Wednesday, 25 June 2025
ค้นหา พบ 49000 ที่เกี่ยวข้อง

'หมอนิธิ' โพสต์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์งดรับของขวัญ-งานเลี้ยง แต่ขอเปลี่ยนของขวัญเป็นการแบ่งปันให้ผู้ป่วยยากไร้แทน

(23 พ.ย. 65) ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เข้าช่วงเทศกาล ขอประกาศ นโยบาย เรื่องของขวัญของ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ให้ทุก ๆ ท่านทราบนะครับ เราขอเพียงรอยยิ้ม 😊😊😊😊😊😊 และการแบ่งปันให้ผู้ป่วยด้อยโอกาส และนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ นะครับ สำหรับของขวัญและงานเลี้ยง ตามนี้ครับ

“ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์มีนโยบายงดรับของขวัญของกำนัลและร่วมสังสรรค์รับเลี้ยงกับบุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นหรือมีโอกาสเป็นคู่สัญญากับราชวิทยาลัยทุกประเภททุกกรณี”

ร่วมบริจาคสมทบทุนมูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์

‘เศรษฐา ทวีสิน’ ผู้มีกลิ่นอายคล้าย ‘ทักษิณ’ หมากใหม่ ‘ตระกูลชิน’ ที่กำลังเร่งแสงเรียกศรัทธา

สำหรับคอการเมืองแล้ว ทุกคนคุ้นหูนักธุรกิจชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แสนสิริ จำกัด ดี แต่ช่วงนี้ดูเหมือนว่าซีอีโอแสนสิริที่เพิ่งเปิดตัวว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในพรรคเพื่อไทยจะหิวแสงแสวงทัวร์ลงเป็นพิเศษ ซึ่งไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะนี่เป็นเพียงยุทธศาสตร์สร้างความสนใจ เพื่อให้เป็นที่กล่าวขวัญถึงในโลกโซเชียลแบบไม่ต้องควักกระเป๋าโปรโมทตัวเองโดยไม่ต้องจ้างทีมพีอาร์แต่อย่างใด  

คนอย่างเศรษฐา รู้จักการใช้สื่อโซเชียลเป็นอย่างดี ไม่ใช่ไก่กามาจากไหน เพราะนิยมใช้สื่อโซเชียล โดยเฉพาะทวิตเตอร์ สื่อสารกับคนรุ่นใหม่อยู่ตลอดเวลา

ล่าสุด โพสต์ข้อความว่า “ถ่ายทอดสดบอลโลก 300 ล้านได้ถ่าย 32 คู่และได้เลือกคู่เด็ดๆ ก่อน 600 ล้านได้ที่เหลือ 32 คู่ ที่นี่ประเทศไทยที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงครับ”0

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นดราม่า รถทัวร์จอดเพียบเต็มพื้นที่ เพราะชาวเน็ตถามว่าทางแสนสิริช่วยออกเงินค่าลิขสิทธิ์บอลโลกกี่บาท ซึ่งเศรษฐาตอบว่า “ไม่ได้ออกครับ” แล้วอ้างว่าบริษัทตนนั้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เล่นเอาเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่ม ส่วนหนึ่งบอกว่าหากอยากเป็นแคนดิเดตนายกให้เปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนที่จะสร้างกระแสความขัดแย้งให้สังคม เพราะกลุ่มบริษัทที่ช่วยออกเงินก็ไม่ใช่องค์กรสื่อ ธุรกิจอะไรถ้าอยากช่วยเหลือคนไทย ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น 

ก่อนหน้าที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพเอเปกเพียงแค่วันเดียว เศรษฐา ทวีสินก็ตีปลาหน้าไซ ด้วยการโพสต์ข้อความว่า...“6-8 ปีที่ผ่านมา ผู้นำของเราไม่ได้นำประเทศไทยไปมีจุดยืนในเวทีโลกเลย ผู้นำคนต่อไปผมว่าต้องกล้าที่จะเดินออกไปสู่เวทีโลก” 

มองมาจากดาวอังคารยังเห็นว่า ต้องการดิสเครดิตนายกรัฐมนตรีของไทยที่เป็นเจ้าภาพในการจัดงานใหญ่ระดับโลก เป็นเหมือนการ 'ตีกัน' และ 'ตีกิน' ทางการเมืองของ 'ว่าที่' แคนดิเดตเพื่อไทย แบบมุขห้าบาทสิบบาทก็เอา ขอให้ได้แซะตีกระทบชิ่งบางคน

นี่เป็นหนังตัวอย่างที่ฉายให้เห็น 'ตัวตน' ของว่าที่แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย ประเด็นที่น่าคิดคือทำไมต้องพรรคเพื่อไทย รู้ทั้งรู้ว่าหัวคะแนนทางอีสานเชิดชูสเปิร์มพันธ์แท้ของทักษิณ ชินวัตร อย่างอุ๊งอิ๊งสุดหัวใจ ที่น่าจับตามองคือ คนในตระกูลชินวัตรเปิดไฟเขียวพร้อมโบกธงให้เศรษฐาเข้ามาเป็นแคนดิเดตในพรรคอย่างชัดเจน 

ทั้งนี้หากให้ประเมินสถานการณ์ก็น่าจะเป็นความรักลูกสาวคนเล็กที่ตอนนี้กำลังท้องกำลังไส้ ไม่อยากให้เสี่ยงเกินตัว ดังเห็นได้จากการให้เล่นบท ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ เท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ ขนาดบทบาทนี้ ระดับหัวหน้าพรรคอย่างหมอชนน่านยังโค้งคำนับจนหลังแทบหักมาแล้ว 

การที่หวยมาออกที่เศรษฐา ทวีสิน เพราะภาพลักษณ์ของเศรษฐาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศ ขณะที่อุ๊งอิ๊งยังเด็กเกินไป การดันเศรษฐาไม่ใช่เรื่องใหม่ คอการเมืองต่างรู้ว่านายใหญ่ดันให้เป็นหนึ่งในรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย มาตั้งแต่ปี 2563 หรือเมื่อ 2 ปีก่อน การดันเถ้าแก่แสนสิริเป็นแคนดิเดตเพราะมีความ ‘เหมือน’ ทักษิณหลายด้าน โดยเฉพาะการบริหารประเทศแบบเดียวกับบริหารบริษัท

60 Plus Bakery & Cafe ขายดี ออร์เดอร์ล้น ขอบคุณคนไทยที่ร่วมให้โอกาสคนพิการ

นับเป็นอีกหนึ่งกระแสหลังจบงานเอเปค 2022 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อ 60 Plus Bakery & Cafe คาเฟ่จากทักษะกลุ่มผู้พิการได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทยและต่อยอดผลงานมาสู่แบรนด์ดี ๆ แบรนด์นี้ได้อย่างเด่นชัด

(23 พ.ย. 65) เพจเฟซบุ๊ก '60 Plus Bakery & Cafe' คาเฟ่ในความดูแลของมูลนิธิศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก หรือ APCD ผู้เชื่อมั่นในศักยภาพของผู้พิการไทย และตระหนักว่าสิ่งที่ผู้พิการไทยขาดคือการส่งเสริมพัฒนาทักษะ รวมทั้งโอกาสในการแสดงฝีมือ ซึ่งผลิตช็อกโกแลตที่ระลึกสำหรับงาน APEC 2022 ได้โพสต์ว่า...

ประกาศ...เรื่องช็อกโกแลต APEC ล็อตแรกหมดแล้วครับ ล็อตต่อไปจะแล้วเสร็จราววันที่ 6 ธันวาคม 

ท่านที่สั่งไว้ในอินบ๊อกซ์เพจ 60 Plus Bakery and Cafe จะสามารถได้รับช็อกโกแลต APEC ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว

แอควา พาวเวอร์ - ปตท. - กฟผ. ร่วมลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนไทย เดินหน้าสู่ฐานการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว

ปตท. เดินหน้าเสริมความมั่นคงด้านพลังงานไทย ผนึก แอควา พาวเวอร์ - กฟผ. ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนไทย สู่ฐานการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ตอบรับความต้องการใช้พลังงานสะอาดของประเทศและภูมิภาคอาเซียนในอนาคต 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ - เจ้าชายอับดุลอาซิซ บิน อับดุลอาซิซ อัล-เซาด์ (His Royal Highness Prince Abdulaziz bin Abdulaziz AL-Saud) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (Minister of Energy of the Kingdom of Saudi Arabia) และ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนาและลงทุนในโครงการไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง (Derivatives) เพื่อตอบสนองการใช้พลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงโอกาสการส่งออกไปยังภูมิภาคใกล้เคียง ระหว่าง บริษัท แอควา พาวเวอร์ จำกัด (ACWA Power) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมี ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยาน ณ บ้านปาร์คนายเลิศ กรุงเทพฯ

ตามที่รัฐบาลได้ประกาศคำมั่นว่าประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2065 ประเทศไทยมีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะเป็นฐานการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ในอนาคต ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน รวมถึงช่วยเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอนตํ่า (Low-Carbon Circular Economy) ของประเทศ และเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ท้าทายนี้ แอควา พาวเวอร์ ปตท. และ กฟผ. จึงได้ร่วมกันศึกษาโอกาสการลงทุนด้านพลังงานสะอาด เพื่อจัดตั้งโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ ในการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องในประเทศไทย และมีเป้าหมายผลิตไฮโดรเจนสีเขียวในประเทศไทยประมาณ 2.25 แสนตันต่อปี หรือเทียบเท่ากรีนแอมโมเนีย 1.2 ล้านตันต่อปี ด้วยเงินลงทุนประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อตอบรับเทรนด์การใช้พลังงานสะอาดที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก รวมถึงตอบสนองความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และศึกษาโอกาสในการส่งออกไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียน

นายแพดดี้ ปัทมานาทาน รองประธานกรรมการ บริษัท แอควา พาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า การประกาศความร่วมมือกับ ปตท. และ กฟผ. แสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของซาอุดีอาระเบีย ในการสนับสนุนพันธมิตรระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การสนับสนุนและร่วมศึกษาโอกาสการลงทุนในโครงการไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen)และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง (Derivatives) ในประเทศไทย ซึ่งมีวิสัยทัศน์ในทิศทางเดียวกับซาอุดีอาระเบีย ส่งมอบพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและพึ่งพาได้ เป็นการส่งเสริมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับวาระด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ความร่วมมือกับ ปตท. และ กฟผ. ในครั้งนี้จะเป็นการวางรากฐานที่จำเป็น รวมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ นวัตกรรม ตลอดจนทรัพยากรและความเชี่ยวชาญระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและบรรลุเป้าหมายต่อไป

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. มุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมสร้างเสถียรภาพทางด้านพลังงานแห่งอนาคตให้กับประเทศไทย ตามวิสัยทัศน์ 'Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต' ตลอดจนให้ความสำคัญต่อการสร้างความร่วมมือกับภาคีต่าง ๆ ในการผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดเพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญระดับประเทศและระดับโลก ปตท. จึงตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 15  ภายในปี ค.ศ. 2030  บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2040 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ

บทสรุป 3 การประชุมต่อเนื่องในภูมิภาคอาเซียน ‘สุดยอดผู้นำอาเซียน - G20 - APEC’

ตลอด 2 สัปดาห์ที่สายตาของคนทั่วโลกได้เฝ้าติดตาม 3 การประชุมต่อเนื่องที่เกิดขึ้น ณ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้…

- การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
- การประชุมเขตเศรษฐกิจ G-20 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
- และ การประชุมสุดยอดความร่วมมือเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC ณ กรุงเทพมหานคร

การประชุมทั้ง 3 ถือเป็นการประชุมระดับผู้นำครั้งใหญ่รอบสุดท้ายก่อนจบปี 2022

แม้การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน จะยังไม่ได้มีมาตรการอย่างเป็นรูปธรรมในการบริหารจัดการกับปัญหาทางการเมืองภายในของประเทศเมียนมา หากแต่ก็มีข่าวน่ายินดี ที่ผู้นำอาเซียนมีฉันทามติที่จะเริ่มต้นกระบวนการรับ ประเทศติมอร์ตะวันออก เข้าเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียน ลำดับที่ 11 ถึงแม้ว่ากระบวนการจนกว่า ติมอร์ตะวันออก จะสามารถเข้ามาเป็นสมาชิกอาเซียนได้อย่างสมบูรณ์ยังคงต้องใช้เวลา แต่อย่างน้อยที่สุด กระบวนการก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และนั่นเป็นหลักประกันว่า ประชาคมอาเซียน ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างเข้มแข็งในห้วงเวลาที่ดุลอำนาจทั้งภายในประเทศสมาชิก ในภูมิภาค และในเวทีโลกกำลังเปลี่ยนแปลง

ต่อมาการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก (East Asia Summit: EAS) ถึงแม้จะไม่สามารถแสวงหาแถลงการณ์ร่วมได้ เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างประเทศคู่กรณีหลากมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติการเมือง-ความมั่นคง ต่อกรณียูเครน และมิติเศรษฐกิจ รวมทั้งการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจในรูปแบบที่ผู้นำหลากหลายประเทศมีความห่วงกังวล ท่ามกลางสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยี แต่อย่างน้อยที่สุด เวที EAS ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้นำของมหาอำนาจที่ทรงอิทธิพลทางความมั่นคง การเมือง และเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกได้เปิดใจพูดคุยกัน 

ไม่ว่าจะเป็น Sergey Lavrov รมต.ต่างประเทศของรัสเซีย ที่ได้เปิดใจวิพากษ์สหรัฐฯ ที่ดำเนินนโยบายในการสร้างภาพลบให้กับจีน และรัสเซียในมิติเศรษฐกิจ ในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐ Joe Biden ก็ได้แสดงข้อห่วงกังวลต่อจีนในมิติที่ต้องการขยายอิทธิพลเข้าครอบงำอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น Fumio Kishida ที่ก็รับลูกนำไปขยายผลต่อ 

แต่เวทีนี้ก็ยังเปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีจีน Li Keqiang ได้อธิบายเจตจำนงของจีนในการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน และเคารพซึ่งกันและกัน ทั้งหมดแม้จะเป็นความขัดแย้ง ไม่สามารถสรุปผลและออกแถลงการณ์ร่วมได้ แต่ก็วางอยู่บนหลักการที่ไม่นำไปสู่ความรุนแรง หากยังสามารถนำพาผลของการเปิดใจเหล่านี้ไปสู่บรรยากาศที่ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นในการประชุมอีก 2 ประชุมที่ต่อเนื่องตามมา

บรรยากาศที่ผ่อนคลายหลังผ่านศึกการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ และหลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 20 ทำให้ทั้ง 2 ผู้นำมหาอำนาจแห่งโลก ประธานาธิบดี Joe Biden และ ประธานาธิบดี Xi Jinping สามารถหารือกันได้ในการประชุมทวิภาคีต่อเนื่องยาวนานถึง 3 ชั่วโมง 8 นาที และหลังจากที่ได้แสดงความไม่พอใจต่อกันไปแล้วจากเวที EAS การประชุม 2 ฝ่ายก็ทำให้ทั้งโลกมั่นใจได้ว่า ถึงแม้ทั้ง 2 ฝ่ายจะยังคงเป็นคู่แข่งขัน และยังคงต่อสู้กันต่อไปในทางยุทธศาสตร์ แต่อย่างน้อยที่สุดทั้ง 2 มหาอำนาจก็ได้ขีดเส้นแดงในประเด็นที่แต่ละฝ่ายไม่สามารถยินยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งล่วงละเมิดได้ และทั้ง 2 ฝ่ายก็ยอมรับ รวมทั้งยังจะเปิดช่องทางในการสื่อสารระหว่างกันให้มากกว่านี้ 

การประชุม G-20 แม้จะมีประเด็นหลักในการเดินหน้าสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสาธารณสุขหลังการระบาดของโควิด-19 การเตรียมความพร้อมสมาชิกสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และการเดินหน้าสู่การใช้พลังงานทางเลือก สำหรับ 1 เขตเศรษฐกิจ นั่นคือ สหภาพยุโรป และ 19 ประเทศสมาชิก แต่ด้วยสถานการณ์ความรุนแรงระหว่างรัสเซีย และพันธมิตร NATO ซึ่งปะทุในสนามรบยูเครน ทำให้ประเด็นการเมืองความมั่นคง ถูกดึงขึ้นมาเป็นประเด็นหลักของการประชุม (ยิ่งเมื่อมีสถานการณ์ขีปนาวุธจากระบบป้องกันภัยทางอากาศ ตกลงในพื้นที่ของประเทศโปแลนด์ก็ยิ่งสร้างความตึงเครียดให้กับการประชุมมากยิ่งขึ้น) 

แน่นอนว่า เมื่อผู้นำระดับโลกมารวมตัวกันมากขนาดนี้ คงปฏิเสธความรับผิดชอบในการที่จะไม่พูดถึงประเด็นความมั่นคงและประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองจนทำให้ผู้คนในยูเครนบาดเจ็บล้มตายไม่ได้ นั่นจึงนำไปสู่การประชุมทางไกลที่อนุญาตให้ประธานาธิบดี Volodymyr Zelenskyy เข้ามานำเสนอแผนการสร้างสันติภาพในยูเครน ซึ่งแม้จะทำให้ฝ่ายรัสเซียไม่พอใจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเดินทางกลับก่อนที่จะสิ้นสุดการประชุม G-20 แต่ผู้นำ G-20 ก็ยังคงสามารถออกปฏิญญาบาหลี ที่ประณามการรุกรานอำนาจอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนได้ แม้จะไม่มีคำว่า War และ Russia ในเอกสารก็ตาม

ความสำเร็จในการเจรจาพูดคุยเรื่องการเมือง ความมั่นคงจากเวที G-20 ทำให้ผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจที่มาประชุมกันต่อใน กรุงเทพมหานคร ในการประชุม APEC มีความตั้งใจที่จะเน้นการหารือมาที่ประเด็นเศรษฐกิจ ความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาปากท้อง ของประชากรกว่า 2 พันล้านคน จากเขตเศรษฐกิจที่ครอบคลุมกว่า 2 ใน 3 ของมูลค่าเศรษฐกิจของโลกได้อย่างไม่ต้องห่วงกังวล และนั่นทำให้ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2022 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการประชุม เขตเศรษฐกิจทั้ง 21 เขต จึงสามารถมีแถลงการณ์ร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์ทั้งใน 3 มิติ นั่นคือ...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top