Saturday, 12 July 2025
ค้นหา พบ 49357 ที่เกี่ยวข้อง

‘อินโดนีเซีย’ เล็งสั่ง J-10 จากจีนแทน Rafale ของฝรั่งเศส เหตุราคาถูกกว่า 3 เท่า แม้ต้องเสียความเป็นกลางในทะเลจีนใต้

อินโดนีเซียลุ้นรับข้อเสนอ J-10 จากจีน ราคาถูกกว่า Rafale ถึง 3 เท่า แต่เสี่ยงสูญเสียความเป็นกลางในทะเลจีนใต้ กระทบสมดุลภูมิรัฐศาสตร์อาเซียน

อินโดนีเซียกำลังเผชิญการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ เมื่อรัฐบาลจีนยื่นข้อเสนอขายเครื่องบินขับไล่ J-10 ให้จาการ์ตา ซึ่งหากข้อตกลงนี้สำเร็จ อินโดนีเซียจะกลายเป็นประเทศที่สามของโลกต่อจากจีนและปากีสถานที่มี J-10 ประจำการในกองทัพอากาศ

จุดขายหลักของ J-10C รุ่นล่าสุดคือราคาที่แข่งขันได้อย่างมากในตลาดโลก ด้วยราคาประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเครื่อง เมื่อเทียบกับ Rafale ของฝรั่งเศสที่อินโดนีเซียสั่งซื้อ 42 ลำในปี 2022 ซึ่งมีราคาสูงถึง 120 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง ความแตกต่างด้านราคาถึง 3 เท่านี้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในช่วงที่รัฐบาลต้องรัดเข็มขัดเพื่อสนับสนุนโครงการสวัสดิการขนาดใหญ่

กระแสความสนใจใน J-10 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังมีรายงานว่าเครื่องบินรุ่นนี้ของปากีสถานสามารถยิงเครื่องบินรบอินเดียตกหลายลำ รวมถึง Rafale รุ่นใหม่จากฝรั่งเศส ผลงานทางการรบนี้ส่งผลให้เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม รัฐมนตรีกลาโหมอินโดนีเซียประกาศเตรียมส่งนักบินไปฝึกและเยี่ยมชมโรงงานผลิต J-10 ที่เฉิงตู ประเทศจีน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าการซื้อ J-10 อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความเป็นกลางและความน่าเชื่อถือของอินโดนีเซียในประเด็นทะเลจีนใต้ เนื่องจากจีนยังคงอ้างสิทธิ์ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของอินโดนีเซียผ่านเส้นประเก้าขีด การซื้ออาวุธจากจีนอาจทำให้สถานะความเป็นกลางของจาการ์ตาถูกตั้งคำถาม

ปัญหาด้านเทคนิคและความพร้อมรบก็เป็นข้อกังวลสำคัญ เนื่องจากอุปกรณ์และระบบของ J-10 อาจไม่สามารถใช้งานร่วมกับอาวุธและระบบสื่อสารมาตรฐาน NATO ที่อินโดนีเซียใช้อยู่เดิมได้ดีนัก ขณะที่ประเด็นความมั่นคงทางไซเบอร์และการสอดแนมยังเป็นข้อกังวลที่หลายประเทศไม่ไว้วางใจเทคโนโลยีทางทหารของจีน

ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ การตัดสินใจซื้อ J-10 อาจจุดชนวนให้เกิดการแข่งขันสะสมอาวุธในภูมิภาคอาเซียน โดยอาจกระตุ้นให้ประเทศเพื่อนบ้านเร่งจัดหาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่เพื่อรักษาดุลอำนาจ เช่น ไทยที่เตรียมซื้อ Gripen จากสวีเดน ฟิลิปปินส์ที่เซ็นสัญญาซื้อ FA-50 จากเกาหลีใต้ และสิงคโปร์ที่กำลังรับมอบ F-35A จากสหรัฐฯ

พันธมิตรทางทหารเดิมของอินโดนีเซีย เช่น สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และประเทศ NATO อื่นๆ อาจไม่พอใจหากจาการ์ตาเลือกซื้อ J-10 เพราะส่วนใหญ่ยังมองว่าจีนเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางทหารและการถ่ายทอดเทคโนโลยีในอนาคต นักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อบทบาทของอินโดนีเซียในสมการอำนาจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระยะยาว

(ข้อมูลเพิ่มเติม)
ไทย → Gripen จากสวีเดน
ฟิลิปปินส์ → FA-50 เกาหลีใต้
สิงคโปร์ → F-35A สหรัฐฯ

‘อิหร่าน’ ลั่นจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ ‘อิสราเอล’ ผู้รุกราน หลังก่อสงครามทำลายการเจรจานิวเคลียร์ ‘อิหร่าน-สหรัฐฯ’

(10 ก.ค. 68) นายอับบาส อารักชี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน เปิดเผยว่า สงครามของอิสราเอลได้ทำลายการเจรจาทางการทูต แต่สหรัฐฯ สามารถฟื้นฟูได้ ความมุ่งมั่นของอิหร่านในการดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามเต็มรูปแบบในระดับภูมิภาค ซึ่งไม่ควรถูกตีความอย่างผิด ๆ ว่าเป็นความอ่อนแอของอิหร่าน

“ในการประชุมเพียง 5 ครั้งตลอดเวลา 9 สัปดาห์ สตีฟ วิทคอฟฟ์ ทูตพิเศษของสหรัฐฯ และผมประสบความสำเร็จมากกว่าที่ผมทำได้ในสี่ปีของการเจรจานิวเคลียร์ที่ล้มเหลวกับรัฐบาลไบเดน เราอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพื่อจัดการกับความกังวลของสหรัฐฯ ที่ว่า ในสักวันหนึ่ง อิหร่านอาจเบี่ยงเบนเป้าหมายจากโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ เราจึงได้หารือกันอย่างละเอียดและตรงไปตรงมา รวมถึงเกี่ยวกับอนาคตของการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่าน มีแนวคิดมากมายสำหรับทางออกที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งนำเสนอโดยทั้งสองฝ่ายและโดยโอมาน.

ที่สำคัญไม่แพ้กัน เรายังมุ่งเน้นไปที่การยุติการคว่ำบาตรและการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ อิหร่านเปิดรับความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจอิหร่านและตอบสนองภารกิจสำคัญของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมอเมริกันที่กำลังล่มสลาย เช่น ภาคพลังงานนิวเคลียร์

สถานการณ์กำลังดูดีขึ้น มีการแลกเปลี่ยนข้อความกันอย่างมากมาย แต่เพียง 48 ชั่วโมงก่อนการประชุมสำคัญครั้งที่ 6 อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีประเทศของข้าพเจ้าโดยไม่มีการยั่วยุ นอกจากโรงงานนิวเคลียร์ที่ได้รับการคุ้มครองแล้ว บ้านเรือน โรงพยาบาล โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่สำคัญของเรา และแม้แต่เรือนจำก็ถูกทิ้งระเบิด นอกจากนี้ยังมีการลอบสังหารนักวิชาการและครอบครัวอย่างขี้ขลาดอีกด้วย นี่เป็นการทรยศต่อการทูตอย่างร้ายแรง ขณะที่การเจรจาระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น การโจมตีอย่างไม่ยั้งคิดนี้ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจน นั่นคือ อิสราเอลต้องการความขัดแย้งมากกว่าการแก้ไขปัญหา

อิสราเอลอ้างอย่างเท็จว่า การโจมตีทางอากาศมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ในความเป็นจริง ในฐานะผู้ลงนามในสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ อิหร่านได้มุ่งมั่นมาโดยตลอดที่จะดำเนินโครงการนิวเคลียร์อย่างสันติภายใต้การเฝ้าระวังของสหประชาชาติ เช่นเดียวกับประเทศที่มีเกียรติใด ๆ ที่ถูกโจมตี อิหร่านได้ต่อต้านการรุกรานอย่างดุเดือด จนกระทั่งอิสราเอลต้องพึ่งพาให้ประธานาธิบดีทรัมป์ช่วยยุติสงครามที่อิสราเอลเริ่มต้นขึ้นก่อน

อิหร่านเคยถูกกระทำอย่างผิด ๆ มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่บัดนี้มีความระมัดระวังมากขึ้นเป็นสองเท่า ความมุ่งมั่นของเราที่จะปฏิบัติอย่างมีความรับผิดชอบเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามเต็มรูปแบบในระดับภูมิภาค ไม่ควรถูกตีความผิดว่าเราอ่อนแอ เราสามารถเอาชนะการโจมตีใด ๆ ต่อประชาชนของเราในอนาคต และหากวันนั้นมาถึง เราจะเปิดเผยศักยภาพที่แท้จริงของเรา เพื่อขจัดภาพลวงตาเกี่ยวกับอำนาจของอิหร่าน

แน่นอนว่า ความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ถูกบ่อนทำลาย ไม่ใช่โดยอิหร่าน แต่โดยพันธมิตรที่ดูเหมือนจะเป็นของอเมริกา นี่ยังไม่รวมถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญของสหรัฐอเมริกาที่ปล่อยให้ตัวเองถูกหลอกล่อให้บ่อนทำลายกฎหมายระหว่างประเทศและสนธิสัญญาสันติภาพ (NPT) ด้วยการโจมตีของตนเอง

แม้ว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อิหร่านจะได้รับข้อความที่ระบุว่าสหรัฐฯ อาจพร้อมที่จะกลับเข้าสู่การเจรจา แต่เราจะเชื่อมั่นในการมีส่วนร่วมต่อไปได้อย่างไร อิหร่านได้ลงนามข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับสมบูรณ์กับ 6 ประเทศในปี 2558 รวมถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งวอชิงตันได้ยกเลิกข้อตกลงนี้ไปเพียงฝ่ายเดียวในอีกสามปีต่อมา และหลังจากตกลงที่จะเจรจาครั้งใหม่ด้วยความสุจริตใจ เราก็ได้เห็นความปรารถนาดีของเราได้รับการตอบแทนด้วยการโจมตีจากกองทัพที่มีอาวุธนิวเคลียร์ของสองประเทศ

อิหร่านยังคงให้ความสนใจในการทูต แต่เรามีเหตุผลที่ดีที่จะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเจรจาต่อไป หากมีความปรารถนาที่จะแก้ไขปัญหานี้โดยสันติ สหรัฐฯ ควรแสดงความพร้อมอย่างแท้จริงสำหรับข้อตกลงที่เป็นธรรม วอชิงตันควรทราบด้วยว่า การกระทำของอิหร่านในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไป

ชาวอิหร่านจะไม่มีวันยอมจำนน อิหร่านมีอารยธรรมเก่าแก่นับพันปีที่เอาชนะการรุกรานนับครั้งไม่ถ้วน และมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในทุกครั้ง เราปรารถนาสันติภาพมาโดยตลอด แต่เรากลับเป็นผู้กำหนดเสมอว่า การรุกรานประชาชนของเราจะสิ้นสุดลงเมื่อใดและอย่างไร ดังที่การคำนวณผิดพลาดของอิสราเอลได้พิสูจน์ให้เห็น ชาวอิหร่านมักจะรวมตัวกันต่อต้านผู้รุกรานอย่างพร้อมเพรียงกัน

การเจรจาภายใต้เงาของสงครามนั้นไม่มั่นคงโดยเนื้อแท้ และการเจรจาท่ามกลางภัยคุกคามไม่เคยเกิดขึ้นจริง การทูตจะประสบความสำเร็จได้ต้องสร้างขึ้นบนพื้นฐานความเคารพซึ่งกันและกัน และไม่สามารถอยู่รอดจากการก่อวินาศกรรมอย่างต่อเนื่องโดยบุคคลที่สาม ซึ่งหวาดกลัวการหาข้อยุติได้ ชาวอเมริกันสมควรได้รับรู้ว่าประเทศของพวกเขากำลังถูกผลักดันไปสู่สงครามที่หลีกเลี่ยงได้โดยสิ้นเชิงอย่างไร้เหตุผลสมควรโดยต่างชาติที่ไม่ได้แบ่งปันผลประโยชน์ของพวกเขา สำหรับวอชิงตัน พวกเขาควรรู้ว่าการรุกรานครั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์และความสำเร็จของพวกเขามีค่าสำหรับเรามากกว่าที่เคย

คำสัญญาของทรัมป์ที่ว่า “อเมริกาต้องมาก่อน” กำลังถูกบิดเบือนไปเป็น “อิสราเอลต้องมาก่อน”
หลังจากได้เห็นการเสียสละชีวิตของชาวอเมริกันหลายพันคน และการสิ้นเปลืองเงินภาษีของประชาชนหลายล้านล้านดอลลาร์ในภูมิภาคของเรา ชาวอเมริกันดูเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว เส้นทางสู่สันติภาพต้องอาศัยการยอมรับในสหรัฐอเมริกาว่า การเจรจาอย่างเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การบีบบังคับอย่างไม่ยั้งคิด เป็นหนทางเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน “ทางเลือกเป็นของอเมริกา ในที่สุดแล้วสหรัฐฯ จะเลือกใช้วิธีทางการทูตหรือไม่ หรือจะยังคงติดหล่มอยู่ในสงครามของผู้อื่นตลอดไป”

11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 ‘สมเด็จพระนารายณ์มหาราช’ เสด็จสวรรคต สิ้นสุดราชวงศ์ปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 หรือวันนี้เมื่อ 337 ปีก่อน สมเด็จพระนารายณ์มหาราช กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ปราสาททอง กรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศ เมืองลพบุรี หลังจากประชวรหนักในช่วงที่ ‘พระเพทราชา’ กระทำการชิงราชสมบัติ

สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 4 ของราชวงศ์ปราสาททอง ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าปราสาททองและพระนางเจ้าสิริกัลยานี พระราชสมภพในปีพ.ศ. 2175 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2199 มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยา ขณะทรงมีพระชนมายุ 25 พรรษา

หลังจากประทับที่กรุงศรีอยุธยาได้ 10 ปี พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองลพบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ในปีพ.ศ. 2209 และเสด็จไปประทับทุก ๆ ปี ครั้งละเป็นเวลานานหลายเดือน กระทั่งเสด็จสวรรคตในปีพ.ศ. 2231 ขณะพระชนมายุได้ 56 พรรษา รวมเวลาที่ทรงครองราชสมบัติ 32 ปี

พระองค์ได้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่กรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก ด้วยพระปรีชาสามารถหลายด้านของพระองค์ ทั้งด้านการปกครอง การทหาร ทรงชำนาญด้านการศึก ทรงปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ให้มาสวามิภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ครั้งเสด็จออกรับคณะทูต ฝีมือวาดช่างฝรั่งเศส จากหนังสือนวนิยายเรื่อง รุกสยาม ในนามของพระเจ้า โดย มอร์กาน สปอร์แตช

ด้านการทูต ทรงสร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา จีน ญี่ปุ่น อิหร่าน เช่น พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งคณะราชทูตไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส การค้ากับต่างประเทศจึงเจริญมาก มีชาวต่างชาติเข้ามารับติดต่อค้าขาย และบางส่วนเข้ารับราชการในพระราชอาณาจักรด้วย

อีกทั้งยังทรงรับวิทยาการสมัยใหม่ เช่น กล้องดูดาว และยุทโธปกรณ์บางประการ การวางระบบท่อประปาภายในพระราชวังอีกด้วย

นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระองค์เป็นยุคที่วรรณคดีและศิลปะเจริญถึงขีดสุด มีงานวรรณคดีชิ้นสำคัญเกิดขึ้นหลายชิ้น อาทิ สมุทรโฆษคำฉันท์, คำฉันท์กล่อมช้าง, อนิรุทธคำฉันท์ และ จินดามณี ของพระโหราธิบดี ซึ่งจัดเป็นตำราเรียนเล่มแรกของไทย

ปูตินดัน ‘ตลาดซื้อขายสินค้าเกษตร BRICS’ เลิกพึ่งตลาดโลก ซื้อขายด้วยเงินท้องถิ่น ตัดวงจรเก็งกำไร

(11 ก.ค. 68) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ประกาศผ่านการประชุมวิดีโอในเวที BRICS Summit 2025 ที่นครรีโอ เดอ จาเนโร เมื่อ 6 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า กำลังผลักดันให้จัดตั้ง “ตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรของ BRICS” หรือเรียกว่า Grain Exchange ซึ่งเน้นซื้อขายธัญพืช เช่น ข้าว ข้าวโพด และถั่วเหลือง โดยไม่มีพ่อค้าคนกลางหรือนายหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการเก็งกำไรจากตลาดโลกที่ราคาผันผวนสูง

ปูตินระบุว่า แนวคิดนี้จะช่วยให้ประเทศสมาชิกสามารถตกลงปริมาณและราคาซื้อขายกันโดยตรง เช่น อียิปต์ไม่ต้องพึ่งตลาดซื้อขายโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนอีกต่อไป แต่จะสามารถแลกเปลี่ยนกับประเทศที่มีสินค้าส่วนเกินในเครือข่าย BRICS ได้โดยตรง ส่งผลให้ได้ราคาที่ยุติธรรมและมั่นคงกว่า

ในภาพรวม ปูตินย้ำว่า BRICS ควรสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและพึ่งพาตนเอง โดยเฉพาะการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างกัน พร้อมเผยว่า BRICS ครอบคลุมพื้นที่โลกกว่า 1 ใน 3 และประชากรเกือบครึ่งโลก อีกทั้งมีขนาดเศรษฐกิจถึง 40% ของโลกในเชิงกำลังซื้อ

แม้ไม่มีผู้นำจีนและรัสเซียเข้าร่วมการประชุมด้วยตัวเอง แต่เวทีนี้ยังสะท้อนว่า BRICS กำลังเดินหน้าเชิงโครงสร้างทั้งในมิติการลงทุน เทคโนโลยี โลจิสติกส์ และการเงิน โดยปูตินระบุว่า การเพิ่มการลงทุนข้ามพรมแดนภายในกลุ่มเป็นภารกิจเร่งด่วน และ 'Grain Exchange' คือหนึ่งในก้าวสำคัญที่จะสร้างเศรษฐกิจหลายขั้วที่ยุติธรรม

‘หมอธานี’ ยกย่องพระอัจฉริยภาพ ‘กรมพระศรีสวางควัฒนฯ’ ทรงงานด้วยพระองค์เองพัฒนายารักษามะเร็งมุ่งเป้าจนสำเร็จ

เมื่อวันที่ (21 พ.ย.66) นพ.ธานี ธานียวรรณ อาจารย์แพทย์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวถึงพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถ ใน ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงงานด้านเภสัชกรรมด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และพระปณิธานอันแน่วแน่ตลอดหลายปี จนเกิดเป็นคุณูปการสำคัญต่อวงการสาธารณสุข คือ ยาเม็ดรักษาโรคมะเร็งชนิดมุ่งเป้าตำรับแรกที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย 'อิมครานิบ 100 / IMCRANIB 100'

โดยนพ.ธานี ระบุว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ เพราะการที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญทางวิทยาศาสตร์อย่างมาก ถึงขนาดที่ลงมาทรงงานและนำทีมนักวิจัยด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้ ยังไม่เห็นมีประเทศใดในโลกที่เป็นเช่นนี้ มีเพียงประเทศไทยเท่านั้น

และที่สำคัญทุกขั้นตอนของการผลิตยาประเภทนี้ ในทุกขั้นตอนเป็นเรื่องที่ยากมาก ทั้งการต้องใช้เงินทุนวิจัยและพัฒนาจำนวนมาก และยังต้องประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ อีกทั้ง ยังในแต่ละขั้นตอนยังผิดพลาดไม่ได้ เพราะหากเกิดความผิดพลาดหมายถึงชีวิตมนุษย์ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากสำหรับประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top