Saturday, 5 July 2025
ค้นหา พบ 49226 ที่เกี่ยวข้อง

คลัง เปิดขายพันธบัตร 'ออมเพิ่มสุข' 5.5 หมื่นล้าน ขายผ่านวอลเล็ตแอปฯเป๋าตัง ดอกเบี้ยสูง 3.6%

กระทรวงการคลัง เตรียมเปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นออมเพิ่มสุข วงเงิน 55,000 ล้านบาท ให้แก่ประชาชน พร้อมจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยจำหน่ายให้กับประชาชนผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง เริ่มวันที่ 13 มิถุนายน 2565 และจำหน่ายผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง ทั่วประเทศ เริ่มวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป

30 พ.ค. 2565 – นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ของไทยรวมถึงสินทรัพย์ในทุกตลาดทั่วโลกได้รับผลกระทบจากความผันผวนและความกังวลจากสถานการณ์โลก สบน. จึงเสนอขายพันธบัตรออมทรัพย์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อเป็นทางเลือกในการออมการลงทุนและปรับพอร์ตการลงทุนสำหรับนักลงทุน จำหน่าย 2 รุ่นอายุ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 2.50 ต่อปี ซึ่งผู้ลงทุนจะมีรายรับสม่ำเสมอจากดอกเบี้ยและได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด โดยเงื่อนไขการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นออมเพิ่มสุขเป็นดังนี้

1. รุ่นออมเพิ่มสุขบนวอลเล็ต สบม. วงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้แก่ประชาชน 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ยร้อยละ 2.90 ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ยร้อยละ 3.60 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ซื้อได้ตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป (ผู้เยาว์จะต้องลงทะเบียนในวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง และไปยืนยันตัวตนพร้อมผู้ปกครองเพื่อกรอกเอกสารให้ความยินยอม ณ สาขาธนาคารกรุงไทยสำหรับการซื้อครั้งแรก) ลงทุนได้ตั้งแต่ 100 บาท – 10 ล้านบาท จำหน่ายตั้งแต่วันที่ 13–30 มิถุนายน 2565 ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตังเพื่อลงทะเบียน ยืนยันตัวตน และเติมเงินเข้าวอลเล็ต สบม. ผ่านพร้อมเพย์จากทุกธนาคาร หรือผูกบัญชีธนาคารกรุงไทยกับ วอลเล็ต สบม. รวมถึงเติมเงินด้วย Wallet ID ได้ที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา เพื่อเตรียมซื้อพันธบัตรได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลการใช้งานวอลเล็ต สบม. ได้ที่ Call Center โทร. 02-111-1111 หรือที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา

‘อรรถวิชช์’ เสนอใช้งบปีสุดท้าย ฟื้น ‘โฉนดชุมชน’ เสริมทางเลือกให้ ‘โครงการบ้านมั่นคง’ ริมคลอง

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...วันนี้ผมกับพี่ สมนึก จันทร์เฉิด พรรคกล้า หลักสี่ มีโอกาส เข้ารับฟังปัญหาประชาชนที่อาศัยอยู่ริมคลองเปรมประชากร เขตหลักสี่ โดยพบว่าบางชุมชน ไม่พร้อมเข้าโครงการ ‘บ้านมั่นคง’ เพราะรับภาระค่าสร้างบ้านสร้างใหม่ ที่ต้องผ่อนราว 4 แสนบาท ยาว 20 ปี ไม่ไหว

ทางชาวบ้านยินดีรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำคลองสาธารณะ โดยพร้อมจดทะเบียนเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ เก็บเงินกันเองเพื่อซ่อมแซมบ้าน และพัฒนาพื้นที่ส่วนกลาง ถังส้วม บ่อบำบัด ต่างๆ แต่ขอไม่รื้อปลูกใหม่ทั้งหลังได้หรือไม่ ซึ่งจะทำให้เงินผ่อนถูกลงถึง 1ใน 4 ของโครงการบ้านมั่นคงในปัจจุบัน

ทั้งสายคลองเปรมประชากร คลองลาดพร้าว มีหลายประเภท ส่วนที่ยังอยู่ในวัยทำงาน ก็สามารถรื้อบ้านทั้งหลัง สร้างใหม่ได้ ภายใต้โครงการบ้านมั่นคง แต่ส่วนที่พ้นวัยทำงานประจำแล้ว ให้ผ่อนแบบบ้านใหม่ทั้งหลัง เค้าไม่ไหว แต่เค้าพร้อมจะปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน และพัฒนาพื้นที่ส่วนกลาง บ่อส้วม บ่อบำบัด จ่ายค่าเช่าแก่กรมธนารักษ์ แบบนี้เค้ารับไหว ซึ่งมันก็คือโครงการ ‘โฉนดชุมชน’ ที่ ปชป.เคยหาเสียงไว้ และเคยทำจริงแล้ว 1 โครงการในเขตกทม.ยุคนายกอภิสิทธิ์

ครม. ประกาศให้ ‘12 สิงหาคม’ เป็น ‘วันผ้าไทยแห่งชาติ’ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ‘สมเด็จพระพันปีหลวง’

ครม.เห็นชอบประกาศให้ “12 สิงหาคม” เป็น “วันผ้าไทยแห่งชาติ” เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา สมเด็จพระพันปีหลวง 12 ส.ค. 2565 รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ทรงอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบสานผ้าไทย

วันที่ 30 พฤษภาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ วันที่"12 สิงหาคม" ของทุกปี เป็น วันผ้าไทยแห่งชาติ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2565 รัฐบาลมีนโยบายจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงออกถึงความจงรักภักดี 

โดยจัดโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ที่สอดคล้องกับโครงการต่างๆ ของพระองค์ พร้อมทั้งให้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้เกี่ยวกับโครงการและพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ เพื่อให้เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ได้ศึกษาหาความรู้จากโครงการต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการพัฒนา สร้างความเจริญรุ่งเรืองและความผาสุกให้กับประชาชนชาวไทย และเพื่อเฉลิมพระเกียรติที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบสานผ้าไทย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลประกาศให้วันที่ "12 สิงหาคม" ของทุกปี เป็น วันผ้าไทยแห่งชาติ เพื่อรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนได้น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีพระวิริยอุตสาหะ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการส่งเสริมเรื่อง “ผ้าไทย” เป็นที่ประจักษ์มายาวนาน จากสิ่งทอท้องถิ่นที่สูญหายไป ให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

ตลอดจนเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติ สืบสานและต่อยอดมรดกภูมิปัญญาผ้าไทยโดยภาครัฐ เอกชนและประชาชนบูรณาการร่วมกันเป็นพลังขับเคลื่อนมรดกภูมิปัญญาผ้าไทยให้คงอยู่คู่ชาติไทย

อีกทั้งทำให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์ สืบสานมรดกภูมิปัญญาผ้าไทยจากรุ่นสู่รุ่นนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดและยกระดับผ้าไทยไปสู่เวทีโลก ขณะเดียวกันชุมชน ผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมผ้าไทยได้รับการสนับสนุนให้เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นทั้งระดับฐานรากและระดับชาติอย่างยั่งยืน และประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในการนำทุนทางวัฒนธรรมด้านผ้าไทยมาเพิ่มคุณค่าและมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์

คนไทยเตรียมตัว!! จ่ายตังค์เพิ่ม กกพ.จ่อขึ้นค่าไฟปลาย ก.ค.นี้

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2565 ที่ประชุม กกพ. มีแนวโน้มที่จะเห็นชอบให้ขึ้นค่าไฟฟ้ารอบใหม่ จากเดิมอยู่ที่หน่วยละ 4 บาท เนื่องจากวิกฤตพลังงานโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จากความยึดเยื้อของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเอราวัณในอ่าวไทย ที่ลดเหลือเพียง 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตเดิม จากปัญหาช่วงรอยต่อผู้รับสัมปทานใหม่ ทั้งหมดส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องขึ้นค่าไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม ฝากถึงบ้านที่มีผู้ป่วยติดเตียง หรือไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หากมีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า ให้มาลงทะเบียนกับการไฟฟ้าใกล้บ้าน แล้วจะได้รับการดูแล ไม่ถูกตัดไฟ 


ที่มา: https://mgronline.com/uptodate/detail/9650000051278

31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 วันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพระนางเรือล่ม พระนางผู้เป็นที่รักยิ่งของพระพุทธเจ้าหลวง

31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 ย้อนรอยโศกนาฏกรรม พระนางเรือล่ม อัครมเหสีผู้เป็นที่รักยิ่งของพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5

สมเด็จพระนางเรือล่ม มีพระนามว่า สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ประสูติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403 ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา ลำดับที่ 50 ในจำนวนทั้งหมด 82 พระองค์

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ทรงรับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นพระภรรยาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระขนิษฐาอีก 2 พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) และ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง)

ครั้นเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี พระชนมายุได้ 19 พรรษา ทรงมีพระราชธิดาพระองค์แรก ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์ เพชรรัตน์ และเสด็จทิวงคตพร้อมกันกับ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ที่ขณะนั้นทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน 

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 เหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดใจก็เกิดขึ้น ก่อนเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมขึ้นนั้น มีเรื่องเล่าว่า สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ได้ทรงพระสุบินว่า พระราชธิดาของพระองค์ตกลงไปในน้ำ ด้วยความตกพระทัยจึงรีบคว้าพระราชธิดาจนตกลงไปในน้ำด้วยกัน แล้วได้ตื่นจากบรรทม ท่านก็ทรงครุ่นคิดถึงการเสด็จฯ ไปพระราชวังบางปะอิน แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมได้ 

ในวันเกิดเหตุวิปโยค เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงกำหนดเสด็จพระราชดำเนินไปประทับพักผ่อนพระอิริยาบถที่พระราชวังบางปะอิน ในเวลา 2 โมงเช้าทรงมีพระราชดำรัสให้ปล่อยขบวนเรือพระประเทียบ หรือเรือฝ่ายในล่วงหน้าไปก่อน ส่วนพระองค์เสด็จไปทอดพระเนตรการซ่อมบำรุงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จน 2 โมงเศษ จึงประทับเรือพระที่นั่งโสภณภควดี ซึ่งเป็นเรือกลไฟฝีจักรเร็วที่สุดในขณะนั้นตามไป เมื่อไปถึงบางตลาดจะเข้าปากเกร็ด ทอดพระเนตรเห็นเรือกลไฟราชสีห์ล่องแม่น้ำสวนมาอย่างรีบร้อนและเข้าเทียบเรือพระที่นั่ง กราบทูลว่า เรือพระประเทียบของพระนางเจ้าสุนันทาฯ ที่ล่วงหน้าไปแต่เช้าได้เกิดล่มขึ้นที่บางพูด ทำให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์สิ้นพระชนม์ แต่ไม่ได้กราบทูลให้ทรงทราบว่าสมเด็จพระอัครมเหสีก็สิ้นพระชนม์ด้วย

เหตุการณ์นี้ปรากฏรายละเอียดอยู่ในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ มีความตอนหนึ่งว่า

“...จึงรีบแล่นเรือพระที่นั่งไปถึงบางพูดเช้า 5 โมง เห็นเรือไฟและเรือพระประเทียบทอดอยู่กลางน้ำที่เขาดำทราย เหนือบ้านพระเกียรติหน่อย ประทับเรือพระที่นั่งเข้าที่เรือปานมารุต ไล่เลียงกรมอดิสรกับพระยามหามนตรีด้วยเรื่องเรือล่ม พระมหามนตรีทูลว่าเรือราชสีห์ซึ่งจูงเรือพระองค์เจ้าสุขุมาลนั้นไปหน้า ใกล้ฝั่งตะวันออก เรือโสรวารซึ่งพระยามหามนตรีไปจูงเรือพระองค์เจ้าเสาวภาตามไปเป็นที่สองแนวเดียวกัน เรือยอร์ชสมเด็จกรมหลวงซึ่งจูงเรือกรมสมเด็จพระสุดารัตน์ราชประยูรไปทางฝั่งตะวันตกตรง แล่นตรงกับเรือราชสีห์ แล้วเรือปานมารุตแล่นขึ้นมาช่องกลางระหว่างเรือ ห่างเรือโสรวารสัก 10 ศอก พอเรือปานมารุตแล่นขึ้นไปใกล้เรือราชสีห์ก็เบนหัวออก 

เรือพระประเทียบเสียท้ายปัดไปทางตะวันออก ศีรษะเรือโดนข้างเรือโสรวารน้ำเป็นระลอกประทะกัน กดศีรษะเรือพระประเทียบจมคว่ำลง พระยามหามนตรีว่าได้ดำน้ำลงไปถึงในเก๋ง เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอออกมาก็สิ้นพระชนม์เสียแล้ว แต่กรมหมื่นอดิสรซัดพระยามหามนตรีว่า เป็นเพราะเรือโสรวารหนีตื้นออกมา จึงเป็นเหตุเรือปานมารุตแล่นห่างกว่า 10 ศอก ต่างคนต่างซัดกัน จึงโปรด้เกล้าฯให้เจ้านายขึ้นไปไล่เลียงดูที่คนอื่นๆทีละคนสองคน แยกกันถามจึงได้ความว่า พระองค์เจ้าสุนันทาสิ้นพระชนม์ด้วย กับแก้ว พระพี่เลี้ยงอีกคนหนึ่งตาย และคนที่อยู่ในเก๋งออกมาไม่ทันบ้าง ที่สลบก็แก้ฟื้นขึ้นได้หลายคน จึงไล่เลียงได้ความว่า เมื่อเรือล่มคว่ำนั้น พระองค์เจ้าสุนันทาอยู่ในเก๋งออกมาไม่ได้ จึงช่วยกันหงายเรือขึ้น 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top