Sunday, 22 June 2025
ค้นหา พบ 48945 ที่เกี่ยวข้อง

ผบ.ตร.ควง ปลัด มท.,ปลัด สธ.และเลขา ป.ป.ส. ตรวจเยี่ยมโครงการ 'หนองบัวลำภูต้นแบบสีขาวปลอดยาเสพติด'

ผบ.ตร.ควง ปลัด มท.,ปลัด สธ.และเลขา ป.ป.ส. ตรวจเยี่ยมโครงการ 'หนองบัวลำภูต้นแบบสีขาวปลอดยาเสพติด' ชื่นชมความสำเร็จ ชงเป็นโมเดลยั่งยืนต้นแบบ ขยายใช้ทั่วประเทศสนองนโยบายรัฐบาล ด้านผู้บำบัดขอบคุณภาครัฐ เหมือนได้ชีวิตใหม่ พร้อมมอบรางวัล “ทำดีมีรางวัล” ให้ สวญ.สภ.หัวโทน จ.ร้อยเอ็ด ผู้คิดค้นรูปแบบเฝ้าระวังผู้ป่วยจิตเวช 

เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายสุวิทย์ จันทร์หวร ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัยผู้บัญชาการ ประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.พงพิพัฒน์ ศิริพรวิวัฒน์, ผบก.ภ.จว.หนองบัวลำภู ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จังหวัดหนองบัวลําภู ในระยะเวลาเร่งด่วน 3 เดือน (หนองบัวลําภูต้นแบบสีขาวปลอดยาเสพติด) ณ ศูนย์ปฏิบัติการชุมชนยั่งยืนบ้านท่าอุทัย (ศาลาประชาคมบ้านท่าอุทัย) ต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู โดยมี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และภาคีเครือข่าย ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ให้การต้อนรับ 

จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญใน ต.อุทัยสวรรค์ จ.หนองบำลำภู มติ ครม. โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำหนดให้ จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นโมเดลต้นแบบแก้ปัญหายาเสพติด 

จังหวัดหนองบัวลำภู จึงได้จัดทำโครงการ “หนองบัวลำภูต้นแบบจังหวัดสีขาว” มีผู้ว่าราชการจังหวัดนั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน บูรณาการร่วมกันทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร สาธารณสุข มีผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดจังหวัดหนองบัวลำภูในระยะเวลาเร่งด่วน 3 เดือน ด้วยแนวทาง “หนองบัวลำภูต้นแบบจังหวัดสีขาวปลอดยาเสพติดครบวงจร” ที่ครอบคลุมมาตรการป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษา และฟื้นฟูสภาพทางสังคม ได้แก่ 1) การแก้ไขปัญหาด้วยแนวคิด Change for Good โดย “5 เสือพาพี่น้องทำความดี” ทั้งระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน และคุ้ม 2) จัดทำตู้ราชสีห์ ผ่านระบบ QRCODE กระจายทุกหมู่บ้าน ตลาด ชุมชน สถานที่ราชการในทุกอำเภอ เพื่อประชาชนร้องเรียนร้องทุกข์ และแจ้งเบาะแสการกระทำผิด 3) จัดชุดกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. รพ.สต. ตำรวจ อาสาตำรวจ และหัวหน้า/คณะกรรมการคุ้ม 5,149 คุ้ม คัดกรองและดูแลผู้ป่วยจิตเวช โดยมี อสม. และ กม. ที่ผ่านการอบรมการดูแลสังเกตผู้ป่วย ทั้งมีทีมผู้พิทักษ์ และชุดนาคาพิทักษ์ เข้าระงับเหตุทันที หากมีผู้ป่วยคลุ้มคลั่ง 4) จัดทำ Family folder รวบรวมข้อมูลปัจจัยเพื่อเลิกยาเสพติด การช่วยเหลือ และข้อมูลครอบครัว ครอบคลุมทั้งสุขภาพ รายได้ และข้อมูลอื่น ๆ พร้อมทั้งส่งเสริมบทบาทหมู่บ้าน/ชุมชนมีส่วนร่วม ด้วยกองทุนแม่ของแผ่นดิน 272 กองทุน กองทุนหมู่บ้านยั่งยืน 67 หมู่บ้าน ซึ่งจากการ Re X-ray ข้อมูลในพื้นที่ พบผู้เสพ 2,044 คน ผู้ค้า 389 คน ผู้ป่วยจิตเวช 320 คน และได้คัดกรองประชาชนอายุ 12-65 ปี ในชุมชน พบผู้เสพ 701 คน เข้ารับการคัดกรองจำแนกเป็นสีแดง เข้าบำบัดรักษาที่โรงพยาบาล และสีเหลือง สีเขียว บำบัดโดยชุมชน และในด้านปราบปราม ได้สนธิกำลังตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด ถนนสายหลัก 7 จุด ถนนสายรอง 721 จุด ทำการสุ่มตรวจ 644 ครั้ง ตรวจพัสดุไปรษณีย์ 6 ครั้ง ขยายผลเครือข่ายยาเสพติดทำการยึดทรัพย์แล้ว 2 คดี และได้สุ่มตรวจเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อหาสารเสพติด 76 หน่วย 3,783 ราย พบมีสารเสพติด 43 ราย เข้ารับการบำบัดรักษา

มีโครงการชุมชนยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี คือ โครงการชุมชนยั่งยืนบ้านท่าอุทัย ต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู เป็นการบูณาการร่วมกันของตำรวจ ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข ชุมชน ท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่และวัดเข้ามามีส่วนในการร่วมกันแก้ปัญหา ปูพรมค้นหาผู้เสพในบ้านท่าอุทัย มีผู้เสพสมัครใจเข้าบำบัดจำนวน 48 ราย คัดกรองเป็นสีแดง 3 ราย นำส่งรักษาที่ รพ.นากลาง สีเหลือง 44 ราย และสีเขียว 1 ราย หลังจากนั้นนำทุกคนเข้าสู่การบำบัดฟื้นฟูตามรูปแบบ CBTx โดยใช้ชุดปฏิบัติการยั่งยืน จัดกิจกรรมบำบัดในรูปแบบผสมผสาน ทั้งศาสนาบำบัด อาชีพบำบัด และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์บำบัด เช่น การออกกำลังกาย การปลูกผัก ตัดอ้อย สามารถสร้างรายได้เสริมหลังฟื้นฟูสำเร็จ มีการตรวจปัสสาวะซ้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ยังมีผู้ที่มีผลติดยาเสพติดอยู่ไม่กี่ราย ส่วนที่เหลือหายเป็นปกติแล้ว คนที่ยังเลิกไม่ได้ ก็มีการรักษาต่อเนื่องไป ที่โครงการประสบความสำเร็จเพราะชุมชน ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วม ให้กำลังใจสร้างความเชื่อมั่นผู้เสพให้ ลด ละ เลิก ร่วมกันตั้งฉายาว่า “ผู้กล้าท่าอุทัย” ทำให้ผู้เสพมีกำลังใจ บำบัดฟื้นฟูผ่าน เป็นคนดีคืนสู่สังคม ใช้ชีวิตปกสุขร่วมกับชุมชนได้ 

สำหรับบรรยากาศการตรวจเยี่ยมโครงการ เป็นไปด้วยรอยยิ้ม ความสำเร็จที่ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ผู้เสพบางส่วนที่ผ่านโครงการแล้วได้มีงานทำ ได้ก้มกราบ ขอบคุณทั้งน้ำตากับเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน รวมทั้งผู้นำชุมชน ครอบครัวผู้เข้าร่วมโครงการได้ขอบคุณทุกๆภาคส่วนที่นำโครงการดีๆ เข้ามาช่วยบำบัดฟื้นฟู นำลูกหลานที่ติดยา ให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีคืนสู่สังคม ครอบครัว เหมือนได้ชีวิตใหม่ 

นอกจากนี้ ผบ.ตร.ยังได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและเงินรางวัลตามโครงการ “ทำดีมีรางวัล” ให้ พ.ต.ท.สมเกียรติ บัวนิล รรท.สวญ.สภ.หัวโทน จ.ร้อยเอ็ด ที่นำเอาเทคโนโลยี “line” มาใช้ในการบริหารจัดการเชิญ ครอบครัวผู้เสพ ผู้นำชุมชน ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข มาช่วยกันบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดตามโครงการชุมชนยั่งยืนฯ จนสามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นผู้คิดค้นมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน ผู้ป่วยจิตเวชก่อเหตุรุนแรง (หัวโทนโมเดล) ตามการขับเคลื่อนโครงการนาคาพิทักษ์ รักษ์ประชา ปัจจุบันมีทีมเผชิญเหตุ 2,549 ทีม และทีมผู้พิทักษ์ 3,361 ทีม พร้อมบูรณาการเจ้าหน้าที่ฟื้นฟู และส่งเสริมทักษะใช้ชีวิตในสังคม เพื่อให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตในสังคมได้

ผบ.ตร.กล่าวว่า “ หลังการมีมติประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามแนวทางที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีข้อสั่งการเรื่องยาเสพติด กำหนดให้จังหวัดหนองบัวลำภูเป็นต้นแบบของจังหวัดสีขาว ตนได้ส่งชุดตำรวจภูธรภาค 4 มาช่วยในการปราบปราม และส่งทีมวิทยากรต้นแบบ มาช่วยในชุมชนยั่งยืน สามารถค้นหาผู้เสพได้มาก และปราบปรามยาเสพติดได้เป็นอย่างดี แต่ภารกิจการแก้ปัญหายาเสพติดยังไม่จบ การทำงานต้องบูรณาการพื้นที่ที่ต้องดำเนินการต่อไปเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้น นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทุกจังหวัด เป็นขุนพลช่วยสนับสนุนผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ลงพื้นที่แก้ปัญหาและติดตามการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพราะ “การลงพื้นที่” เป็นคำตอบสุดท้ายที่พี่น้องประชาชนจะพึงพอใจและรู้สึกว่าปลอดภัย ดังนั้นตำรวจทุกหน่วยต้องร่วมกันลงพื้นที่ร่วมกันบูรณาการกับฝ่ายปกครองและทุกหน่วยอย่างจริงจังต่อเนื่อง

จังหวัดหนองบัวลำภู ถือเป็นโมเดลต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามโครงการ “หนองบัวลำภูต้นแบบจังหวัดสีขาว” มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่เข้มแข็ง นั่งหัวโต๊ะร่วมกับตำรวจ ฝ่ายปกครอง ทหาร สาธารณสุข ชุมชน รวมทั้งวัด ในการนำผู้เสพเข้าสู่ขบวนการบำบัดฟื้นฟู โดยเฉพาะโครงการชุมชนยั่งยืนฯ บ้านท่าอุทัย ซึ่งหลังเกิดเหตุโศกนาฏกรรม ทุกภาคส่วนลงพื้นที่ร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง มีการค้นหาผู้เสพ เข้าสู่กระบวนการชุมชนบำบัดฟื้นฟู ฝึกอาชีพ สร้างรายได้ ที่สำคัญ ชาวบ้านต่างให้กำลังใจผู้เสพให้ลดละเลิก จนโครงการประสบความสำเร็จ สามารถคืนคนดีสู่สังคมได้ 

ส่องมาตรการช่วยเหลือยามโควิด19 ระบาด คำสัญญาว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” จากบิ๊กตู่

ด้วยคำยืนยันจากปากของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' ว่า "เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" ซึ่งคือคำสัญญาอย่างดีที่มีต่อประชาชนชาวไทย โดยเห็นเป็นรูปธรรมที่สุดผ่านนโยบายต่าง ๆ ท่ามกลางวิกฤต ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลังจริง ๆ อย่างที่ลั่นวาจา

โดยอาจสรุปย่อ ๆ ได้ดังนี้ มาตรการดูแลค่าเสี่ยงภัยให้บุคลากรทางการแพทย์ 20,000 เยียวยาผู้ประกอบการต่าง ๆ ด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ มาตรการดูแลเยียวยาอาชีพอิสระที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม เช่น แรงงานนอกระบบประกันสังคม 16 ล้านคน ชดเชยรายได้เกษตรกร 10 ล้านคน เยียวยากลุ่มเปราะบาง 6.8 ล้านคน รวมถึงกลุ่มผู้ไม่ได้รับการเยียวยาใด ๆ อีก 1.16 ล้านคน

เฉพาะยอดรวมงบประมาณการดูแลและเยียวยา (รอบสอง) ก็ได้ใช้จ่ายเพื่อ 'ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง' ไปถึง 455,956 ล้านบาท ช่วยเหลือแรงงานคนไทยได้เกือบ 34 ล้านคน หรือมากกว่า 50% ของประชากรทั้งประเทศ พร้อมกับปล่อยสินเชื่อฉุกเฉิน สินเชื่อพิเศษ สินเชื่อเพิ่มสภาพคล่องฯ รวมถึงการยืดชำระ ลดหย่อน ยกเว้นภาษีแทบทุกรูปแบบ คิดเป็นรายได้ที่รัฐต้องแบกรับเกินกว่าสามพันล้านบาท

ไทยเราบอบช้ำกับการระบาดรอบสองอย่างแสนสาหัสที่สุด

กล่าวโดยย่อ คือ รัฐบาลใช้เงินจำนวนมหาศาลมากกว่า 2.8 ล้านล้านบาท ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อดูแลความเดือดร้อนไม่ให้ตกอยู่กับประชาชนจนมากเกินไปนั่นเอง

หากพวกอยู่ไม่สุขอยากทราบว่างบประมาณเท่านี้ซื้อเรือดำน้ำได้กี่ลำ? ก็อยากให้ลองเอาตัวเลข 11,250 ล้านบาทหารดู โดยที่ไทยยังติดอยู่ใน 4 ประเทศอาเซียนที่ยัง 'ไม่มีเรือดำน้ำ' เหมือนกับฟิลิปปินส์ กัมพูชา และลาว แต่ยังรักษาแสนยานุภาพทางทหาร เป็นลำดับสามของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

11 ต.ค.2564 'ไทย' การประกาศชัยชนะเหนือโควิด พร้อมรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว

ถ้าปักหมุดที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2563 คือจุดเริ่มต้นเผชิญหน้ากับโควิด-19 ในประเทศไทย วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2564 จึงอาจถือเป็นเส้นชัยสำคัญต่อการประกาศชัยชนะต่อเชื้อโรคระบาดที่ปกคลุมทั่วราชอาณาจักรผืนนี้ก็ได้

"...หากไม่นับช่วงศึกสงคราม นี่ถือเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากการแพร่ระบาดของโควิด-19" คือบทขึ้นต้นของแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี - เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว ณ ไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา

เพราะเหตุใด? ผู้นำรัฐบาลจึงเลือกทางเสี่ยงรับนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประตูเมือง ทั้งที่ยังมีโอกาสสูงที่พวกเขาอาจมาพร้อมเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ๆ จนเกิดแพร่ระบาดใหญ่บนแผ่นดินไทยอีกระลอก

ด้วยข้อมูลท่องเที่ยวของ 'Global Travel' ซึ่งระบุว่าปี 2019 ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 3.06 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของมูลค่าเศรษฐกิจทั้งประเทศ นั่นคือวิสัชนาอันชัดเจน

จริงอยู่ที่ไทยเราเป็นประเทศผลิตและส่งออกอาหารแหล่งสำคัญของโลก ที่ถึงแม้ปิดตายประเทศ ปิดการส่งออกทุกด่านชายแดนและน่านฟ้า เราคนไทยก็ยังสามารถดำรงชีพอยู่ร่วมกันได้อีกหลายปี หรืออาจตลอดกาลนาน แต่เราก็จำเป็นต้องพึ่งพิงเม็ดเงินจากต่างแดนเข้ามาพัฒนาต่อยอดในรูปของการท่องเที่ยวมานานเนิ่นเฉกเช่นเดียวกัน

ถึงเป็นมาตการ 'กินบุญเก่า' อันมีบรรพบุรุษรุ่นก่อนสร้างสมไว้ให้จนเกิด 'อัตลักษณ์' ซึ่งต่อยอดสู่ 'ซอฟท์ พาวเวอร์' (Soft Power) ผ่านการโฆษณาขายอย่างมีกุศโลบายที่แบยบยลอีกทีหนึ่ง

ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไทยเคยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางหมุนเวียนถึง 40 ล้านคนต่อปี จากหลากหลายสัญชาติ โดยแต่ละสัญชาติล้วนมีพฤติกรรมใช้จ่ายต่างกันไป นักท่องเที่ยวชาวจีนผู้มักมาเป็นกลุ่มใหญ่ (ทัวริ่งกรุ๊ป) พกเงินช็อปปิ้งและยอดซื้อของฝากกลับบ้านสูงกว่าชาติอื่น ๆ ขณะชาวยุโรปต้องการมาพักผ่อนหนีหนาว กลับชอบเดินทางด้วยตนเอง หรือเพียงกลุ่มเล็ก ๆ แต่กลับพักค้างอ้างแรมที่ใดที่หนึ่งเป็นระยะเวลานาน พร้อมกิน ดื่ม ท่องเที่ยวยามค่ำคืนชนิดไม่อั้นความสำราญ

ย้อนตำนาน 'รัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ' กับ 'รูปแบบการเลือกตั้ง' ที่เปลี่ยนไป

30 ปี นับตั้งแต่ปี 2535 จนกระทั่งปัจจุบัน ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์การเมือง ที่นำมาสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ คือ 2540 2550 และ 2560  โดยมีรูปแบบการเลือกตั้งที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เราจึงขอย้อนรอยเรื่องราวการเลือกตั้งที่สะท้อนจากรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งนอกจากจะแตกต่างกันแล้ว ยังส่งผลต่อหน้าประวัติศาสตร์การเมืองอีกด้วย

#รัฐธรรมนูญ2540…จุดเริ่มต้นบัตร 2 ใบ "เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ"
ปี 2538 ยุค นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี มีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง (คปก.) ขึ้น และนำมาสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดทางให้มี ‘สภาร่างรัฐธรรมนูญ’ ที่มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร.  99 คน  ประกอบด้วย สสร. 76 คนที่มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน กับตัวแทนนักวิชาการและผู้เชี่ยวขาญในสาขาต่างๆ ที่มาจากการคัดเลือกกันเองของสภาสถาบันอุดมศึกษาให้สภาพิจารณา อีก 23 คน เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสนอต่อรัฐสภา จนได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่ได้ชื่อว่าเป็นฉบับประชาชน และเกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนมากที่สุด 

ทั้งนี้รัฐธรรมนูญปี 2540 พลิกโฉมการเมืองไทยไปจากเดิม ด้วยระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โดย ส.ส.  500 คน มาจากแบบเลือกตั้งเขตเดียวคนเดียว 400 คน และมาจากแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ใชับัตรเลือกตั้งสองใบ คือ ใบแรก 'เลือกคน' คือ ส.ส.เขต แบบเขตเดียวเบอร์เดียว และ ใบที่สองเลือก ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ หรือ 'ปาร์ตี้ลิสต์' เป็นครั้งแรกเพื่อเพิ่มบทบาทของพรรคการเมืองและนโยบายของพรรค รวมถึง 'นายกรัฐมนตรี' ก็ต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น ขณะที่ ส.ว. 200 คน ที่เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบ กลั่นกรองกฎหมาย รวมถึงมีอำนาจในการ 'ถอดถอน' ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทั้งหมด 

รัฐธรรมนูญ ปี 40 ยังเป็นจุดเริ่มต้นขององค์กรอิสระ อย่าง  กกต.  ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นองค์กรตรวจสอบการทำงานของฝ่ายการเมืองมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ กลไกระบบเลือกตั้งที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 ยังส่งผลให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง และมีน้อยพรรค ทำให้การบริหารบ้านเมืองมีความต่อเนื่องมากขึ้น ปิดข่องรัฐบาลผสมที่มีหลายพรรคการเมือง 

แต่ระบบนี้ใช้ในการเลือกตั้งได้เพียงแค่ 2 ครั้ง คือในปี 2544 และ 2548 ก็เกิดปัญหาใหม่ เมื่อรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส ในการบริหารประเทศ และเกิดปัญหาเกี่ยวกับกลไกตรวจสอบ ถ่วงดุล ที่ทำได้ยาก จนถูกขนานนามว่าเป็น 'เผด็จการรัฐสภา' กระทั่ง 19 กันยายน 2549 เกิดการรัฐประหาร นำมาสู่การกำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ ฉบับปี 2550

#รัฐธรรมนูญ2550 ปรับระบบ 'ปาร์ตี้ลิสต์' จากหนึ่งเขตประเทศ เป็น 8 กลุ่มจังหวัด
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกจัดทำขึ้นโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ และจัดให้มีการลงประชามติจากประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ผ่านการเห็นชอบ ร้อยละ 57.81 ทั้งนี้มีการปรับระบบเลือกตั้ง กำหนดให้ ส.ส. มีจำนวน 480 คน มาจากแบบเลือกตั้งแบ่งเขตเรียงเบอร์ 400 คน และมาจากแบบบัญชีรายชื่อ จากเขตเลือกตั้งเดียวทั้งประเทศ มาเป็นกลุ่มจังหวัด 8 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน รวม 80 คน

ส่วน ส.ว. มีจำนวน 150 คน มาจากการเลือกตั้งใน 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน และที่เหลือมาจากการสรรหา ส่วนการเลือกตั้ง ในช่วงของการใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 เกิดขึ้น 2 ครั้ง โดยในครั้งแรก พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง ได้ 'สมัคร สุนทรเวช' เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ในยุค 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' สภามีมติแก้ไขระบบการเลือกตั้ง ส.ส. กลับไปใช้บัญชีรายชื่อบัญชีเดียวทั่วประเทศ 125 คน ก่อนมีการเลือกตั้ง และพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

ต่อมา ประเด็นเรื่องการนิรโทษกรรมสุดซอย รวมถึงปัญหาทุจริตจำนำข้าว นำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมืองระลอกใหม่ แนวโน้มเดินไปสู่ทางตันและความรุนแรง จึงนำมาซึ่งการยึดอำนาจอีกครั้งโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และนำมาซึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2560

บิ๊กบอสแห่งศึก ONE โดนท้าต่อยในฟิตเนส แต่เลือกปฏิเสธ แม้คว่ำคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย

เมื่อวันที่ (7 ก.พ. 66) 'ชาตรี ศิษย์ยอดธง' ประธานวัน แชมเปียนชิพ องค์กรศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวระดับโลก ออกมาเผยเรื่องราวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เขาโดนนักท่องเที่ยวท้าต่อยที่ฟิตเนส ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

บิ๊กบอสแห่งศึก ONE เผยว่าระหว่างที่เขากำลังออกกำลังกายในฟิตเนสของโรงแรม จู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งมาหาเรื่องชวนทะเลาะวิวาททำนองท้าต่อย แต่เจ้าตัวไม่อยากจะให้เรื่องบานปลาย ไม่อยากใช้ความรุนแรง จึงเลือกที่จะกล่าวปฏิเสธแบบสุภาพ

"นักท่องเที่ยวหัวรุนแรงรายหนึ่งเดินมาประจันหน้า แล้วท้าชกกับผมเมื่อวานนี้ ที่ฟิตเนสของโรงแรมที่ผมไปพักเป็นประจำในเมืองหัวหิน ประเทศไทย ผมมักจะแวะมาพักผ่อนระหว่างมาทำงานที่เมืองไทย เขามาเผชิญหน้ากับผมเพื่อขอใช้เครื่องออกกำลังกาย ซึ่งอ้างว่าเป็นของตัวเอง ตอนนั้นผมขอโทษเขาไปอย่างสุภาพ แต่ก็บอกไปด้วยว่านี่ไม่ใช่เครื่องของเขา ผมก็แค่มาใช้งานตอนที่มันกำลังว่าง ผมรู้สึกประหลาดใจมากที่เขาถามผมว่า ผมมีปัญหากับเขาหรอ ออกไปเจอกันข้างนอกหน่อยไหม" ชาตรี เริ่มกล่าว

"ผมคิดไม่ออกเลยสักนิดว่าผมจะเดินออกไปข้างนอก เพื่อสั่งสอนคนขี้คุยแบบนี้อย่างไรดี แต่ผมเห็นว่าเขามากับแฟน ผมตัดสินใจไม่อยากทำให้สถานการณ์บานปลาย ผมเลยรีบขอโทษเขาไปอย่างสุภาพอีกหนึ่งครั้ง และอวยพรให้เขามีสุขภาพที่ดี ก่อนจะเดินออกมา"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top