Thursday, 10 July 2025
ค้นหา พบ 49333 ที่เกี่ยวข้อง

ฟรุ๊ตบอร์ด เห็นชอบโครงการพัฒนาลำไยอย่างยั่งยืนพร้อมรับทราบรายงานผลการบริหารจัดการผลไม้ภาคใต้-ภาคเหนือ 1 ล้าน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (ฟรุ้ตบอร์ด-Fruit Board)ผ่านระบบการประชุมทางไกล (ZOOM ฝMeeting) โดยที่ประชุมได้เห็นชอบ“โครงการพัฒนาลำไยอย่างยั่งยืน “เพื่อปรับโครงสร้างการผลิตลำไยในฤดูและนอกฤดู เป็นสัดส่วนร้อยละ 60 : 40 ภายในปี 2567 ตามความต้องการของตลาดสอดคล้องกับแผนพัฒนาผลไม้ไทย ปี 2565 – 2570 และรายงานการศึกษาวิเคราะห์เสถียรภาพกลุ่มสินค้าลำไย รวมทั้งยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตโดยบูรณาการการทำงานเชิงรุกกับทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรสำรวจเกษตรกรที่ต้องการจะเข้าร่วมโครงการ พร้อมกับให้กระทรวงพาณิชย์จัดหาตลาดล่วงหน้า

เพื่อรองรับผลผลิตนอกฤดูตามเป้าหมายของโครงการและมอบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เสนอหลักการและคุณสมบัติเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการ และอัตราดอกเบี้ยในการเข้าร่วมโครงการ

ประชุมยังได้รับทราบผลการบริหารจัดการผลไม้ปี 2565 ประจำฤดูกาลผลิตที่ 2/2565 (กรกฎาคม – ตุลาคม) โดยสถานการณ์ลำไย ภาคเหนือ สามารถดำเนินการได้ตามแผนบริหารจัดการ มีผลผลิตรวมทั้งสิ้น 742,563 ตัน แบ่งเป็น กระจายผลผลิตภายในประเทศ จำนวน 138,677 ตัน หรือร้อยละ 18.68 ผ่านวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร Modern Trade ตลาดออนไลน์ และตลาดผลไม้ภายในจังหวัด เป็นต้น

อีกทั้งยังมีการแปรรูป ทั้งลำไยอบแห้งทั้งเปลือก ลำไยอบแห้งเนื้อสีทอง และอื่น ๆ เช่น ลำไยกระป๋อง และน้ำลำไยสกัดเข้มข้น จำนวน 511,434 ตัน หรือร้อยละ 68.87 และส่งออก จำนวน 92,451 ตัน หรือร้อยละ 12.45 สถานการณ์ทุเรียน ภาคใต้ มีปริมาณผลผลิตรวม 328,818 ตัน แบ่งเป็น กระจายภายในประเทศ จำนวน 116,868 ตัน หรือร้อยละ 35.54 การแปรรูป ทั้งแช่แข็ง อบแห้ง ฟรีซดราย กวน และอื่น ๆ จำนวน 18,191 ตัน หรือร้อยละ 5.53 และส่งออก จำนวน 193,760 ตัน หรือร้อยละ 58.93

สถานการณ์มังคุด ภาคใต้ มีปริมาณผลผลิตรวม 19,536 ตัน แบ่งเป็น กระจายภายในประเทศ 15,416 ตัน หรือร้อยละ 78.91 การแปรรูป ทั้งอบแห้ง ฟรีซดราย กวน และอื่น เช่น ไอศกรีม และน้ำมังคุด จำนวน 78 ตัน หรือร้อยละ 0.40 และการส่งออก (ผลสด) จำนวน 4,042 ตัน หรือร้อยละ 20.69

สถานการณ์เงาะ ภาคใต้ มีปริมาณผลผลิตรวม 25,956 ตัน และสถานการณ์ลองกอง ภาคใต้ มีปริมาณผลผลิตรวม 2,007 ตัน ซึ่งมีบริหารจัดการโดยการกระจายภายในประเทศทั้งหมด ผ่านล้งภายในประเทศ วิสาหกิจชุมชน Modern Trade ตลาดออนไลน์ และจำหน่ายถึงผู้บริโภคโดยตรง เป็นต้น

สำหรับความก้าวหน้าโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2564/2565 ฝ่ายเลขานุการ ได้เสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี โดยเสนอแนวทางให้มีขนาดพื้นที่ปลูกรายละไม่เกิน 25 ไร่ ในอัตรา 2,000 บาทต่อไร่ กรอบวงเงิน 3,821.54 ล้านบาท รอการบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

'ดารานักแสดง' ร่วมแสดงความยินดีกับ 2 ผู้บริหารสถาบัน 'เสน่ห์มายา ปั้นหน้าเปลี่ยนชีวิต' หลังจัดพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคล

ที่ร้านเสน่ห์มายา ปั้นหน้าเปลี่ยนชีวิต ซ.มังกร-นาคดี ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ นำโดย อาจารย์สุภาวดี แสงสูงเนิน พร้อมด้วย อาจารย์ธีร์ นันทวริศ 2 ผู้บริหารสถาบันเสน่ห์มายา ปั้นหน้าเปลี่ยนชีวิต และคณะกรรมการ จัดพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เปิดมงคลมหาบารมีพระแม่ธรณี ซึ่งในพิธีดังกล่าวมีการสะเดาะเคราะห์เสริมดวงชะตา รวมถึงการลงนะหน้าทอง นะเมตตา นะเสน่ห์มายา 

โดย ท่านอาจารย์ สัมพันธ์ กำบังภัย โหราศาสตร์แห่งบ้านโหรา ให้ความเมตตาเป็นเจ้าพิธี พร้อมด้วย อาจารย์สายมู ลูกแก้ว สื่อผ่านจิต อาจารย์วิโรจน์ ตลอดจน แขกผู้มีเกียรติและเหล่าศิลปินดาราร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก

พปชร.เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.ใต้ คนคุณภาพพร้อมดูแลปชช. ยกผลงาน 'สัมพันธ์ตะวันออกกลาง-ปราบยา' การันตี

(27 ต.ค.65) ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค พปชร. พร้อมนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร. ร่วมกันแถลงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ภาคใต้ จำนวน 19 คน จาก 10 จังหวัด ได้แก่...

1. นายสุรชัย แดงละอุ่น เขต 1 จ.ชุมพร 
2. นายสมมิตร ทองเหลือ เขต 2 จ.ชุมพร 
3. นายธีระศักดิ์ ปางวิรุฬห์รักษ์ เขต 3 จ.ชุมพร
4. นายพงศกร พรหมสุวรรณ เขต 1 จ.ระนอง

5. นายสุนทร รักษ์รงค์ เขต 6 จ.นครศรีธรรมราช
6. นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ เขต 2 จ.พังงา 
7. นายศิวกรณ์ เอ่งฉ้วน เขต 1 จ.กระบี่ 
8. นายสรวิศทชากร เลขานุกิจ เขต 2 จ.กระบี่ 
9. นายกิตติพงศ์ ผลประยูร เขต 1 จ.ตรัง 
10. นายทวี สุระบาล เขต 2 จ.ตรัง

องค์การสวนสัตว์ฯ ปล่อยนกกาฮังคืนสู่ธรรมชาติ หลังจากสูญหายไปจากผืนป่าภาคเหนือของประเทศไทย มานานกว่า 20 ปี

(27 ต.ค.65) ที่อุทยานแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง นายจำลักษ์ กันเพ็ชร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พร้อมด้วย นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย นายสักรินทร์ ปัญญาใจ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 สาขาลำปาง  นายนพรัตน์ รักษ์ไพรสาณฑ์ นายอำเภอเมืองปาน และคณะผู้บริหารองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ-เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในพื้นที่ภาคเหนือ มูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ ผู้นำชุมชน ผู้นำโรงเรียน ตัวแทนบริษัทเอกชน และชาวบ้านในจังหวัดลำปาง ร่วมกันเปิด “โครงการทดลองปล่อยนกกาฮังคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในเขตพื้นที่ภาคเหนือ” ณ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง ภายใต้แนวคิด “พานกกาฮังปิ๊กบ้าน” นำนกกาฮัง หรือ นกกก หนึ่งในนกเงือกขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย จำนวน 2 ตัวที่ได้รับการคัดเลือกและฟื้นฟูพฤติกรรมปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ถือเป็นนกกาฮังคู่แรกที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติของภาคเหนือ ภายหลังการสูญหายไปหมดสิ้น


                                                                              โดยทางคณะผู้วิจัยของสวนสัตว์เปิดเขาเขียว องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ภาคเหนือกว่า 6 แห่ง อาทิ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล อุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ อุทยานแห่งชาติขุนแจ อุทยานแห่งชาติศรีลานนา เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว สถานีวิจัยสัตว์ป่าดอยเชียงดาว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การสนับสนุนจาก วช., สกสว., บริษัท กรุงสยามเครื่องดื่ม จำกัด, เพจโครงการ SOS for birds and Turtle และโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยงพรีเมียร์ ในการศึกษาวิจัยภายใต้ชุดแผน “การบูรณาการจัดการประชากรและการฟื้นฟูพฤติกรรมนกกาฮัง เพื่อเตรียมความพร้อมในการทดลองปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่นำเอาการศึกษาทางด้านพันธุกรรม การศึกษาประเมินพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการทดลองปล่อย และการฟื้นฟูพฤติกรรมก่อนการนำปล่อยคืนสู่ธรรมชาติมาใช้บูรณาการร่วมกัน 

นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าปัจจุบันการแพร่กระจายของนกกาฮังในประเทศไทยตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ถีงแม้จะมีพื้นที่การกระจายที่กว้างแต่มีความหนาแน่นของประชากรต่ำ ทั้งนี้พบว่าบางพื้นที่ของประเทศไทย เช่น พื้นที่ทางภาคเหนือ นกกาฮังได้สูญหายจากธรรมชาติไปหมดสิ้น ในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา ทั้งนี้ทางองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ที่มีพันธะกิจหลักทางด้านการอนุรักษ์ วิจัยพันธุ์สัตว์ป่าหายากทั้งในถิ่นอาศัยและนอกถิ่นอาศัย ได้ดำเนินความพยายามในการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ จนมีจำนวนประชากรบางส่วนที่เพียงพอต่อการปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติเพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ซึ่งนกกาฮัง หรือ นกกก นั้นถือเป็นนกเงือก 1 ใน 13 ชนิดที่พบในประเทศไทย จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และอยู่ในบัญชีแดงขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (ไอยูซีเอ็น)  โดยองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ประสบความสำเร็จด้านการขยายพันธุ์นกกาฮังในสภาพเพาะเลี้ยง รวมถึงนกเงือกชนิดอื่นๆ บางชนิด ซึ่งมีการศึกษาวิจัยมาเป็นลำดับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โดยประสบความสำเร็จในการขยายพันธุ์นกกาฮังครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2545 และประสบความสำเร็จต่อเนื่องทุกปี ถึง ปัจจุบัน  เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญที่มีต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ และเป็นชนิดพันธุ์ที่มีความโดดเด่น ดึงดูดความสนใจของสาธารณะชนทั่วไปในการสร้างให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของสัตว์ป่าหายากที่ใกล้สูญพันธุ์ของประเทศไทยได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์ภาคเหนือของประเทศไทย ทั้งนี้ตามแผนระยะที่ 1 ทางโครงการวิจัยฯ มีแผนการทดลองปล่อยนกกาฮังคู่แรกคืนสู่ธรรมชาติในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ของอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง เพื่อศึกษาการใช้พื้นที่เชิงนิเวศ การกระจาย และการอยู่รอดได้ในพื้นที่ โดยจะทยอยปล่อยเพิ่มเติมเป็นระยะๆ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน รวมถึงพื้นที่ป่าอนุรักษ์ภาคเหนือแห่งอื่นๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น รวมถึงจะมีการดำเนินงานติดตามภายหลังการทดลองปล่อยที่สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของ IUCN SSC และ AZA ในการปล่อยสัตว์ป่าคืนสู่ธรรมชาติที่เป็นไปตามหลักทางวิชาการสากลในอีกหลายปีข้างหน้าต่อไป

นายกอบจ.นราธิวาส ร่วมงานเมาลิด 'I Love Nabi MUHAMMAD Sallallahu Alaihi Wasallam' ประจำปี ฮ.ศ.1444 พร้อมชาวมุสลิมในพื้นที่จำนวนมาก

นายกูเซ็ง ยาวอหะซัน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วย นายสาราหุดิน อาบู ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส และคณะสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส  ตลอดจนชาวมุสลิมในพื้นที่นราธิวาส ต่างเข้าร่วมกิจกรรมงานเมาลิด "I Love Nabi MUHAMMAD Sallallahu Alaihi Wasallam" ประจำปี ฮ.ศ. 1444 ซึ่งจัดขึ้นที่สนามกีฬากลางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนราธิวาส เมื่อวานนี้ 

โดยกิจกรรมงานเมาลิด "I Love Nabi MUHAMMAD Sallallahu Alaihi Wasallam" ประจำปี ฮ.ศ. 1444 จัดขึ้นโดยสถาบันศึกษาปอเนาะดรุสซอลีฮืน  ร่วมกับชมรมกลุ่มรถคลาสสิคนราธิวาส และกลุ่มคนรักนบี(I Love Nobi) และภาคีเครือข่าย กำหนดจัดกิจกรรมขึ้น ในวันพุธ ที่ 26 ตุลาคม
2565 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมนั้น ทางผู้จัดตั้งใจจัดขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ร่วมระลึกถึงวันประสูติของท่านศาสดานบีมูฮำหมัด (ซ.ล.) โดยก่อนเริ่มกิจกรรม มีการเชิญชวนด้วยการขับขี่รถจักรยานยนต์รอบเมืองนราธิวาส และจากนั้นมีการบรรยายธรรมศาสนาเล่าชีวประวัติของศาสดานบีมูฮำหมัด (ซ.ล.)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top