Saturday, 17 May 2025
ค้นหา พบ 48164 ที่เกี่ยวข้อง

‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ใช้ QR Code หลอกดูดเงินผ่านไลน์ ‘ดีอีเอส’ เตือน ปชช. ระวังภัยออนไลน์ - รู้เท่าทันกลโกง

แก๊งคอลเซ็นเตอร์มามุกใหม่ ใช้ QR Code หลอกดูดเงินร้านอาหารผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ทำทีสั่งอาหาร และให้ร้านแสกนเพื่อรับเป็นเพื่อน แท้จริงคือ Scams วอนประชาชนตระหนัก รู้เท่าทันกลโกง และระวังก่อนสแกน

(18 มี.ค. 66) นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนในเรื่องการฉ้อโกงออนไลน์รูปแบบใหม่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยการใช้ QR Code หลอกดูดเงิน วิธีการคือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ติดต่อร้านอาหารผ่านแอปพลิเคชันไลน์ หลอกสั่งข้าวกล่องจำนวน 100 กล่อง เพื่อนำไปจัดเลี้ยงประชุม และโอนมัดจำมาก่อน 2,000 บาท วันต่อมา คนร้ายได้โทรศัพท์บอกให้ร้านอาหารสั่งชุดอาหารพิเศษเพิ่ม 7 ชุด และส่ง QR Code มาให้ร้านแอด และบอกว่าจ่ายเงินเพิ่มให้ภายหลัง โดยอ้างว่าเป็น QR Code แอดไลน์เท่านั้น แต่เมื่อแสกน QR Code พบว่า หน้าจอเหมือนถูกไวรัส เจ้าของโทรศัพท์จึงรีบเข้าแอปฯ ธนาคาร เพื่อโอนเงินส่วนใหญ่ออกไปบัญชีอื่นก่อน และโทรศัพท์ก็เริ่มค้าง ระบบรวนจึงรีบปิดเครื่อง

จากกรณีที่เกิดขึ้น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีความห่วงใยความปลอดภัยของประชาชน จึงขอแจ้งเตือนว่า ในการใช้จ่ายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ร้านอาหารหลายแห่งเริ่มใช้ QR Code ในการชำระเงินแบบไร้เงินสด แต่เหรียญมีสองด้าน การใช้งานที่ค่อนข้างสะดวกของ QR Code ก็ต้องระวังและมีสติในการใช้งานด้วยเช่นกัน เพราะคนร้ายหรือมิจฉาชีพอาจจงใจใช้ QR Code พิมพ์ URL ซึ่งนำไปสู่เว็บไซต์หลอกลวง (Phishing) หลอกให้กรอกข้อมูลหรือบัญชีธนาคาร หรือหลอกให้โอนเงินไปบัญชีคนอื่นที่ไม่ใช่บัญชีของร้านค้าได้ ดังนั้นประชาชนต้องปกป้องตัวเอง และป้องกันภัยจาก QR Code หลอกลวง หรือ QR Code Scams ดังนี้

‘วันเพ็ญ’ เจ้าแม่แชร์ทอง 360 ล้านบาท มี 61 หมายจับ ตุ๋นเหยื่อขาย ‘ทอง’ ออนไลน์ สุดท้ายเกมเพราะ ‘หนังควาย’

(18 มี.ค. 66) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.หน. PCT ชุดที่ 5 , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. รอง หน. PCT ชุดที่ 5 พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ นาคามาตย์ ผกก.กก.สส.บก.น.4 พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์  ทองแพ พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี  พ.ต.ต.ชัยวัฒน์ จงเจริญ พ.ต.ต.วรุตม์ คำหล้า พ.ต.ต.ภัสสกรณ์ เฉลียวบุญ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) , กก.สส.บก.น.4 นำกำลังสืบสวนติดตามจับกุมตัว น.ส.วันเพ็ญ โคตรทะแก หรือ กวินา กันยากรสกุล อายุ 34 ปี ชาวจ.นครสวรรค์ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” จำนวน 61 หมายจับพร้อมทั้งตรวจยึด โทรศัพท์มือถือจำนวน 2 เครื่อง พบข้อมูลการตั้งวงแชร์อีกหลายวง สมุดบันทึก จำนวน 1 เล่ม ซองใส่ซิม จำนวน 5 ชิ้น เซฟเฮ้าส์ลับ ในชนบทใกล้เขาใหญ่ ในพื้นที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 17 มี.ค. เวลาประมาณ 16.15 น. ที่ผ่านมาพบเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 360 ล้านบาท เหยื่อผู้เสียหายกว่า 200 รายทั่วประเทศ ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 37 ล้านบาท 

สืบเนื่องจากเมื่อปลายปี 2563 ต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2564 น.ส.วันเพ็ญ โคตรทะแก หรือ กวินา กันยากรสกุล ได้มีการไลฟ์สดผ่านทางเฟซบุ๊กโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนในการ 'ขายทอง' โดยอ้างว่าจะนำทองมาจากต่างประเทศ โดยสามารถสั่งนำเข้ามาได้ในราคาเพียงบาทละ 3,000-4,000 บาท ซึ่งถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปมาก ซึ่งต่อมาได้มีผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อและโอนเงินมาร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่ง น.ส.วันเพ็ญ มีการส่งทองหรือจ่ายเงินตอบแทนให้กับผู้สั่งซื้อหรือร่วมลงทุนใน 2-3 ครั้งแรก ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่เคยร่วมลงทุนเดิมและยัง 'ปากต่อปาก' ทำให้ยิ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมการลงทุนจำนวนหน้าใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยสุดท้ายเหล่าผู้เสียหายต่าง 'ทุ่มเงิน' จำนวนมากมาร่วมลงทุนซื้อทองกับ น.ส.วันเพ็ญ ซึ่งต่อมาเมื่อได้เงินก้อนใหญ่แล้ว น.ส.วันเพ็ญ ได้ 'หายตัวไป' อย่างไร้ร่องรอยพร้อมเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 37 ล้านบาท เหยื่อผู้เสียหายกว่า 200 รายทั่วประเทศ ต่างได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะเงินส่วนใหญ่ของผู้เสียหายได้ทุบหม้อข้าวมาลงทุนกับ น.ส.วันเพ็ญ ซึ่งกลุ่มผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุทั่วประเทศ

ต่อมาได้มีสอบสวนจนนำมาสู่การออกหมายจับ และหมายจับของศาล จำนวน 61 หมายจับทั่วประเทศไทย ซึ่งจากการติดตามของเจ้าหน้าที่พบว่า น.ส.วันเพ็ญไม่เพียงหายตัวไป แต่จากการตรวจสอบการทำธุรกรรมต่าง ๆ ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆอีก เข้าขั้นที่เรียกได้ว่า 'ไร้เงา' ซึ่งต่อมาทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากระบบการรับแจ้งความออนไลน์และข้อมูลแผนประทุษกรรมจากคดีเดิม โดย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. หรือ หน.PCT ชุดที่ 5 ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบ 'ร่องรอย' จากแผนประทุษกรรมการช่วงการก่อเหตุที่ผ่านมา ซึ่งพบ 'ตัวละคร' สำคัญที่คอยดำเนินการทำธุรกรรมให้กับ น.ส.วันเพ็ญฯ ซึ่งต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ได้ให้พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว  สว.กก.2 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี  สว.กก.1 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์   จุลพิภพ สว.กลุ่มงานสอบสวนฯ ชุด PCT 5 นำกำลังแยกกันลงพื้นที่แกะรอยจนกระทั่งสืบทราบว่า น.ส.วันเพ็ญ หลบหนีไปกบดานอยู่ในพื้นที่ จ.สระบุรี โดยมี 'ลูกน้อง' คอยเป็นผู้ทำธุรกรรมต่าง ๆ ให้เพื่ออำพรางการใช้ชื่อตนเอง ซึ่งแม้จะปกปิดตัวตนอย่างมิดชิด แต่ต่อมาชุด PCT5 ได้พบเบาะแสสำคัญจากร้านอาหารในละแวกพื้นที่กบดานคือ 'หนังควาย' ซึ่งเป็นอาหารที่ น.ส.วันเพ็ญชอบทาน จนนำมาสู่การสืบทราบว่าที่กบดานของ น.ส.วันเพ็ญ ซึ่งเป็น 'เซฟเฮ้าส์ลับ' มีรั้วสูงล้อมรอบมิดชิด ภายในชนบทใกล้เขาใหญ่ ซึ่งต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดช ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุด PCT5 และ สืบสวนนครบาลใช้กำลังเจ้าหน้าที่ 'ดักซุ่ม' บริเวณป่าข้างทางใกล้กับเซฟเฮ้าส์ลับดังกล่าว จนกระทั่งได้พบ น.ส.วันเพ็ญ เดินออกมาจากรั้วเซฟเฮ้าส์ลับดังกล่าวลักษณะแต่งกายมิดชิด สวมหมวกปิดบังอำพรางไม่ให้ใครจำได้ แต่ไม่รอดสายตาของ พ.ต.ท.มาโนชย์ ติดตามตัว น.ส.วันเพ็ญมาเป็นเวลากว่า 1 ปี จึงสามารถจดจำลักษณะท่าทางได้แม้จะปิดบังอำพรางไว้แล้วก็ตาม

‘อิ๊งค์’ โยน ‘เศรษฐา’ ตอบ หลังถูกสื่อนอกถามแทงใจดำ “พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคของตระกูลชินวัตรหรือไม่?”

เมื่อวานนี้ (17 มี.ค. 66) ที่ยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พรรคเพื่อไทย ได้จัดงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ พร้อมเปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครเลือกตั้ง ทั้ง 400 เขต

ทว่าช่วงหนึ่งของงานที่เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามนั้น ได้มีผู้สื่อข่าวต่างชาติถามขึ้นมาว่า “การที่ น.ส.แพทองธาร มาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย กังวลหรือไม่ว่าจะเป็นการตอกย้ำภาพความเป็นพรรคของครอบครัวชินวัตร” ทำให้ น.ส.แพทองธาร ส่งไมโครโฟนให้ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยเป็นผู้ตอบคำถามแทน ซึ่ง นายเศรษฐา ก็ได้ผายมือไปยังที่นั่งของคณะผู้บริหารพรรค และผู้ประสงค์ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ก่อนกล่าวยืนยันว่า “พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว บุคคลากรของพรรคเพื่อไทยล้วนแล้วเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยม มีความรู้ความสามารถทั้งสิ้น พวกเขาที่มาไม่ใช่ ‘ชินวัตร’ ให้เครดิตพวกเราหน่อยน่า ผมขอร้องคุณ”

ผู้สื่อข่าวถามต่อไปยัง น.ส.แพทองธาร ว่าอะไรที่ทำให้เธอเหมาะสมต่อการเป็นผู้นำ เธอตอบว่า “พรรคของเราแข็งแกร่งมากด้วยนโยบายต่าง ๆ พรรคของเรา ทีมของพวกเรา มีความสามารถ เคยทำงานมาแล้ว และจะมาทำมันอีกครั้ง โดยครั้งนี้ จะทำให้คนไทยร่ำรวยยิ่งขึ้น สะดวกสบายมากขึ้นด้วยนโยบายของเรา แม้นายกฯ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ดิฉัน แต่ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล นั่นคือคำตอบของประเทศ”

นอกจากนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงรายละเอียดในนโยบายเติมรายได้ 20,000 บาทต่อเดือนต่อครอบครัวว่า นโยบายดังกล่าวคิดจากครัวเรือน ไม่ใช่คิดต่อคน ถ้าครอบครัวใดรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน เราจะเติมเงินให้เพื่อให้เขามีศักยภาพในการดำเนินชีวิต และเสียภาษีกลับมายังรัฐบาล ย้ำว่าเราจะไม่ใช้นโยบายแจกเงินไปทั่วและไม่ได้อะไรกลับมาเลย โดยเราไม่สามารถใส่เงินไปแค่จุดเดียว และแก้ปัญหาไปวันต่อวัน อันนี้คือนโยบายกระตุ้นฐานราก พร้อมกระตุ้นทั้งระบบอีกด้วย

หลังจากนั้น นายเศรษฐา ก็ได้กล่าวเสริมถึงนโยบายใหม่ที่จะการตอกย้ำเป้าหมายชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย ที่เชื่อว่านโยบายต่าง ๆ ที่เปิดตัวจะเป็นนโยบายที่ลงไปถึงประชาชนทุกคน ซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์สุดท้ายที่จะทำให้ชนะการเลือกตั้งได้อย่างแน่นอน

‘การเหยียดเพศ’ พฤติกรรมฝังรากของ ‘ชาวตะวันตก’ ที่เชื่อฝังหัวว่า ‘ขัดหลักศาสนา’ ฝากบาดแผลทุกยุคสมัย

ก่อนที่เราจะกลับบ้าน เราถามไมเคิลกับเจมส์ว่าจะให้ไปส่งบ้านไหม เขาทั้งสองบอกว่าก็ดีเหมือนกันเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าแท็กซี่กลับ ระหว่างทางไมเคิลกับเจมส์ก็เอ่ยปากชวนเราไปทานอาหารแถวบ้านพวกเขาในวันอังคารที่จะถึง ส่วนเราพอได้ยินแบบนั้นก็รีบตอบตกลงไปทันที เพราะตื่นเต้นจะได้มีเพื่อนไปทานอาหารตอนกลางคืน เพราะส่วนใหญ่ตัวเราจะไม่ค่อยทานอาหารเป็นเรื่องเป็นราว เรามักจะทานโดนัทหรือขนมขบเคี้ยวที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเสมอๆ

เมื่อถึงวันอังคาร เรารีบทำการบ้านจากโรงเรียนสอนภาษาให้เสร็จ เนื่องจากเรารู้ว่าเจอสองคนนี้ต้องพูดคุยกันจนถึงดึกแหง ๆ เราขับรถไปหาไมเคิลกับเจมส์ที่หน้าบ้านเขา เมื่อพวกเขาลงมาไมเคิลก็บอกให้หาที่จอดได้เลย ร้านอยู่ไม่ไกลนัก เดินประมาณห้านาทีจากบ้านเขาก็ถึง 

ประจวบเหมาะว่าวันนี้เป็นวันที่มีคอนเสิร์ตในบริเวณนั้นด้วย พวกเราเลยวนหาที่จอดรถประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าเราจะได้ที่จอดรถ ซึ่งห่างจากร้านอาหารพอสมควร ต้องเดินกันเกือบสิบห้านาที เราก็บอกกับทั้งสองว่าดีเหมือนกันเราได้ออกกำลังก่อนทานอาหารค่ำ ระหว่างที่เดินไปนั้นเราก็คุยกันเรื่องต่าง ๆ อย่างเมามัน สักครู่เราสามคนก็ได้ยินคนทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนมาจากข้างหลัง เราหันขวับไปเห็นเด็กหนุ่มผิวสีอายุไม่ถึงสิบแปดเดินควงสาวทำลอยหน้าลอยตาแล้วกล่าวว่า ‘Three fags on the road’ ซึ่งหมายถึง ‘ตุ๊ดสามนางบนถนน’

ไมเคิลบอกว่าไม่ต้องไปสนใจให้เดินต่อไป แต่เจมส์อดรนทนไม่ไหวหันกลับไปต่อคำว่า “Grow up” คล้าย ๆ กับว่า “โตซะบ้างได้แล้ว” ทันทีที่เจมส์หยุดพูด ไอ้หนุ่มปากเปราะรี่เข้ามาหาเจมส์และชกเขาล้มไป ไมเคิลโกรธจนหน้าแดงเลยวิ่งไปจะช่วยสู้กับเจ้าตัวร้าย 

ส่วนสาวที่ไอ้หนุ่มน้องควงมาด้วย ก็พยายามเข้ามาห้ามทัพ ตะโกนบอกให้หยุด ๆ หลายครั้ง ไอ้ตัวแสบได้สติเลยวิ่งหนีไป ทั้งไมเคิลและเจมส์รีบวิ่งตามไป แต่สองคนนั้นวิ่งหายเข้าไปในตึกอพาร์ตเมนต์ ส่วนเราสามคนที่วิ่งตามไปอย่างกระชั้นชิด ก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขวางไว้ไม่ให้เข้า โดยให้เหตุผลว่าพวกเราไม่ใช่ผู้อยู่อาศัยในตึกนั้น พวกเราทั้งสามหัวเสียไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ดึงดันจะเข้าไป พออารมณ์เย็นลงก็มาคิดกันว่าจะทำอย่างไรต่อดี ไมเคิลบอกว่าควรจะไปแจ้งตำรวจที่โรงพัก เราเลยขับรถมุ่งไปที่โรงพักใกล้ ๆ แถวที่เกิดเหตุ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทั้งสามคนไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นสิ่งที่ชนกลุ่มน้อยเผชิญอยู่ทุกวันในอเมริกา มันคือการเหยียด (discrimination) ประเทศนี้มีการเหยียดหลายอย่าง เช่น เหยียดสีผิว เหยียดเพศหลากหลาย เหยียดอายุ เหยียดความพิการ 

แต่ในที่นี้ขอเน้นแค่การเหยียดเพศหลากหลาย ประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดมาจากการก่อตั้งของพวก Puritan pilgrims พวกเขาคือชาวอังกฤษที่เคร่งศาสนาคริสต์และมุ่งมั่นที่จะตัดพิธีกรรมของคาทอลิกออกจากนิกายของอังกฤษ (Church of England) อย่างสิ้นเชิง เมื่อทางรัฐบาลอังกฤษไม่น้อมเอนตามอุดมการณ์ของพวกเขา พวกเขาจึงหนีมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนใหม่ในช่วงต้นคริสต์ศักราช 1700 เพื่อจะได้มีอิสระในการนับถือศาสนาตามแนวคิดของตน 

ต่อมาแนวคิดทางศาสนาของพวกเขาได้พัฒนาเป็นนิกาย Evangelical ที่เข้มงวดในการปฏิบัติตามคำสอนพระคัมภีร์ไบเบิลทุกประโยค พวกเขาตีความว่าชาวเพศหลากหลายนั้นไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า เพราะชาวคริสเตียนควรที่จะเกิดมาเพื่อสืบพันธุ์และเผยแพร่ศาสนา ความต้องการทางเพศที่ไม่ได้ลงเอยด้วยการเกิดบุตรธิดานั้นเป็นการขัดต่อคำสอนของพระคัมภีร์และเป็นบาป 

ความเชื่อทางศาสนาของพวกเขาเป็นฐานการสร้างกฎหมายของประเทศ คนที่ไม่ได้เป็นหญิงชายตามหลักความเชื่อถูกจัดว่าเป็นคนลักเพศและควรจะถูกลงโทษตามกฎหมาย พ่อแม่เห็นลูกมีแนวโน้มที่จะชอบเพศเดียวกันก็จะจับลูกเข้าไปทำบำบัดเปลี่ยนความชอบทางเพศ (conversion therapy) ซึ่งบางทีใช้ไฟช็อต, เฆี่ยน, ขู่ หรือใช้ยากล่อมประสาท ผู้ที่ไม่ยอมทำตามที่สังคมกำหนดให้เดินมักจะสังสรรค์กันในสถานที่ลับ 

บ่อยครั้งที่ตำรวจได้เบาะแส พวกเขาก็จะไปบุกทำลายสถานที่นั้นและใช้กำลังเกินกว่าเหตุเพื่อจับกุมผู้ร่วมชุมนุม สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) เมื่อตำรวจเข้าไปบุกบาร์ใน Stonewall Inn ณ มหานครนิวยอร์ก ชาวเพศหลากหลายในบาร์นั้นไม่สามารถทนถูกกดขี่อีกต่อไปจึงฮึดสู้กับเหล่าตำรวจจนกลายเป็นจุดเริ่มของการเรียกร้องเสรีภาพทางเพศจนประสบความสำเร็จในหลายเดือนให้หลัง 

หลังจากนั้นพวกเขาได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายของรัฐที่มีความคิดก้าวหน้า เช่น แมสซาชูเซตส์ กฎหมายคุ้มครองขยายจากทีละรัฐจนกลายเป็นกฎหมายของประเทศ ทางรัฐบาลจกำหนดว่าการทำร้ายผู้ที่อยู่ในกลุ่มเพศหลากหลายเป็นอาชญากรรมที่เกิดการความเกลียด (hate crimes) ที่ควรจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก ถ้าอยากทราบรายละเอียดสามารถอ่านได้ที่: https://www.justice.gov/hatecrimes/learn-about-hate-crimes 

นอกจากนั้นปี 2015 (พ.ศ. 2558) ชาวอเมริกันในกลุ่มเพศหลากหลายได้รับสิทธิที่จะแต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามพวกเคร่งศาสนาพยายามที่จะลิดรอนสิทธิ์ของชาวเพศหลากหลายมาโดยตลอด 

และการเหยียดทางเพศทะลุสถิติอีกครั้งหลังจากที่ Donald Trump เข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในปี 2016 (พ.ศ. 2559) ข้อมูลจากข่าวของโทรทัศน์ช่อง NBC สถิติการทำร้ายชาวเพศหลากหลายเพิ่มขึ้น 50% ในหนึ่งปีหลังจากที่ทรัมป์ได้รับเลือกตั้ง  อ่านเพิ่มได้ที่: https://www.nbcnews.com/feature/nbc-out/anti-lgbtq-homicides-nearly-doubled-2017-report-finds-n840011 

ไม่แปลกเลยที่การเหยียดต่อชาวกลุ่มน้อยต่างพวกจะทะลุเป้าในช่วงที่ทรัมป์อยู่ในทำเนียบขาว เพราะตัวเขาเองซึ่งเป็นผู้นำก็โป้ปดมดเท็จให้ร้ายกับชาวผิวสีและคนจีน 

พลเมืองที่เลียนแบบทรัมป์ โดยเฉพาะสาวความคิดอนุรักษ์นิยมอายุสามสิบต้น ๆ ในนาม Libs of TikTok ใน Twitter ได้กุเรื่องว่าชาวเพศหลากหลายพยายามจะหลอกเด็ก ๆ มาเลี้ยงเพื่อต้องการล้างสมองให้เป็นคู่นอน 

นอกจากนั้นยังหาว่าสาว ๆ ที่ข้ามเพศมาจากชายจะแต่งตัวเป็นหญิงเพื่อแอบปล้ำผู้หญิงที่เข้าห้องน้ำ ที่ร้ายที่สุดก็คือปั้นน้ำเป็นตัวว่าโรงพยาบาลเด็กในบอสตันทำลายอวัยวะเพศของเด็กเพื่อผ่าตัดข้ามเพศ คนที่คิดตามโพสต์ของนางบางคนหลงเชื่อ จนเกิดโมหะและพากันตราหน้าหรือขู่ทำร้ายพวกเพศหลากหลาย แถมยังขู่วางระเบิดโรงพยาบาลเด็กสองครั้งติด ๆ กันเพื่อที่จะป้องกันเด็กไม่ให้ข้ามเพศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://www.boston.com/news/crime/2022/11/16/boston-childrens-hospital-bomb-threat-gems-program-gender-multiservices-anti-trans/ 

นักการเมืองที่ทะเยอทะยานอยากได้คะแนนเสียงจากพวกที่เหยียดชาวเพศหลากหลายพากันออกกฎหมายลิดรอนสิทธิ์เสรีภาพของพวกเขา เช่น Florida ลงโทษพ่อแม่ที่สนับสนุนให้ลูกข้ามเพศ โดยทางรัฐจะเอาเด็กไปให้ญาติหรือคนรู้จักที่ไม่เห็นด้วยต่อการข้ามเพศดูแลแทนพ่อแม่ อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://www.eqfl.org/Anti-Trans-Care-Bill-Filed-Senate 

ทาง Texas จะออกกฎหมายห้ามไม่ให้ทุกคน (ทั้งเด็กและผู้บรรลุนิติภาวะ) ผ่าตัดข้ามเพศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://www.cbsnews.com/news/texas-bill-ban-gender-affirming-care-transgender-adults/ 

ส่วนที่ Tennessee เพิ่งออกกฎหมายห้ามไม่ให้นักแสดงแต่งตัวข้ามเพศต่อหน้าสาธารณชนและเด็ก อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://www.npr.org/2023/03/06/1161452175/anti-drag-show-bill-tennessee-trans-rights-minor-care-anti-lgbtq-laws 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top