Saturday, 28 June 2025
ค้นหา พบ 49086 ที่เกี่ยวข้อง

15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 การเลือกตั้งครั้งแรกในประเทศไทย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

วันนี้เมื่อ 89 ปีที่แล้ว เกิดการเลือกตั้งแรกของประเทศไทย ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย และเป็นการเลือกตั้งที่เรียกว่า 'เลือกตั้งทางอ้อม' ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวอีกด้วย

พระราชกฤษฎีกากำหนดให้กรมการอำเภอดำเนินการเลือกตั้งผู้แทนตำบล ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม - 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 เพื่อให้ได้ผู้แทนตำบล ซึ่งผู้แทนตำบลนี้จะเป็นผู้เลือกตั้งผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่ง โดยแต่ละจังหวัดจะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 1 คนต่อราษฎร 200,000 คน

ภายหลังทางการได้ดำเนินการเลือกผู้แทนตำบลเสร็จสิ้นแล้ว จึงได้ดำเนินการเลือกผู้แทนราษฎรในวันที่ 15 พฤศจิกายน ตามกำหนด ผลการเลือกผู้แทนปรากฏว่าได้ผู้แทนราษฎร 78 คน

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 6 อาหารมื้อพิเศษ

>> ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว 
กรกฎและจ้ำถูกกักบริเวณเนื่องจากเจอผงแป้งประหลาดในหอพัก พวกเขาจึงต้องอยู่ที่โรงเรียนต่อ โดยที่เพื่อนๆ คนอื่นได้กลับบ้าน กรกฎจึงตกลงกับจ้ำว่า หากพ้นจากการกักบริเวณแล้วจะต้องไปหาเขมิกาและสาวิตรีที่วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ

เรื่องเล่าทั่วไปเกี่ยวกับนักเรียนนายร้อย ในตอนเช้าของทุกวันหลังจากนักเรียนนายร้อยรับประทานอาหารเช้าแล้วก็จะมาเข้าแถว และกล่าวคำปฏิญาณตนก่อนเดินแถวไปเรียน และในตอนเย็นหลังจากเรียนเสร็จแล้ว ก็จะมาเข้าแถวเพื่อเดินแถวกลับมาที่ที่พัก ซึ่งประกอบด้วยโรงนอน และที่ทำงานของนายทหารปกครอง รวมๆ เรียกว่า 'กรมนักเรียนนายร้อย รักษาพระองค์'

จากวันที่ได้รับโทษต้องถูกกักบริเวณให้อยู่ในโรงเรียนเสาร์อาทิตย์ หลังจากนั้น จ้ำและกรกฎจะสลับกันลงมารวมแถวเป็นคนสุดท้ายเพื่อตรวจดูว่า มีผงแป้งตกอยู่ในห้องอีกหรือไม่ หรือมีใครแอบเอาแป้งมาโรยในห้องอีก

สัปดาห์นี้ผ่านไป โดยราบรื่น กรกฎและจ้ำได้กลับบ้านและจะได้ทำตามแผนที่วางไว้ 

....แผนที่จะไปหาสองสาวพยาบาลตำรวจนั่นเอง

เช้าวันเสาร์ ทั้งสองเดินทางด้วยรถเมล์สาย 29 จากอนุสาวรีย์ไปมาบุญครอง เมื่อรถเมล์มาจอดที่ป้ายตรงข้ามามาบุญครอง ทั้งสองก็เดินตัดผ่านสยามสแควร์ไปที่ข้ามถนนอังรีดูนังต์ไปที่วิทยาลัยพยาบาลตำรวจทันที

ระหว่างเดินไป ทั้งสองก็อมยิ้มไปตลอดทาง แม้แดดจะร้อน และต้องเดินไกลมากแค่ไหน แต่ก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

จ้ำนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าจะได้เจอกับสาวิตรี แต่ทางฝั่งกรกฎกลับใจตุ้มๆ ต่อมๆ ต้องลุ้นว่าจะเจอกับเขมิกาหรือเปล่า

ทั้งสองเดินไปหยุดหน้าวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ แล้วมองหน้ากัน จากนั้นพยักหน้าและเดินเข้าไปด้านใน (ท่าทางเหมือนโจรปล้นธนาคาร อย่างไงอย่างงั้นเลย)

ทั้งสองไปพบนักศึกษาพยาบาลที่เข้าเวร เพื่อแจ้งชื่อนักศึกษาพยาบาลที่ต้องการจะพบ ทั้งสองต้องเซ็นชื่อก่อนที่จะพบกับสองสาว 

จ้ำสังเกตท่าทางเพื่อนเห็นว่ามือสั่นแปลกๆ จึงกระซิบถาม

“กรกฎเป็นอะไรวะมือสั่นๆ”

“ไม่เป็นไร” กรกฎรีบตอบปฏิเสธ แต่จริงๆ แล้วในใจเต้นระรัว ตอนที่จรดปากกากับกระดาษแล้วเขียนชื่อ 'เขมิกา'

เมื่อเซ็นชื่อเสร็จ ทั้งสองก็รอให้ประกาศเรียกชื่อสองสาว ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก แต่ในความรู้สึกของกรกฎนั้นรู้สึกว่า นานมาก...มากแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน 

ส่วนระหว่างรอก็มีสาวๆ เพื่อนพยาบาลตำรวจหลายคนต่างมาออกันที่หน้าประตู ไม่ใช่เพราะมาดูดาราหรอกนะ แต่มาดูจ้ำและกรกฎต่างหาก พวกเธอต่างยกมือปิดปาก แล้วหัวเราะเสียงดังคิกๆ กัน

“จ้ำ กูเขินว่ะ” กรกฎเห็นแบบนั้นก็รู้สึกเขิน เลยกระซิบบอก “มองเราไม่พอ แอบหัวเราะกันอีก”

“เขินอะไรวะ มึงก็ส่งตาหวานไป แล้วเก๊กหน้าหล่อไว้ ไอ้ห่า เราผู้ชายนะโว้ย” จ้ำบอก แล้วหันไปมองไปที่กลุ่มสาวๆ ก่อนจะยิ้มส่งไปให้หนึ่งที

ไม่นานสิ่งที่รอคอยนับศตวรรษ เอ้ย หลายนาที ก็ปรากฏตัวออกมา กรกฎและจ้ำยิ้มทักทายสองสาวด้วยความสุขเต็มใบหน้า 

และเพื่อไม่ให้รู้สึกเขินอายเหล่าพยาบาลสาวที่เดินผ่านไปมา จ้ำและกรกฎก็เลยชวนสาวิตรีและเขมิกาไปทานอาหารกลางวันที่ร้านแถวสยามสแควร์

ผู้อ่านเดาว่า...พวกเขาจะทานอะไรกันครับ ?

'สุกี้โคคา' ?

ไม่ใช่ครับ ร้านตรงหัวมุมสยามสแควร์ซอย 7 ด้านใน ถ้าผม เอ้ย กรกฎจำไม่ผิดน่าจะชื่อร้าน 'เรือนคุณแม่' นี่แหละ

พอมาถึงทั้ง 4 คนก็พากันขึ้นไปบนชั้นสอง จ้ำและสาวิตรี สั่งอาหารมาทานกันอย่างเอร็ดอร่อยและสนุกสนาน

ส่วนกรกฎนั้น นั่งมองหน้าเขมิกาและปล่อยให้เขมิกาเป็นคนสั่งอาหารให้ โดยเขานั้น ไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย

ตำราแพทย์ต้องเขียนเรื่องการทำงานของกระเพาะขึ้นมาใหม่แล้วแหละ เพราะว่าตอนนี้หัวใจของกรกฎทำหน้าที่แทนกระเพาะอาหารไปแล้ว เพราะตอนนี้เขารู้สึกอิ่มเอมเพราะคว่มสุขที่ล้นหัวใจ

มิวสิก “~จะบอกว่ารัก เธอจะซึ้งหรือเปล่า อยากเอ่ยเรื่องราวที่มันยังค้างคาใจ ~ ได้แต่ถอนใจเก็บเอาไว้ไม่กล้าบอกเธอ ~”

ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปไว แต่ก็ผ่านไปด้วยดี ทั้งจ้ำและกรกฎกลับมาเรียนด้วยหัวใจที่พองโต ทุกอย่างเป็นสีชมพูไปหมด

‘MEA’ เปิดศูนย์ปฏิบัติการคุมระบบไฟฟ้าแบบบูรณาการ เสริมความมั่นคง-เตรียมรับมือเหตุฉุกเฉิน ช่วง ‘APEC 2022’

MEA เปิดศูนย์ปฏิบัติการควบคุมระบบไฟฟ้า บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมต่าง ๆ เตรียมความพร้อมและเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าสถานการณ์ฉุกเฉินในระดับสูงสุด ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับการประชุม APEC 2022

วันนี้ (14 พ.ย. 65) นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติการควบคุมระบบไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง รองรับการประชุม APEC 2022 ระหว่างวันที่ 14 - 19 พฤศจิกายน 2565 พร้อมบูรณาการหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกองค์กรเพื่อให้เกิดความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในระดับสูงสุด ณ อาคารวัฒนวิภาส การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานใหญ่ คลองเตย

สำหรับศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้ จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการประสานงานระหว่างศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยระบบ SCADA/EMS/DMS ทั้ง 2 แห่ง สถานีไฟฟ้า 22 สถานี รวมถึงการไฟฟ้านครหลวงทั้ง 18 เขต และสถานที่สำคัญ 26 แห่ง รองรับการจัดประชุม APEC 2022 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และหอประชุมกองทัพเรือ เป็นต้น 

โดยมีการเชื่อมโยงกับระบบปฏิบัติการ Field Force Management หรือ FFM กับระบบแผนที่ GIS เพื่อใช้ในสถานการณ์เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ให้สามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วและแม่นยำ พร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในรูปแบบต่าง ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ตามแผนรับมือเหตุวิกฤตของ MEA

เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางระบบไฟฟ้าสูงสุดในการจัดงาน APEC 2022 ครั้งนี้ MEA ยังได้ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมต่าง ๆ ช่วยการเตรียมความพร้อมในด้านระบบไฟฟ้า ได้แก่ การใช้เทคโนโลยี Acoustic Camera และ Thermovision สแกนตรวจเสียงในคลื่นความถี่สูง และตรวจจับความร้อนของอุปกรณ์ไฟฟ้า การใช้ Drone ตรวจสอบระบบสายส่งไฟฟ้า ใช้เทคโนโลยีการตรวจจับความผิดปกติในระบบไฟฟ้า เช่น Partial Discharge Power Transformer รวมถึงการตรวจสอบอุโมงค์ไฟฟ้าใต้ดิน 230 kV ติดตั้ง Battery UPS และ Generator อีกทั้ง ระดมเจ้าหน้าที่ MEA กว่า 700 คน ประจำสถานีไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องทุกสถานี จัดเจ้าหน้าที่ประจำห้องไฟฟ้าของโรงแรมที่พักทุกแห่ง พร้อมรถปฏิบัติงานกว่า 250 คัน พร้อมด้วย ทีม MEA Ready Rider ซึ่งเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วที่ปฏิบัติภารกิจแก้ไขไฟฟ้าขัดข้องเร่งด่วน โดยทั้งหมดนี้ จะกระจายตำแหน่งการดูแลตามจุดต่าง ๆ ให้สามารถรองรับได้ในทุกสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง

ฉวยโอกาส 'ก่อม็อบ-ก่อเหตุวุ่นวาย' ช่วงเอเปค 2022 กฎหมายหนัก โทษชัด รัฐจะไม่ใจดีเหมือนที่ผ่านมา

เสรีภาพเป็นสิ่งที่ควรมี แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ภายใต้ความมีอารยะ ใครที่คิดจะออกมาป่วนในการประชุม APEC ครั้งนี้ อยากให้คิดใหม่ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น มันจะเป็นปัญหาใหญ่ถึงขั้นกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเลยทีเดียว

(14 พ.ย.65) เพจ 'ฤๅ - Lue History' ได้โพสต์วิดีโอเตือนบุคคลบางกลุ่มกำลังจะก่อม็อบ ในงานจัดประชุมสัปดาห์ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค โดยมีใจความสำคัญดังนี้...

ในวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพงานจัดประชุมสัปดาห์ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่กำลังจะมีคนบางกลุ่มเฉพาะพวกที่ออกมาประท้วงยกเลิก 112 ฉวยโอกาสก่อม็อบ หรือแม้กระทั่งก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในงาน นี่คืองานระดับโลกมีผู้นำเข้ามามากมาย มีสื่อเข้ามามากมาย 

โดยเตือนว่างานนี้ทางรัฐบาลไม่ได้ใจดีเหมือนที่ผ่านมา เพราะมีกฎกติกาต่างๆ ออกมา รวมถึงการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้น การประชุมครั้งนี้มีตำรวจ ทหารทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบประมาณ 50,000 คน ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในทุกจุดรอบกรุงเทพ และเพิ่มกล้องวงจรปิดกว่าหมื่นตัวที่สามารถเชื่อมโยงได้ทุกพื้นที่ หากมีการชุมนุมเรียกร้องล้ำเส้นขึ้นมาจนเป็นความวุ่นวาย ไปกระทบต่อผู้นำประเทศต่างๆ จะถูกดำเนินคดีข้อหาหนัก และประวัติการก่อคดีจะถูกส่งต่อไปทั่วโลก

หากก่อม็อบแล้วเกิดอะไรขึ้นกับผู้นำต่างประเทศอย่างเช่น ปูติน หรือ สีจิ้นผิง หากถูกดำเนินคดีขึ้นมา จะมาเรียกร้องหาความถูกต้องแบบที่ผ่านมาไม่ได้ ที่สำคัญจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายคุ้มครองประมุขต่างประเทศนั่นคือ มาตรา 133 และ 134 ซึ่งสองมาตรานี้ เป็นกฎหมายคุ้มครองทั้งพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาทต่างประเทศ หรือผู้แทน, ตัวแทนประมุขรัฐต่างประเทศ โดยทั้งสองมาตราก็มีเนื้อหาเดียวกันกับมาตรา 112 ต่างแค่อัตราโทษของผู้ที่กระทำผิดเท่านั้น

“พอดูถึงตรงนี้อยากจะฝากถึงคนที่บอกให้ยกเลิกมาตรา 112 คุณลืมไปหรือเปล่าว่าเรามีมาตรา 133 และ134 ที่คุ้มครองประมุขต่างประเทศด้วย มันจะกลายเป็นเรื่องย้อนแย้งทางกฎหมาย ลองนึกภาพว่าทั่วโลกเขาจะมองประเทศเรายังไง คุ้มครองประมุขต่างชาติ แต่ไม่อยากคุ้มครองประมุขชาติตัวเอง” พิธีกรในคลิปกล่าว

ยังมีใจความอีกว่าหากมีคนบอกให้ยกเลิกมาตรา 112, 133, 134 ให้หมดเลย ถ้าทำอย่างนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ประเทศไทยจะเป็นประเทศป่าเถื่อนในสายตาชาวโลกทันที ทั้งที่ทั่วโลกมีกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศตัวเอง แต่เราไม่มีเลย ไม่คุ้มครองใครเลย แล้วใครจะอยากมาประเทศของเรา นั่นหมายความว่าเราไม่ให้เกียรติประมุขของพวกเขา ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์และเป็นเกียรติยศสูงสุดของประเทศ

เลขาธิการ ศรชล. ปฐมนิเทศกำลังพล ย้ำ 7 ศร รวมพลังหนึ่งเดียว สนองยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

เลขาธิการ ศรชล.ปฐมนิเทศกำลังพล ศรชล. ย้ำ 7 ศร รวมพลังหนึ่งเดียว สนองยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มอบนโยบาย 3 ด้านเพิ่มสมรรถนะ ทีมโกอินเตอร์ปราบค้ามนุษย์ดีขึ้น Tier2 - ยึดโปร่งใสเป็นธรรม

(14 พ.ย. 65) พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (รอง ผอ.ศรชล.) มอบหมายให้ พลเรือเอก ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสนาธิการทหารเรือและเลขาธิการ ศรชล. เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิดการปฐมนิเทศกำลังพล ศรชล.และรับมอบนโยบายการปฏิบัติงานของ ศรชล. ประจำปี งบประมาณ 2566 

โดย พลเรือตรี วิฉณุ ถูปาอ่าง ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนความมั่นคงทางทะเล ศรชล. พร้อมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงานราชการ ศรชล. ผู้แทนหน่วยงานในสังกัด ศรชล. ทั้ง 7 หน่วยงาน ประกอบด้วย กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมศุลกากร กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กองบังคับการตำรวจน้ำ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมให้การต้อนรับ ณ โรงแรม บางแสนเฮอริเทจ จังหวัดชลบุรี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน  

พลเรือเอก ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เลขาธิการ ศรชล. ได้กล่าวเปิดการปฐมนิเทศฯ โดยมอบนโยบายของ รอง ผอ.ศรชล. ประจำปีงบประมาณ 2566 แก่กำลังพล ศรชล. ประกอบด้วยนโยบายหลัก 3 ด้าน 3 หมุดหมาย อาทิ ด้านแผนและนโยบาย จัดทำแผนแม่บท ศรชล. รองรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ใช้เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติและพัฒนา ศรชล. อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนากลไก การขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในทุกมิติ การพัฒนาแนวทางการประชาสัมพันธ์ และการสร้างความตระหนักรู้ โดยกำหนดกลยุทธ์ให้สอดคล้องเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล   

ด้านการฝึกอบรมและบังคับใช้กฎหมาย มีการฝึกอบรมกำลังพลในหลักสูตรต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการ ยกระดับการปฏิบัติงานให้มีมาตรฐานสากล พัฒนาแนวทางในการปราบปรามการค้ามนุษย์ในแรงงานภาคประมงของประเทศไทย คงเทียบเท่าหรือดีกว่าระดับบัญชี 2 หรือ Tier 2 ในรายงาน TIP Report ของกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา และร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมในด้านที่เกี่ยวข้องกับ ศรชล. รองรับการตรวจประเมินจากองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ทั้งนี้ ยังให้ความสำคัญกับการประเมินผลและทบทวนการปฏิบัติงาน โดยวิเคราะห์ปัญหาและกำหนดแนวทางแก้ไข เพื่อถอดบทเรียนที่มีคุณค่า (Best practice) จัดทำเป็นคู่มือการปฏิบัติงาน และด้านธุรการ มุ่งเน้นสร้างความโปร่งใส และเป็นธรรม ในการจัดซื้อจัดจ้างที่ยึดผลประโยชน์สูงสุดในการช่วยเหลือประชาชน มีเครื่องแบบปฏิบัติงานที่แสดงถึงความเป็นเอกภาพ ในการบังคับใช้กฎหมาย ตามพระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.2562 ให้เป็นแนวทางเดียวกับนานาชาติ  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top