำนวนมหาศาล จนเกิดคำถามว่าขณะนี้กองทุนเหลือเงินอยู่เท่าใด และ 2. สังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในอนาคตอันใกล้ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อดูแลเป็นบำเหน็จบำนาญและค่ารักษาพยาบาล กองทุนนี้จะมีเงินทุนเพียงพอหรือไม่

3. แรงงานผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเดือนละ 5 เปอร์เซ็นต์ สูงสุด 750 บาท ซึ่งถือว่าน้อยมากไม่พอจะเป็นเงินออมในอนาคต แต่ขณะเดียวกันก็เป็นภาระหนักของพี่น้องที่ต้องจ่ายเงินในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่กองทุนประกันสังคมต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ได้ว่า เงินก้อนนี้จะเป็นหลักประกันในอนาคตให้เขาได้จริงๆ สำนักงานประกันสังคมต้องบริหารงานให้โปร่งใสและตรวจสอบได้

4. กองทุนประกันสังคม มียอดรายได้เฉลี่ยต่ำกว่ารายจ่ายอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะปี 2563 ติดลบ 6.5 พันล้าน ปี 2564 ติดลบ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามีปัญหาติดลบมากขึ้นทุกปี แต่ไม่มีคำตอบชัดเจนจากผู้บริหารกองทุนประกันสังคมว่า จะแก้ไขปัญหาอย่างไร

5. ประชาชนผู้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ต่างคาดหวังที่จะมีหลักประกันและความมั่นคงที่จะได้จากสำนักงานประกันสังคม และกองทุนประกันสังคม ดังนั้น จึงต้องขอให้กองทุนพิจารณาปรับเปลี่ยนการบริหารงาน เพื่อสร้างความมั่นคง สร้างหลักประกันให้สมกับความไว้วางใจ ที่ภาคแรงงานภาคเอกชนที่มีให้กับภาครัฐต่อไป 

'แจ็คสัน หวัง' เปิดสเป๊ก 'ชอบสาวผมสวย' ในงาน 'PANTENE BEST HAIR' ที่ไทย

(20 ก.ค. 66) มาพร้อมกับรอยยิ้มให้เหล่าอากาเซ่ได้ฟินกันอีกแล้ว สำหรับ ศิลปินดังระดับโลก ‘แจ็คสัน หวัง’ หนึ่งในสมาชิกวง GOT7 ที่ล่าสุดมางานแถลงข่าวกิจกรรม ‘PANTENE BEST HAIR with Jackson Wang’ ที่ปรากฏตัวมาในลุคสุดเท่ โชว์ผมสวยสุขภาพดีได้อย่างหวัง ก่อนจะไปพบกับแฟน ๆ ในกิจกรรมช่วงเย็นกันต่อ

โดย ‘แจ็คสัน’ ได้เผยถึงการมาร่วมงานกับแพนทีนในครั้งนี้ว่า มีความเชื่อมโยงกัน เพราะทุกวันในการทำงานก็มีการทำร้ายผมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะแฮร์ลุค หรือแฮร์สไตล์ ส่วนเบื้องหลังในการถ่ายโฆษณาในครั้งนี่ก็สะท้อนความเป็นตัวตนมาก ๆ

เมื่อถามถึงผมของสาวๆ ว่าต้องเป็นแบบไหนถึงจะโดนใจพี่แจ็ค เจ้าตัวก็ว่า “ผมที่มีสุขภาพดี มีความเป็นธรรมชาติ และเรียบลื่นดูสวย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top