Tuesday, 1 July 2025
ค้นหา พบ 49115 ที่เกี่ยวข้อง

คดีอื้อฉาวสะเทือนวงการกีฬาเกาหลีใต้ที่เป็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงทั่วประเทศ เมื่อซิม ซุก-ฮี นักสเก็ตน้ำแข็งดาวรุ่งสาวเกาหลีใต้ ดีกรีระดับแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกฤดูหนาวถึง 2 สมัย ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดำมืดในค่ายฝึกซ้อมว่า เธอถูกอดีตโค้ชประจำตัวขืนใจ

คดีอื้อฉาวสะเทือนวงการกีฬาเกาหลีใต้ที่เป็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงทั่วประเทศ เมื่อซิม ซุก-ฮี นักสเก็ตน้ำแข็งดาวรุ่งสาวเกาหลีใต้ ดีกรีระดับแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกฤดูหนาวถึง 2 สมัย ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดำมืดในค่ายฝึกซ้อมว่า เธอถูกอดีตโค้ชประจำตัวข่มขืน และทำร้ายร่างกายนานถึง 3 ปีตั้งแต่เธออายุเพียง 17 ปี

โค้ชทีมชาติที่ถูกกล่าวหา คือ นาย โช แจ-บอม วัย 39 ปี โดย ซิม ซุก-ฮี กล่าวหาว่าเขาทำร้ายร่างกาย และล่วงละเมิดทางเพศเธอมาตั้งแต่ปี 2014 ในสมัยที่เธอยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยม และต้องเข้าโปรแกรมฝึกนักกีฬาทีมชาติเพื่อลงแข่งกีฬาสเก็ตน้ำแข็งประเภท ความเร็วระยะสั้น ในกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองพย็องชังในปี 2018 ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ เป็นเวลานานถึง 3 ปี

หลังจากผ่านเหตุการณ์อันขมขื่นมานานนับปี ซิม ซุก-ฮี ตัดสินใจออกมาพูด และดำเนินคดี โช แจ-บอม อดีตโค้ชทีมชาติของเธอตอนปี 2019 ที่กำลังมีกระแส #MeToo เพื่อเรียกร้องให้ผู้หญิงที่ถูกกระทำทางเพศออกมาเปิดเผยตัวเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ และความยุติธรรม

เรื่องราวของ ซิม ซุก-ฮี กลายเป็นสิ่งที่ตบหน้าสังคมอนุรักษ์นิยมในเกาหลีใต้อย่างรุนแรง ด้วยวัฒนธรรมเกาหลีใต้ที่ยังถือว่าผู้ชายมีสถานะเหนือกว่าผู้หญิง ยิ่งเป็นถึงโค้ชระดับทีมชาติ ยิ่งมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการลงโทษนักกีฬาทั้งทางร่างกาย และจิตใจ รวมถึงการตัดสินใจให้นักกีฬาในทีมคนไหนติดทีม หรือถูกตัดสิทธิ์ โดยที่นักกีฬามักไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง มิฉะนั้น จะถูกมองว่าไม่มีความอดทน ไร้ความมุ่งมั่น ที่มักเป็นข้ออ้างในการถูกตัดสิทธิ์ออกจากทีมชาติ

ซึ่ง ซิม ซุก-ฮี ถูกกระทำในสภาพเดียวกัน โดยที่เธอไม่กล้าเอ่ยปากเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะอนาคตทีมชาติของเธอขึ้นอยู่กับโค้ช โช แจ-บอม จึงใช้อำนาจสิทธิ์ความเป็นโค้ชย่ำยีเธอ

เมื่อมีข่าวฉาวออกมา โค้ช โช แจ-บอม ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ซิม ซุก-ฮี เพราะเหตุผลทางชู้สาว แต่เป็นการทำโทษตามระเบียบวินัยต่างหาก ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเขายอมรับว่ามีการทำร้ายร่างกายจริง จึงทำให้โค้ช โช แจ-บอม ถูกตัดสินจำคุกนาน 18 เดือนจากโทษฐานความผิดในกระทงแรก

แต่ในวันนี้ ศาลอาญาเมืองซูวอน เกาหลีใต้ได้ตัดสินคดีของ ซิม ซุก-ฮี เพิ่มเติ่มในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เป็นคดีร้ายแรง และศาลลงความเห็นว่าเป็นการกระทำที่สมควรถูกประณามเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ตัดสินให้จำคุกอดีตโค้ช โช แจ-บอม นาน 10.5 ปี หากรวมกับคดีทำร้ายร่างกายก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับว่าโค้ชโชต้องเข้าคุกนานเกือบ 12 ปี

ถึงแม้ว่า ทนายฝ่ายของ ซิม ซุก-ฮี พอใจกับผลคำตัดสิน แต่มีชาวเกาหลีใต้ไม่น้อยเห็นว่าลงโทษน้อยเกินไป สำหรับความผิดของโค้ชฉาว ควรต้องโทษจำคุกถึง 20 ปี ถึงจะสาสม

คดีของ ซิม ซุก-ฮี ถือเป็นคดีใหญ่ที่เปิดโปงด้านมืดในวงการกีฬาของเกาหลีใต้ก็จริง แต่เป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งที่คนทั่วไปได้เห็นเท่านั้น และยังมีนักกีฬาอีกมากมายที่โดนทำร้ายร่างกายในค่ายเก็บตัว ที่มีตั้งแต่การกลั่นแกล้งภายในทีม จนกระทั่งถึงขั้นการทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิดทางเพศ และทารุณกรรม

ดังเช่นกรณีของ เช ซุก-ฮยอน นักไตรกีฬาหญิงที่เป็นหนึ่งในเยาวชนทีมชาติ ตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายจากหอพักนักกีฬาในเมืองปูซาน เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2020 จบอนาคตอันสดใสของเธอเพียงแค่วัย 22 ปี ที่ภายหลังเปิดเผยว่าเธอถูกรุ่นพี่ และโค้ชกลั่นแกล้งอย่างรุนแรงตลอดช่วงเวลาที่เธอเก็บตัวเพื่อเป็นตัวแทนทีมชาติ จนทำให้เธอกลายเป็นโรคซึมเศร้า หมดความหวังในการมีชีวิตอยู่

และเธอได้บันทึกเรื่องราวการถูกบูลลี่ของเธอทั้งหมดส่งไปให้แม่ก่อนวันที่เธอจะฆ่าตัวตาย ซึ่งกลายเป็นหลักฐานมัดตัวรุ่นพี่ และโค้ช ที่ร่วมกันกระทำทารุณกรรมจิตใจนักกีฬา และถูกลงโทษแบนจากการแข่งขันนานถึง 10 ปี

ถึงแม้ว่าคดีของ ซิม ซุก-ฮี อาจไม่ใช่คดีสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับนักกีฬาเกาหลีใต้ แต่ก็เป็นเสียงเรียกร้องให้แวดวงกีฬาเกาหลีใต้ได้ตระหนักรู้ว่า การเป็นนักกีฬาที่ดีไม่ควรต้องแลกกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


อ้างอิง:

https://www.scmp.com/week-asia/health-environment/article/3118784/south-korea-jails-former-olympic-coach-sexual-assault

https://www.bbc.com/news/world-asia-55746565

https://www.firstpost.com/sports/south-koreas-ex-olympic-coach-cho-jae-beom-jailed-for-10-5-years-for-sexually-assaulting-athlete-9224741.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Shim_Suk-hee

ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แจง กลุ่มเฟมินิสม์ และเครือข่ายรณรงค์เพื่อสิทธิ์ทำแท้งปลอดภัย หลังออกมาเรียกร้องกให้ยกเลิก ม.301 กฎหมายทำแท้งฉบับใหม่ ระบุบางเรื่องต้องใช้เวลา พร้อมผลักดันเป็นขั้นตอน

น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.เขตบางซื่อ-ดุสิต และประธานกรรมการนโยบายสตรี พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเฟมินิสม์ปลดแอก ก และเครือข่ายรณรงค์เพื่อสิทธิ์ทำแท้งปลอดภัย เรียกร้องให้ยกเลิก ม.301 ของกฎหมายทำแท้งฉบับใหม่ เพราะยังกำหนดความผิดของผู้หญิงที่ทำแท้งหากอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ว่า ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯและวุฒิสภา สามารถทำแท้งได้เลยหากอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ และหลังจาก 12 สัปดาห์

สามารถทำได้ใน 4 กรณี โดยไม่มีความผิดทางกฎหมาย คือ 1. เป็นภัยต่อสุขภาพกายและจิตใจของหญิงผู้ตั้งครรภ์ 2. มีความเสี่ยงทารกพิการ 3. ตั้งครรภ์จากมีการกระทำผิดทางเพศ และ 4. อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ โดยสามารถเข้ารับคำปรึกษาทางเลือกและยืนยันจะยุติการตั้งครรภ์

น.ส.ธณิกานต์ ระบุว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายในสังคมเกิดจากมีผู้ได้รับผลกระทบจากข้อกฎหมายนั้นๆ และยังต้องคำนึงถึงผลกระทบส่วนอื่นๆ โดยรอบ ทางออกบางอย่างต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและเห็นด้วย จึงขอให้เห็นใจคณะทำงานที่ต้องคิด กลั่นกรอง และต้องผ่านความเห็นชอบจากหลายฝ่าย จึงต้องค่อยๆผลักดันเป็นขั้นตอนๆไป ซึ่งส่วนตัวก็ขออวยพรให้ทุกความคิดเห็นได้รับการรับฟัง และตอบสนองอย่างเป็นรูปธรรม ทุกข้อ

‘รมว.พลังงาน’ ดึง ‘ปตท.-กนอ.’ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงพัฒนาระบบห้องเย็นผลไม้ไทย เดินหน้าโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก เสริมความแข็งแกร่ง สร้างรายได้ให้เกษตรกรและชุมชน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การจัดทำระบบห้องเย็น (Blast freezer & Cold storage) ภายใต้โครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (อีเอฟซี) ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) กับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) ว่า

การเดินหน้าโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก ถือเป็นก้าวสำคัญ เสริมความแข็งแกร่ง สร้างรายได้ให้เกษตรกรและชุมชน ซึ่งเป็นกลุ่มฐานรากสำคัญของประเทศ

ทั้งนี้บันทึกความร่วมมือฉบับนี้จะพัฒนาโครงการฯ ให้เกิดเป็นรูปธรรม โดย ปตท. ที่มีความพร้อมด้านห้องเย็น จะนำพลังงานความเย็นจากก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) มาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร กนอ. จะสนับสนุนการจัดหาพื้นที่ และ สกพอ. จะประสานความร่วมมือส่งเสริมด้านสิทธิประโยชน์ให้หน่วยงานรัฐและเอกชน

เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบห้องเย็น ให้บริการเก็บรักษา สินค้าคุณภาพดี สดใหม่ และรสชาติยังดีคงเดิม ตรงตามความต้องการของตลาด ซึ่งจะช่วยให้ชาวสวนไม่ต้องรีบเก็บ-รีบขาย-รีบส่ง ทำให้ไม่ได้ราคา เสียคุณภาพ และเสียชื่อเสียง เมื่อโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออกสำเร็จ ชาวสวนจะมีรายได้ดีมั่นคง สม่ำเสมอ รวมทั้งต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิตทางเกษตรแข่งขันได้ทั่วโลกเสริมความเข้มแข็งให้ประเทศไทย ก้าวสู่ศูนย์กลางตลาดผลไม้โลก

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า โครงการบอีเอฟซี เป็นโครงการหลักของแผนพัฒนาภาคเกษตรในพื้นที่อีอีซี ที่ปรับการทำธุรกิจให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด คือ การวางธุรกิจทั้งระบบจากการกำหนดสินค้าและบริการที่ตลาดต้องการ ไปกำหนดวางวิธีการค้า-การขนส่ง-การเพาะปลูก ให้สนองความต้องการของตลาด ในขณะเดียวกัน ก็จะนำเทคโนโลยีทันสมัยมาช่วยให้เกิดการปรับปรุงทั้งกระบวนการผลิต โดยโครงการอีเอฟซี จึงประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญคือ

1.) ศึกษา ติดตาม ความต้องการของตลาด ในเรื่องนี้ สกพอ. กำลังศึกษาความต้องการตลาดต่างประเทศและในประเทศ ของ ทุเรียน มังคุด และผลไม้ของภาคตะวันออก เป็นโครงการที่อยู่ในงบประมาณปี 64 เพื่อให้เข้าใจถึงพฤติกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ตลาดต้องการ

2.) การวางระบบการค้าสมัยใหม่ จะเป็นการค้าผ่านอี-คอมเมิร์ส รวมทั้งการลงทุนแพคเกจจิ้ง จากวัสดุธรรมชาติ ให้สามารถขนส่งทางอากาศได้สะดวก เพื่อให้ผลไม้ของภาคตะวันออกเข้าสู่ตลาดสากลได้ทันที

3.) การลงทุนทำห้องเย็นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งเป็นโครงการที่เราจะลงนามเอ็มโอยูในวันนี้

4.) การจัดระบบสมาชิก ชาวสวนผลไม้ สหกรณ์ ที่จะเข้าร่วมโครงการ ซึ่งต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้ได้ผลผลิตพรีเมียมตรงความต้องการของตลาด เรื่องนี้ได้ดำเนินการมาแล้วระยะหนึ่ง และจะส่งผลประโยชน์ให้เกษตรกรโดยถ้วนหน้า

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือในครั้งนี้ประกอบด้วย 3 ฝ่ายคือ 1.) ปตท. จะเป็นผู้ลงทุนจัดทำระบบห้องเย็นทันสมัยขนาด 4,000 ตัน ส่วนหนึ่งเป็นเทคโนโลยี Blast freezer เพื่อรักษาคุณภาพผลไม้ให้เสมือนเพิ่งเก็บจากสวน และระบบ Cold storage ที่จะรักษาคุณภาพผลไม้นั้นให้ขายได้ตลอดปี ไม่ต้องรีบส่งตัด-รีบขาย-รีบส่ง เช่นในปัจจุบัน

2.) การนิคมแห่งประเทศไทย จะเป็นผู้หาพื้นที่ โดยกำหนดว่าจะเป็นพื้นที่บริเวณ Smart Park ที่มาบตาพุด และ 3.) สำนักงานอีอีซีจะเป็นผู้วางกลไกการบริหาร และประสานผู้ที่เกี่ยวข้องมาบริหารโครงการ โดยเฉพาะ เอกชนผู้เชี่ยวชาญการค้า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สหกรณ์ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประโยชน์จากโครงการกลับไปสู่ประชาชนในพื้นที่

"โครงการนี้จะนำร่องด้วยทุเรียน ซึ่งเป็นราชาผลไม้ของไทย รวมทั้งผลไม้อื่นๆ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่นอาหารทะเล ที่ต้องการเก็บรักษาคุณภาพสินค้าให้สดใหม่ สีสันน่ารับประทาน และสามารถนำไปขายได้ตลอดทั้งปี สร้างรายได้ที่มั่นคงกับเกษตรกรไทย นอกจากนี้ จะมีการพัฒนากิจกรรมอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น กิจกรรมแปรรูป การประมูลสินค้า และการส่งออก ต่อไป " นายคณิศ กล่าว

กองทัพภาค 1 ยัน ลงโทษพลทหารจริง หลังพบเสพยาเสพติดในค่าย พร้อมกักบริเวณ ลงทัณฑ์ตามวินัยทหาร รอผลกรรมการสอบวินัย ‘ครูฝึก’ ลงทัณฑ์เกินกว่าเหตุ

จากกรณีที่ 2 พลทหารหนีออกจากค่าย หลังถูกครูฝึกซ้อมโหดเพราะถูกจับได้ว่าแอบสูบกัญชา โดยวันนี้ทางศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 1 ได้ส่งเอกสารขี้แจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่า เข้าใจความรู้สึกของพลทหารและครอบครัวในความกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในเบื้องต้นได้มีการตั้งกรรมการสอบสวน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ 1.) พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเรื่องยาเสพติดของพลทหาร ซึ่งถูกตรวจพบว่าเสพยาเสพติด จึงถูกลงทัณฑ์ตามวินัยทหาร โดยครบกำหนดวันที่ 22 มกราคม 2564 และทางหน่วยพบว่ายังกระทำผิดซ้ำอีก 5 นาย จึงลงทัณฑ์เพิ่มเติม ระหว่างนี้ 2 ใน 5 นาย ได้หลบหนีกลับบ้านและร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมตามที่เป็นข่าว

2.) การลงทัณฑ์เกินกว่าเหตุ ทางหน่วยได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งเบื้องต้นมีมูลจึงให้กักบริเวณครูฝึก และสั่งทัณฑกรรม (การบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ อาทิ โยธา ) ตามวินัยทหาร ระหว่างการรอผลสอบสวนอย่างเป็นทางการ

ล่าสุดในวันนี้ หน่วยต้นสังกัดได้ติดต่อประสานพูดคุยกับผู้ปกครองของทหารทั้ง 2 นายเพื่อสร้างความมั่นใจ และจะดูแลด้านการรักษาพยาบาล ทั้งนี้กำลังพลมีความประสงค์ที่จะกลับเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและสอบสวน ซึ่งกองทัพภาคที่ 1 ยืนยันว่าจะให้การดูแลกำลังพลตามขั้นตอนและวินัยทางราชการ เพื่อให้เกิดความสบายใจกับทุกฝ่าย

‘บิ๊กตู่’ และครม. ร่วมส่งกำลังใจให้ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร หลังแพทย์เจาะคอปรับวิธีรักษา เชื่อบุญกุศลทำให้ปลอดภัย ขอบคุณในการเสียสละ ย้ำเราจะดูแลให้ดีที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงอาการป่วยของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ว่า

วันนี้ตนได้พูดให้ที่ประชุมครม.ทราบ และขอให้ทุกคนรวมพลัง รวมกำลังใจและห่วงใยส่งไปให้ไปยังผู้ว่าฯ ซึ่งวันนี้มีสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น โดยคณะแพทย์โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งได้มีการหารือมาตลอดและตนได้รับคำชี้แจงมาว่าต้องมีการปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องของช่องคอและช่วงอก เพราะการใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาค่อนข้างมีปัญหาในช่วงนี้ จึงต้องมีการเจาะคอ ซึ่งเป็นเรื่องของทางการแพทย์

"ผมขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ว และขอขอบคุณในการเสียสละของท่าน จนถึงวันนี้ผมคิดว่าบุญกุศลที่ท่านทำไว้ จะทำให้ท่านปลอดภัย ขอให้ปลอดภัยเป็นปกติสุขโดยเร็วกำลังใจจากผมเอง ซึ่งผมก็ให้ไปเยี่ยมเยือน 3 ครั้งแล้ว และทางกระทรวงสาธารณสุข รองนายกรัฐมนตรีก็เยี่ยมเยียนเป็นพิเศษอยู่แล้ว วันนี้ก็เอากำลังใจจากครม. ไปถึงท่านและครอบครัวท่านด้วย เราจะดูแลให้ดีที่สุด"นายกฯ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top