Friday, 9 May 2025
ค้นหา พบ 47981 ที่เกี่ยวข้อง

‘กรมควบคุมมลพิษ’ เผย ค่าฝุ่นเกินกว่ามาตรฐาน 21 จังหวัด หนักสุด!! ‘แม่สาย’ วัดได้ 590 มคก. ส่งผลต่อสุขภาพต่อเนื่อง

(27 มี.ค. 66) กรมควบคุมมลพิษรายงานภาพรวมค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กทั่วประเทศ เกินค่ามาตรฐาน 21 จังหวัด โดยภาคเหนือเผชิญค่า PM2.5 พุ่งสูงชนิดสาหัส 28 พื้นที่ หนักสุดที่ ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย เชียงรายวัดได้ 590 มคก. รองลงมาเป็นภาคอีสานสูงสุดที่อ.บึงกาฬ จ.บึงกาฬ วัดได้ 277 มคก. เตือนภาคเหนือตอนบนเฝ้าระวังต่อเนื่องระหว่าง 27 มีค.-2 เมย. โดยเฉพาะจว.ติดประเทศเพื่อนบ้าน สธ.ห่วง PM2.5 เชียงรายสูงกว่ามาตรฐานอนามัยโลก 32 เท่า

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2566 ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศพื้นที่ทั่วประเทศประจำวันว่า คุณภาพอากาศอยู่ในระดับคุณภาพดีมากถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ ตรวจวัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอนหรือPM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง พบค่าฝุ่นระหว่าง 10-590 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ภาพรวมปริมาณ PM2.5 ในประเทศพบเกินค่ามาตรฐานใน 21จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ จ.น่าน จ.แม่ฮ่องสอน จ.พะเยา จ.ลำพูน จ.ลำปาง จ.แพร่ จ.อุตรดิตถ์ จ.สุโขทัย จ.พิษณุโลก จ.ตาก จ.กำแพงเพชร จ.พิจิตร จ.เพชรบูรณ์ จ.บึงกาฬ จ.หนองคาย จ.เลย จ.นครพนม จ.มุกดาหารและจ.อุบลราชธานี

สำหรับภาคเหนือ พบเกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 50-590 มคก./ลบ.ม. เกินมาตรฐาน 28 พื้นที่ สูงสุดที่ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย 590 มคก./ลบ.ม.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐาน 6 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 33-277มคก./ลบ.ม.สูงสุดที่ ต.บึงกาฬ อ.บึงกาฬ จ.บึงกาฬ 277 มคก./ลบ.ม.ส่วนภาคกลางและตะวันตก ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ตรวจวัดได้ 18-59 มคก./ลบ.ม.ภาคตะวันออก ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ตรวจวัดได้ 10-30มคก./ลบ.ม.ภาคใต้ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ตรวจวัดได้ 13-21 มคก./ลบ.ม.

ขณะที่กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยสถานีตรวจวัดของ คพ.ร่วมกับกทม.ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ตรวจวัดได้ 16-76 มคก./ลบ.ม.อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั่วไปควรเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองถ้าจำเป็น

นอกจากนี้ กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ รายงานผลการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม-2 เมษายน ดังนี้ วันที่ 27 มีนาคมเป็นต้นไปสถานการณ์ในพื้นที่กทม.และปริมณฑลมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากสภาพอากาศเปิดมากขึ้น เพดานการลอยตัวอากาศที่สูงขึ้น ประกอบกับลมทางใต้ที่กำลังแรงช่วยพัดฝุ่นออกจากพื้นที่ ส่วนพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือมีแนวโน้มควรเฝ้าระวังในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านระหว่างวันที่ 27 มีนาคม-2 เมษายน

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงาน สภาพอากาศทั่วไปในพื้นที่ จ.เชียงราย โดยเฉพาะตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา และด้าน อ.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่สาย อ.เชียงแสน อ.แม่จัน มีฝุ่นละอองหนามากเป็นประวัติการณ์ โดยมีลักษณะเหมือนหมอกในฤดูฝน แต่เป็นฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งกรมควบคุมมลพิษรายงานผลการตรวจวัดค่าฝุ่นใน ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย ติดกับจ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา มีปริมาณ PM 2.5 สูงถึง 459 มคก./ลบ.ม. และค่า PM 10 และอื่นๆ พบดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index) มีสูงถึง 569 AQI เช่นเดียวกับด้านอ.เชียงของ ติดกับแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว พบค่า PM 2.5 สูงถึง 219 มคก./ลบ.ม. และเขต อ.เมืองเชียงราย วัดค่าได้ 211 มคก./ลบ.ม.ถือว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพติดต่อกันมาหลายวัน

อย่างไรก็ตาม การตรวจวัดคุณภาพอากาศจากเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าภาคสนามแต่ละพื้นที่พบค่า PM 2.5 ที่มากกว่านั้นอีกมาก โดยค่าเฉลี่ยของปริมาณฝุ่นตั้งแต่พื้นที่ชั้นในของศูนย์ไฟป่าเชียงราย-144 ไปถึงชาวแดน ทั้งที่ภูชี้ฟ้า อ.เทิง อ.เชียงของ ดอยแม่สลอง อ.แม่จัน อ.แม่ฟ้าหลวงอ.แม่สาย จนไปถึงป่าไม้ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา พบค่า PM 2.5 บางจุดสูงถึง 500-900 มคก./ลบ.ม. มีอัตราเฉลี่ยจากศูนย์ดับไฟป่าประมาณ 27 แห่งตลอดแนวชายแดนพบค่าเฉลี่ย PM 2.5 อยู่ระหว่าง 200-900 มคก./ลบ.ม.

ขณะที่การเผาป่าในประเทศเพื่อนบ้านยังมีต่อเนื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่ของไทยต้องเฝ้าระวังตลอดแนวไม่ให้ลุกลามเข้ามาฝั่งไทย แต่ผลกระทบที่ไทยได้รับคือ เกิดฝุ่นปลิวไปทั่วบริเวณ ขณะที่พื้นที่ในประเทศมีไฟป่าลุกไหม้ขึ้นหลายจุด โดยเฉพาะบนดอยปุยและอุทยานแห่งชาติลำน้ำกก อ.เมืองเชียงราย โดยคืนวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดไฟไหม้อย่างหนักบนดอยหมู่บ้านแม่สาด ต.แม่กรณ์ อ.เมืองเชียงราย โดยลุกไหม้เต็มขุนเขาใกล้หมู่บ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าและชาวบ้านเข้าสกัดไฟไม่ให้ลามเข้าที่อยู่อาศัยตลอดทั้งคืน

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ออกประกาศห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิดเป็นเวลา 90 วัน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 15 เมษายน โดยแจ้งให้หน่วยงานภาคส่วนได้เข้มงวดและหากพบการฝ่าฝืนต้องดำเนินคดี ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีลักลอบเผาในเขตพื้นที่ป่า โทษจำคุก 1 ปี-30 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000-3,000,000 บาท

‘ปูติน’ กร้าว!! ‘รัสเซีย-จีน’ จับมือกันแบบโปร่งใส ย้อน ‘มะกัน-นาโต้’ ส่อแววรวมก๊ก เหมือน WW II

รัสเซียและจีนไม่ได้กำลังจัดตั้งพันธมิตรทหาร และความร่วมมือระหว่างกองทัพทั้ง 2 ชาตินั้น ‘มีความโปร่งใส’ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้ความเห็นที่มีการออกอากาศในวันอาทิตย์ (26 มี.ค.) ไม่กี่วันหลังเป็นเจ้าภาพต้อนรับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ในเครมลิน พร้อมกล่าวหาย้อนกลับไปว่า เป็นสหรัฐฯ และนาโต้เองที่กำลังแสวงหาฝ่าย ‘อักษะใหม่’ คล้ายคลึงกับการจับมือกับระหว่างนาซี เยอรมนี ฟาสซิสต์ อิตาลีและจักรวรรดิญี่ปุ่น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ปูติน และสี ประกาศตัวเป็นพันธมิตร พร้อมสัญญาสานสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ในนั้นรวมถึงในขอบเขตด้านการทหาร ระหว่างการประชุมซัมมิตเมื่อวันที่ 20-21 มีนาคมที่ผ่านมา ในขณะที่รัสเซียกำลังประสบปัญหาในการรุกคืบในสมรภูมิรบ ในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็น ‘ปฏิบัติการพิเศษด้านการทหาร’ ในยูเครน

"เราไม่ได้กำลังสร้างพันธมิตรทหารใหม่กับจีน" ปูตินกับผ่านสื่อมวลชนแห่งรัฐ "ใช่แล้ว เรามีความร่วมมือกันในขอบเขตการทำงานร่วมกันทางเทคนิคด้านการทหาร เราไม่ได้ปิดบังในเรื่องนี้ ทุกอย่างมีความโปร่งใส มันไม่ได้เป็นความลับใดๆ"

จีนและรัสเซียลงนามในข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนแบบไร้ขีดจำกัด เมื่อช่วงต้นปี 2022 ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า ปูติน ส่งทหารหลายหมื่นนายบุกเข้าไปในยูเครน ปักกิ่งระงับไว้ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของปูติน และนำเสนอแผนสันติภาพสำหรับยูเครน อย่างไรก็ตาม ตะวันตกปฏิเสธข้อเสนอแผนสันติภาพดังกล่าว โดยบอกว่ามันเป็นอุบายซื้อเวลาช่วยปูติน สำหรับคืนชีพกองกำลังของเขาในยูเครน

เมื่อเร็วๆ นี้ วอชิงตันแสดงความกังวลว่าปักกิ่งอาจมอบอาวุธให้รัสเซียบางอย่างที่จีนปฏิเสธ

ระหว่างแสดงความคิดเห็นผ่านสถานีโทรทัศน์ ปูติน ปฏิเสธข้อสันนิษฐานที่ว่า การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างมอสโกกับปักกิ่งในขอบเขตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานและการเงิน อาจหมายความว่ารัสเซียกำลังพึ่งพิงจีนมากจนเกินไป โดยเขาบอกว่ามันเป็นมุมมองของคนขี้ระแวง "นานหลายทศวรรษแล้ว ที่มีความปรารถนาหันจีนให้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสหภาพโซเวียตและรัสเซีย" เขากล่าว "และในทางกลับกัน เราเข้าใจในโลกที่เราอาศัยอยู่ดี เราเล็งเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ร่วมระหว่างเรา และระดับของความสัมพันธ์พุ่งถึงจุดสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา"

นอกจากนี้ ปูตินยังกล่าวหาสหรัฐฯ และนาโต้ ว่ากำลังหาทางสร้าง "ฝ่ายอักษะ' ระดับโลกใหม่ ที่เขาบอกว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับการจับมือเป็นพันธมิตรในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่าง นาซี เยอรมนี ฟาสซิสต์ อิตาลี และจักรวรรดิญี่ปุ่น

ปูติน เอ่ยชื่อออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้ ว่ากำลังต่อแถวเข้าร่วม 'นาโต้โลก' และพาดพิงถึงข้อตกลงด้านกลาโหมที่ลงนามโดยสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่นเมื่อช่วงต้นปี "นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกนักวิเคราะห์ตะวันตกกำลังพูดถึงเกี่ยวกับการที่ตะวันตกกำลังสร้างอักษะใหม่ แบบเดียวกับที่เคยจัดตั้งขึ้นในช่วงยุคทศวรรษ 1930 โดยรัฐบาลฟาสซิสต์เยอรมนี และอิตาลี และลัทธิทหารนิยมญี่ปุ่น" เขากล่าว

ผู้บริหาร IMF เตือน!! ความเสี่ยงเสถียรภาพการเงินโลก ใต้ตัวแปร 'สงคราม-แบงก์รัน-น้ำมัน-เศรษฐกิจถดถอย'

เศรษฐกิจและการเงินโลกจะไปรอดหรือพังยับ ?!? นั่นคือคำถามสำคัญที่สุดในหัวของใครหลายคน ณ ตอนนี้เลยทีเดียว 

(27 มี.ค. 66) World Maker เผยว่า Kristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการของ IMF ได้ออกมาเตือนว่า “ความเสี่ยงเกี่ยวกับเสถียรภาพด้านการเงินโลกได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”

โดยเฉพาะหลังจากเกิดวิกฤต Bank Run ในสหรัฐฯ ทำให้ IMF ต้องยกระดับการเฝ้าระวังวิกฤตทางการเงินให้สูงขึ้นกว่าเดิม ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความมั่งคั่งทางการเงินสูงกว่าตลาดเกิดใหม่ ซึ่งทาง IMF ย้ำว่าความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกตอนนี้อยู่ในระดับ 'สูงเป็นพิเศษ' ถือเป็นแผลซ้ำจากโควิด-19, เงินเฟ้อ และสงครามยูเครน

เมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ยและเริ่มทำ QT มาถึงระดับหนึ่ง เราจึงเริ่มเห็นรอยแตกร้าวเกิดขึ้นแล้ว ณ ปัจจุบันนี้ และแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ-FED รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลทั่วยุโรปจะเร่งเข้ามา Take Action อย่างรวดเร็วพร้อมกับเสริมสภาพคล่องสำรองให้แก่ตลาด ซึ่งผ่อนคลายความตึงเครียดไปได้ระดับหนึ่ง แต่ทาง IMF ก็ย้ำว่าความไม่แน่นอนต่าง ๆ ยังอยู่ในระดับสูงมาก ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ยังต้องเฝ้าระวังอย่างละสายตาไม่ได้เลย

IMF ปรับลดคาดการณ์ GDP โลกลงจากเดิม 3.4% เหลือ 2.9% ในปีนี้ และคาดว่าในปี 2024 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.1% ขณะที่แถลงการณ์ล่าสุดชี้ว่าวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้จะทำให้คนจำนวนมากทั่วโลก 'ยากจนลงและมีความปลอดภัยน้อยลง'

📌 ปัจจัยเชิงบวกที่สำคัญที่สุดในการพยุงเศรษฐกิจโลกจากมุมมองของ IMF ก็คือการฟื้นตัวของจีน โดยคาดการณ์ GDP ไว้ที่ +5.2% (เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ปี 2022 ที่ 3%) ซึ่ง IMF คาดว่าการเติบโตของจีนจะคิดเป็นถึง 1 ใน 3 ของการเติบโตทั่วโลกในปี 2023 นี้ แม้ว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนจะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม

IMF ย้ำว่าหากต้องการให้โลกดีขึ้น สหรัฐฯ-จีนควรมุ่งเน้นไปที่การแข่งขันกันอย่างสร้างสรรค์ พร้อมเรียกร้องให้มีการร่วมมือกันในบางส่วนระหว่างสหรัฐฯ-จีน แม้จะขจัดความตึงเครียดและมุมมองที่เห็นต่างไม่ได้ทั้งหมดก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่ามันถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่ว่าสหรัฐฯ-จีนจะเจรจากันได้ลงตัวหรือไม่ ? เพราะภาพที่ออกมาตอนนี้จะเห็นว่าทั้ง 2 ฝ่ายดูขัดแย้งกันในแทบทุกมิติ

นอกจากนี้ IMF เรียกร้องให้จีนใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มผลิตผลทางเศรษฐกิจพร้อมกับการปรับสมดุลใหม่ โดยเปลี่ยนจากการเน้นลงทุนไปสู่การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคมากกว่าเดิม เนื่องจากจะมีความยั่งยืนมากกว่าและพึ่งพาระบบหนี้น้อยกว่า ยิ่งไปกว่านั้นจะช่วยพัฒนาในแง่ของความท้าทายด้านสภาพอากาศด้วย

IMF ขยายมุมมองว่าจีนควรยกระดับการคุ้มครองทางสังคม สวัสดิการสุขภาพ รวมไปถึงการรองรับภาคครัวเรือนจากภาวะฉุกเฉินต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น และขณะเดียวกันก็จะต้องปฏิรูปตลาดโดยมุ่งเน้นไปที่การยกระดับการแข่งขันระหว่างภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะต้องมีการลงทุนด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางผลผลิตให้ได้อย่างมีนัยสำคัญ

⚠️ ซึ่งขณะเดียวกันกับที่ IMF มองจีนเป็นความหวังพยุงเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ล่าสุดทางปูตินประกาศว่ารัสเซียจะติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในเบลารุส หลังประเมินว่ามีแนวโน้มว่าการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกอาจทวีความรุนแรงขึ้น ขยายวงกว้างไปกว่าสงครามยูเครน

โดยปูตินกล่าวว่านี่เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ เองก็ได้มีการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในประเทศพันธมิตรมานานแล้ว เป็นเหตุผลให้รัสเซียทำเช่นเดียวกัน โดยคาดว่าจะการสร้างโรงเก็บอาวุธนิวเคลียร์จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากพึ่งมีข่าวว่ารัสเซียจะเกณฑ์ทหารเพิ่มอีก 400,000 นายเพื่อเสริมกำลังสำรองในกรณีที่สงครามยืดเยื้อยาวนาน โดยก่อนหน้านี้ก็ได้เกณฑ์เพิ่มไปแล้วหลักแสนคน

ทั้งนี้ รัสเซียไม่ได้ประกาศที่จะติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในประเทศพันธมิตรนับตั้งแต่ยุคการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและวิกฤตขีปนาวุธคิวบา ขณะที่ปัจจุบันเองสหรัฐฯ และ NATO กำลังส่งอาวุธจำนวนมากให้ยูเครนใช้ต่อต้านกองกำลังของรัสเซีย และทางด้านอังกฤษก็กล่าวว่าจะส่งอาวุธที่เกี่ยวข้องกับยูเรเนียมให้แก่ยูเครน ซึ่งเป็น 1 ในเหตุผลที่ปูตินประกาศแผนติดตั้งนิวเคลียร์ในเบลารุส เนื่องจากเขามองว่านี่เป็นการขู่ยกระดับความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ของชาติฝั่งตะวันตก

นั่นหมายความว่าทางรัสเซียก็ไม่ได้ยอมอ่อนข้อลงเลย ปูตินกล่าวว่ารัสเซียกำลังเพิ่มขีดจำกัดในด้านการผลิตอาวุธ และจะผลิตกระสุน-รถถังออกมาเป็นจำนวนมาก โดยเขาเคลมว่าปริมาณอาจจะมากกว่าที่สหรัฐฯ-พันธมิตรส่งให้ยูเครนถึง 3x เท่าตัว

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การยืนยันว่าโลกกำลังจะเกิดสงครามในระดับที่ยิงนิวเคลียร์ถล่มกัน เพราะดูเหมือนจะเป็นการเดินหมากเพื่อคานอำนาจกันในเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญและการป้องกันเชิงเสียมากกว่า แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีอะไรแน่นอน จึงไม่มีใครกล้ารับประกัน ณ จุดนี้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมาหรือไม่ ?

📌 นอกเหนือจากสงครามของรัสเซียแล้ว ในอีกมุมหนึ่งของโลก จีนได้ประกาศปล่อยตัวนักลงทุนชิปชั้นนำที่เคยถูกรัฐบาลจับกุมเอาไว้ เพื่อให้มาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมชิปของประเทศหลังจากโดนสหรัฐฯ สั่งคว่ำบาตรอย่างหนักไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีชิปขั้นสูง

บุคคลดังกล่าวก็คือ Chen Datong หัวหน้าฝ่ายการจัดการด้านการลงทุนของ Yuanhe Puhua (Suzhou) หรือที่รู้จักในชื่อ Hua Capital โดยก่อนหน้านี้ Chen ถูกควบคุมตัวท่ามกลางกระแสการสืบสวนอุตสาหกรรมชิปของรัฐบาลปักกิ่ง ซึ่งดูเหมือนจะมีความไม่พอใจบางอย่างเกิดขึ้น หลังจากมีการใช้เงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ไปกับการลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์แต่กลับยังไม่สามารถสร้างการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญได้

ดังนั้น การที่จีนตัดสินใจปล่อยตัว Chen และร้องขอให้เขามาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมชิปต่อนี้ น่าจะถือเป็นสัญญาณสำคัญว่าจีนกำลังจะเดินหมากแบบพึง่พาตัวเองในแง่ของเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งก็ต้องรอดูกันว่าจีนจะพัฒนาไปได้รวดเร็วแค่ไหน เพราะตอนนี้ยังคงติดชะงักอยู่ในการผลิตชิประดับ Hi-Ends เป็นของตัวเอง

Chen ถือเป็น 1 ในนักลงทุนมือฉมังสำหรับอุตสาหกรรมชิปของจีน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าเขาจะเริ่มกลับมาทำงานเต็มตัวเมื่อไหร่ คาดว่าคงไม่นานเพราะจีนเองก็เร่งทุ่มเทพัฒนาชิปอยู่อย่างเต็มที่เพื่อให้ก้าวทันสหรัฐฯ ในแง่ของเทคโนโลยีขั้นสูงที่จะเป็น 1 ในเสาหลักของโลกอนาคต

แต่ถึงกระนั้น ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำของจีนถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือการบีบบังคับหรือไม่ ? เพราะในจังหวะที่นึกจะจับก็จับ แต่ในช่วงเวลาที่รัฐบาลต้องการความช่วยเหลือก็กลับปล่อยตัวออกมาได้เสียง่าย ๆ ซะอย่างนั้น ! เราจึงต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิดว่ายุทธวิธีของจีนในครั้งนี้จะประสานรอยร้าวภายในและพัฒนาก้าวทันสหรัฐฯ ได้สำเร็จตอนไหน ?

⚠️ พร้อมกันนี้ หลายประเทศที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ เริ่มสั่งแบนแอปฯ TikTok ออกจากสมาชิกรัฐบาล เนื่องจากความกังวลว่าตัวแอปฯ จะมีการส่งข้อมูลต่าง ๆ ไปให้รัฐบาลจีนใช้ ซึ่งฝ่ายตะวันตกมองว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ

‘ชายญี่ปุ่น’ โปรโมตร้านเสื้อผ้าจัดเต็ม ‘ใส่สูท’ พิชิตเขาคินาบาลู โว!! ปีนเสร็จสูทยังเนี้ยบ พร้อมเข้าประชุมต่อได้ทันที

(27 มี.ค. 66) ช่างตัดเสื้อชาวญี่ปุ่นกลายเป็นไวรัลใน TikTok หลังใส่สูทเต็มยศ พร้อมรองเท้าคัทชูและกระเป๋าเอกสาร ปีนขึ้นไปพิชิตยอดเขาสูงที่สุดในมาเลเซีย เพื่อพิสูจน์ว่าแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองนั้นคุณภาพดีขนาดไหน

สัปดาห์ที่แล้ว โนบุทากะ ซาดะ (Nobutaka Sada) วัย 49 ปี ได้ปีนขึ้นไปถึงยอดเขาคินาบาลู ซึ่งมีความสูง 4,095 เมตรจากระดับน้ำทะเลในชุทสูทสีฟ้าของแบรนด์ตัวเอง ทำเอาบรรดานักปีนเขาและชาวเน็ตถึงกับอึ้งในความ ‘สุดจัด’ ของชายจากแดนอาทิตย์อุทัยคนนี้

จากคลิป TikTok ที่เพื่อนนักปีนเขาอีกคนถ่ายไว้ ซาดะเดินขึ้นไปตามเส้นทางแคบๆ บนเขาเช่นเดียวกับนักปีนเขาคนอื่นๆ แต่ในขณะที่คนอื่นต้องใช้ไม้เท้าปีนเขาเพื่อประคองตัว เขากลับจับเพียงสายคล้องกระเป๋าเอกสาร และเดินขึ้นสู่ยอดเขาด้วยความมั่นใจ

ก่อนหน้านี้ ซาดะเคยใส่สูทไปตกปลา เล่นสกี ขี่จักรยานและดำน้ำดูปลามาแล้ว ซึ่งทุกครั้งเขาจะถ่ายคลิปบันทึกประสบการณ์เอามาแชร์ไว้ในช่อง YouTube ส่วนตัว

หลังจากพิชิตยอดเขาสำเร็จ ซาดะได้แชร์ภาพถ่ายตนเองพร้อมทิวทัศน์อันสวยงามลงในเฟซบุ๊ก และยังเล่าด้วยว่า เขาได้นอนค้างคืนในกระท่อมบนเขา ก่อนจะปีนป่ายขึ้นเขาท่ามกลางแสงดาว และไปถึงยอดเขาทันดูพระอาทิตย์ขึ้นพอดี

‘ททท.’ ตั้ง ‘เบิร์ด ธงไชย’ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ กระตุ้นวัยเก๋า ตั้งเป้าปีนี้!! สร้างรายได้เที่ยวในประเทศ 8.8 แสนล้านบาท

(27 มี.ค. 66) นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า ททท.เตรียมเปิดตัวแคมเปญโฆษณาชุด โมเมนต์ที่ใช่ สร้างได้ไม่ต้องรอ และเปิดตัว เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ นักร้องชื่อดัง เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ในปี 2566 ททท.ได้กำหนดให้เป็นปีท่องเที่ยวไทย 2566 เพื่อเดินหน้ากระตุ้นให้มีการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยมากขึ้น โดยกำหนดเป้าหมายทั้งปีจะต้องมีการท่องเที่ยวในประเทศ 135 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 8.8 แสนล้านบาท ตลอดทั้งปีนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top