Monday, 30 June 2025
ค้นหา พบ 49115 ที่เกี่ยวข้อง

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ‘ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์’ เกี่ยวกับสมุนไพรที่น่าสนใจ และสมควรที่จะต้องมีการวิจัยว่าจะสามารถนำมาใช้เพื่อ “รักษา” โควิด-19 ได้หรือไม่นั้น มี 3 ชนิด

1.) ฟ้าทะลายโจร จากการรวบรวมข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ฟ้าทะลายโจรบดเป็นผงแบบรวมๆบรรจุแคปซูล โดยไม่ต้องใช้วิทยาการขั้นสูง มีสรรพคุณเภสัชที่ใช้ในการรักษา “ดีกว่า” การสกัดแยกเอาเพียงแค่สารสำคัญ “แอนโดรกราโฟไลด์” (Andrographolide) ออกมา ซึ่งการสกัดเช่นนี้ต้องอาศัยโรงงานบริษัทยาเท่านั้น

ประเด็นสำคัญคือสำหรับประเทศไทย พืชฟ้าทะลายโจรนั้น ปลูกง่าย ขึ้นง่าย และคนไทยส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการใช้ยานี้มายาวนานอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีสถานะเป็นยาสมุนไพร ยาแผนโบราณ ยาสามัญประจำบ้าน และอยู่ในบัญชียาหลักของชาติอีกด้วย

แปลว่าบริษัทยาแผนปัจจุบันคงไม่ค่อยอยากส่งเสริมฟ้าทะลายโจรเท่าไหร่ เพราะชาวบ้านและหมอแผนไทยสามารถกลายเป็นคู่แข่งบริษัทยาที่มีราคาแพงได้ อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรที่อาจทำให้ยาแผนปัจจุบันที่มีราคาแพงๆหรือมีสิทธิบัตรเสียผลประโยชน์ไปด้วย

2.) ตำรับยาขาว ตามตำรับยาศิลาจารึกของวัดโพธิ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แม้จะมีประสิทธิภาพในการลดสรรพไข้ได้หลายชนิด แต่ก็ต้องจ่ายยาโดยอาศัยแพทย์แผนไทย ในคลินิกการแพทย์แผนไทย หรือสหคลินิกที่มีการแพทย์แผนไทย ซึ่งสามารถใช่คู่กันกับใบฟ้าทะลายโจรแบบบดผงบรรจุแคปซูลได้ เพราะการแพทย์แผนไทยมักจะปรุงเป็นตำรับยาหรือมีสมุนไพรอื่นๆเพื่อลดผลเสียของสมุนไพรเดี่ยวได้

ตำรับยาขาวนี้ได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาว่าเป็น “ตำรับยาของชาติ” ตามกฎหมาย แพทย์แผนไทยสามารถจ่ายยาชนิดนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องวิจัยใหม่ อย่างไรก็ตามความยุ่งยากของยาขาวที่ใช้รากจากพืชหลายชนิดมาปรุงเป็นยานั้น ทำให้มีสมุนไพรเพื่อมาทำยาอย่างจำกัด ซึ่งแตกต่างจากฟ้าทะลายโจร

3.) สารสกัดกระชายขาว ซึ่งแม้ว่าจะเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องสกัดสารสำคัญออกมาเท่านั้น ไม่สามารถมีสรรพคุณทางยารักษาโควิด-19 ด้วยการรับประทานกระชายขาวแบบบดหยาบได้

ลักษณะเช่นนี้จึงต้องใช้เป็น “สารสกัดกระชายขาว”ในรูปแบบของยาแผนปัจจุบันที่มีการ “จดสิทธิบัตร” เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้สารสกัดยากระชายขาวมีราคาแพงกว่าพืชสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจรที่เพียงแค่นำใบมาบดหยาบก็สามารถใช้ได้แล้ว

ด้วยลักษณะเช่นนี้ฟ้าทะลายโจรแบบสกัดหยาบที่ชาวบ้านและแพทย์แผนไทยพึ่งพาตัวเองได้ จึงกลายเป็น “คู่แข่ง” ของผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนบริษัทยาหลายกลุ่ม ตั้งแต่ ผู้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ซึ่งนำมาใช้กับการต้านโควิด-19, ผู้ผลิตยาลดไข้, ผู้ผลิตหรือผู้คิดจะจดสารสกัดกระชายขาว, ผู้ผลิตยาวัคซีน ฯลฯ

แม้วันนี้จะเริ่มมีวัคซีนแล้วแต่ก็ยังมีตัวแปรและความไม่แน่นอนอยู่มาก จึงส่งผลทำให้ประชาชนในประเทศที่มีภูมิปัญญาและวัฒนธรรมในการรักษาของตัวเองมาอย่างยาวนานในเอเชียไม่ต้องการจะฉีดวัคซีน และเลือกที่จะรักษาด้วยสมุนไพรมากกว่า (หากมีทางเลือกนี้เปิดช่องให้ชัดเจนได้) ซึ่งแน่นอนว่าการมีสมุนไพรที่รักษาโควิด-19 ได้นั้น ย่อมเป็นอันตรายต่อกลุ่มทุนบริษัทยาและวัคซีนที่มองเรื่องการแสวงหาผลกำไรสูงสุดบนความกลัวและความทุกข์ยากของประชาชน

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ “ฟ้าทะลายโจร” ตลอดปีที่ผ่านมา กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จะฝ่าด่านมาใช้ทดลองกับผู้ป่วยโควิด-19 ได้เพียง 5 คนเท่านั้น ทั้งๆ ที่ปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิด-19 กว่า 13,000 คนแล้ว (รายงานเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2564) ซึ่งตรงกันข้ามกับยาที่มารักษาโควิด-19 ที่ใช้ในปัจจุบันก็ล้วนแล้วแต่ลัดขั้นตอนการวิจัยและเร่งใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 โดยทันทีทั้งสิ้น

ในชั้นนี้ จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าหากสื่อมวลชนต้องการจะสัมภาษณ์ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ใช้ฟ้าทะลายโจรนั้น เป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ เนื่องด้วยผู้วิจัยต้องมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิ์ของผู้ที่เข้าร่วมการวิจัยตามมาตรฐาน “จริยธรรมในการวิจัยในมนุษย์” จึงย่อมปกปิดชื่อ เบอร์โทรศัพท์ของผู้ป่วยและผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมด

แต่ก็น่าเสียดายว่าในยามวิกฤติเช่นนี้ “คุณค่า” ของการทดลองเป็น “กรณีศึกษา” ของการใช้ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบในผู้ป่วยโควิด-19 ไม่ได้รับการเปิดเผยจากผู้ป่วยกับสื่อมวลชน เพื่อประโยชน์ของชาติ ว่าฟ้าทะลายโจร “เพียงอย่างเดียว” จะทำให้หายป่วยได้เร็วกว่าการป่วยโรคโควิด-19 หรือไม่ โดยเฉพาะการทดสอบเบื้องต้นเพียง 5 วันเท่านั้น

สรุปผลการทดสอบ 5 ราย ที่ไม่ได้รับยาอย่างอื่นเลยนอกจากฟ้าทะลายโจร มีดังนี้

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 1 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจรตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 90 Copies พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 760 Copies (เพิ่มขึ้น 744.44%) แต่พอรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ “0” Copies คือไม่พบเลย

เราจะสามารถเรียกได้ว่าฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 1 หายได้ภายใน 5 วันได้หรือไม่

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 2 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 725 Copies พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 2,072 Copies (เพิ่มขึ้น 185.79%) แต่พอรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ “0” Copies คือไม่พบเลย เราจะสามารถเรียกได้ว่าฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 2 เพียงอย่างเดียวว่าหายได้ภายใน 5 วันได้หรือไม่

ความน่าสนใจต่อไปนี้คือผู้ป่วยรายที่ 3 ซึ่งถือว่า “ป่วยหนัก” กล่าวคือ ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 3 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 9,857,464,593 Copies (ประมาณ 9,857 ล้าน Copies) พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 344,507,736 Copies (ลดลงเหลือ 344 ล้าน Copies คิดเป็นจำนวนเชื้อลดลงถึง 96.50% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ 31,754,737 Copies (ประมาณ 31 ล้าน Copies คิดเป็นจำนวนเชื้อลดลงถึง 99.68% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 4 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 296,466 Copies พอรับประทานฟ้าทะลายโจร จนถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 308 Copies (เชื้อลดลง 99.8% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วันตรวจเชื้อได้ 13,935 Copies (เชื้อลดลง 95.29% เมื่อเทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 5 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อโควิด-19 ได้ 15,731 Copies เมื่อรับประทานฟ้าทะลายโจร จนถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 1,924 Copies (เชื้อลดลงไป 87.77% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อได้ 31 Copies (เชื้อลดลง 99.80% เมื่อเทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ในการทดสอบเบื้องต้นทั้ง 5 รายนี้ ปรากฏว่าอาสาสมัคร 1 รายมีค่าการทำงานของตับ Alanine Aminotransferase (ALT) เพิ่มสูงเป็น 1.7 เท่าของค่าปกติ ในวันที่ 5 ของการรับประทานยา ขณะที่อาสาสมัครอีก 1 ราย ที่มีแนวโน้มของค่าการทำงานของตับ คือ Aspartate aminotransferase และ Alanine Aminotransferase (ALT) สูงขึ้น แต่ไม่เกินค่าปกติ ส่วนที่เหลือไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ในอาสาสมัคร

ผลการทดสอบเบื้องต้นจึงสรุปได้ว่า

“การรับประทานสารสกัดฟ้าทะลายโจรซึ่งมี สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) 180 มิลลิกรัมต่อวัน (เทียบเท่าประมาณฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบ 48 เม็ดแคปซูล) อาจมีผลช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการแสดงของโรคโควิด-19 ได้แก่ ความรุนแรงของอาการไอ ความถี่ของการไอ ความรุนแรงของอาการเจ็บคอ ปริมาณเสมหะ และความรุนแรงของความปวดศีรษะ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05) ส่วนปริมาณน้ำมูกลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในวันที่ 5 ทั้งนี้พบว่า ในการรักษามาตรฐาน อาสาสมัครทุกรายไม่ได้รับยาแผนปัจจุบันอื่นร่วมด้วย

ความหมายของอาการที่ลดลงจนเกือบหายหรือหายนั้น คือ กรณีศึกษาที่ ‘หายป่วย’ หรือ ‘เกือบหายป่วย’ ได้ในภายใน 5 วันเท่านั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีหรือไม่?

อย่างไรก็ตามการรับประทาน “สารสกัด”ฟ้าทะลายโจรขนาดสูงอาจมีผลต่อค่าการทำงานของตับ ควรเฝ้าระวังค่าการทำงานในการศึกษาวิจัยต่อเนื่อง

สำหรับข้อแนะนำเพิ่มเติมของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกคือ

1.) สำหรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ไม่มีอาการ สามารถพิจารณาให้ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรขนาดที่มีปริมาณ สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) 60 มิลลิกรัมต่อวัน (ฟ้าทะลายโจร 16 เม็ดต่อวัน) แบ่งให้สามเวลาก่อนอาหาร เป็นเวลา 5 วัน

2.) สำหรับการใช้เพื่อการป้องกัน ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอในการให้ฟ้าทะลายโจรเพื่อการป้องกัน แนะนำให้ใช้หลักธรรมานามัย ในการดูแลตนเองแบบองค์รวม

มิได้แปลว่าลำพังเพียงแค่วิจัยเบื้องต้น 5 คนนี้จะเพียงพอ เพราะยังต้องวิจัยทางคลินิกแบบเปรียบเทียบกับยาหลอกต่อไปด้วยจำนวนผู้ป่วยมากกว่านี้

อย่างไรก็ตามแม้ผู้วิจัย หรือกรมการแพทย์แผนไทยจะไม่สามารถเปิดเผยชื่อและการติดต่อของผู้ป่วยที่เข้าวิจัยเพื่อให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ได้ แต่อย่างน้อย.…

“กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ก็ควรเป็นเจ้าภาพประสานถามความสมัครใจกับผู้ป่วยเหล่านี้เพื่อแสดงความจริงใจว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ถูกกดดัน หรือครอบงำจากคู่แข่งของฟ้าทะลายโจรจากกลุ่มทุนบริษัทยาอื่นๆ”

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ใครรู้ว่าหลังจากนี้ “ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบ”เพียงอย่างเดียว โดยปราศจากยาแผนปัจจุบันอื่นๆ จะได้มีโอกาสทดลองทางคลินิกได้จริงเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยปราศจากอุปสรรคจากกลุ่มทุนบริษัทยา หรือแพทย์ที่มีผลประโยชน์กับบริษัทยาอีกหรือไม่ เพราะเรื่องดังกล่าวนี้กำลังจะกระทบต่อกลุ่มทุนบริษัทยายักษ์ใหญ่อย่างหนัก

แต่สำหรับผู้เขียนจะไม่รอให้ถึงจุดนั้น เพราะจะขอเชิญชวนให้ผู้ป่วยที่ตรวจพบโควิด-19 ที่ได้เป็นอาสาสมัครมาใช้ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบทั้ง 5 ท่าน หากเห็นแก่ประโยชน์ของชาติในการที่หายป่วยโดยปราศจากการใช้ยาอื่นๆ แล้ว ขอให้ท่านที่สมัครใจในการเปิดตัวเพื่อสัมภาษณ์ส่งข้อความมาใน inbox ของแฟนเพจนี้ แจ้งชื่อ หลักฐาน และเบอร์ติดต่อกลับ จักเป็นพระคุณยิ่ง


ที่มา:

https://www.facebook.com/123613731031938/posts/3795068330553108/

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000007293

‘พาณิชย์’ วางเป้าส่งออกข้าวไทยปี 2564 ราว 6 ล้านตัน พร้อมปรับแผนการตลาด และประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในต่างประเทศ จาก Offline เป็น Online โชว์ศักยภาพผู้ผลิตและส่งออกข้าวคุณภาพของโลก

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการหารือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเพื่อหารือเกี่ยวกับเป้าการส่งออกข้าวไทยในปี 2564 ว่า ที่ประชุมฯ เห็นชอบการกำหนดเป้าการส่งออกข้าวไทยที่ปริมาณ 6 ล้านตัน ซึ่งเป็นปริมาณใกล้เคียงกับการส่งออกในปี 2563 ที่ส่งออกได้ทั้งปีรวม 5.72 ล้านตัน

ซึ่งเป้าหมายนี้ถือว่าท้าทายมาก เพราะปัจจุบันมีประเด็นที่ต้องติดตาม ทั้งค่าเงินบาทแข็งค่า และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ส่งผลให้ผู้นำเข้าหลายประเทศกำลังซื้อลดลง

สำหรับการส่งออกข้าวปี 2563 มีปริมาณรวมทั้งปี 5.72 ล้านตัน มูลค่า 1.16 แสนล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ที่มีปริมาณ 7.58 ล้านตัน มูลค่า 1.31 แสนล้านบาท โดยปริมาณลดลง 24.54% และมูลค่าลดลง 11.23%

อย่างไรก็ตามกรมฯ ได้มีการปรับแผนการดำเนินการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในต่างประเทศในปี 2564 โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบจาก Offline เป็น Online มากขึ้น ทั้ง

1.) การหารือกระชับความสัมพันธ์และสร้างความเชื่อมั่นกับประเทศคู่ค้าสำคัญ ผ่านระบบ Video conference ทั้ง ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย อิรัก บังกลาเทศ เป็นต้น รวมทั้งการหารือประเทศผู้ส่งออกข้าว เช่น เวียดนาม เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์การผลิตและตลาดข้าว

2.) การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ข้าวไทย เพื่อเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ 3.จัดกิจกรรมต่อยอดข้าวหอมมะลิไทยที่ได้แชมป์ข้าวที่ดีที่สุดในโลกปี 2563 (World’s Best Rice 2020) ผ่านช่องทางสื่อโซเชียลมีเดีย

ขณะเดียวกันยังทำงานใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่อการส่งออกข้าวไทย รวมทั้งดำเนินการร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทั่วโลก การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับข้าวไทย ทั้งในด้านคุณภาพ มาตรฐาน ความปลอดภัย และคุณประโยชน์ของข้าวไทยให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก เพื่อให้สามารถรักษาและขยายตลาดข้าวไทยในต่างประเทศและสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าในฐานะที่ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวคุณภาพของโลก

VinFast ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเวียดนาม รุกคืบอีกก้าว เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติ 3 รุ่น พร้อมเจาะตลาดต่างแดนด้วย

VinFast เป็นบริษัทในเครือของ Vingroup ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม โดยเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์เมื่อ 3 ปีก่อน มีโรงงานผลิตรถยนต์ในจังหวัดทางตอนเหนือของไฮฟอง รวมทั้งมีศูนย์วิจัยและพัฒนาในออสเตรเลีย, เยอรมนี และสหรัฐฯ โดดเด่นจากการเป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนาม ที่คนทั้งโลกจับตามอง

ล่าสุดจากรายงานข่าวของสำนักข่าว VnExpress ได้ระบุว่า VinFast ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ VinFast จะก้าวขึ้นเป็นค่ายรถยนต์รายใหญ่ระดับโลกในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 3 รุ่น

ความน่าสนใจ คือ รถรุ่นใหม่ทั้งสามรุ่นมีชื่อว่า VF31 รถยนต์ไฟฟ้าตัวถังครอสโอเวอร์ C-Segment, VF32 รถครอสโอเวอร์ D-Segment และ VF33 รถครอสโอเวอร์ D-Segment เป็นรถยนต์ที่มีระบบขับขี่ด้วยตนเองหลายระบบ รวมถึงระบบช่วยบังคับเลี้ยว การควบคุมเลนแบบปรับอัตโนมัติ และที่จอดรถอัตโนมัติ ซึ่งรถสามารถหาจุดจอดของตัวเองและคนขับสามารถเรียกรถให้ขับมาหาได้

อย่างไรก็ตามการเปิดตัวดังกล่าว มี 2 ใน 3 รุ่นที่เป็นระบบเชื้อเพลิง โดยรุ่นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง VF31 สามารถวิ่งได้ 300-500 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่น ขณะที่รุ่น VF32และVF33จะมาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติเลเวล 2 และ 3 รวมถึงตัวท็อปของทั้ง 3 รุ่นจะได้รับ Autopilot Lv.4 พร้อมฟังก์ชั่นเรียกรถ-นำรถจอดอัตโนมัติ ซึ่งทำงานร่วมกันระหว่างกล้อง 14 ตัว, เซ็นเซอร์ 360 องศา19 ตัว และเซ็นเซอร์ LiDAR ที่ไม่เปิดเผยอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งรายละเอียดที่เหลือจะเปิดเผยเพิ่มเติมในลำดับต่อไป

ทั้งนี้รถยนต์ที่วางเซ็กเม้นท์ไว้เป็นรุ่นพรีเมียม คาดว่าจะมีกล้อง 14 ตัว ที่สามารถตรวจจับวัตถุที่อยู่ห่างออกไปได้เกือบ 690 เมตรและทาง VinFast ยังได้อ้างอีกว่า ระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองของตน เร็วกว่ารุ่นรถขับเคลื่อนด้วยตนเองที่มีอยู่ในตลาดแปดเท่า

VinFast กล่าวว่า รถยนต์เหล่านี้มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในโลก รวมถึงการจัดอันดับห้าดาวของสำนักงานบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐฯ และการจัดอันดับห้าดาวของโครงการประเมินรถใหม่ของยุโรป

สำหรับ VF31 รุ่นมาตรฐานสามารถสั่งซื้อได้ในเวียดนามตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้และจะส่งมอบในเดือนพฤศจิกายน ส่วนรุ่น VF32 และ VF33 ลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่เดือนกันยายนและการจัดส่งจะเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ขณะเดียวกันบริษัทจะขายรถยนต์เหล่านี้ในสหรัฐ, แคนาดาและสหภาพยุโรปด้วย โดยเปิดรับออเดอร์ในเดือนพฤศจิกายนและส่งมอบในเดือนมิถุนายนปีหน้า

ส่วนในอนาคต VinFast จะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยด้วยหรือไม่นั้น ก็ต้องรอติดตามชมกัน


อ้างอิง:

https://www.carscoops.com/2021/01/vinfast-shows-off-three-new-evs-plans-to-come-to-the-us-in-2022/

https://www.posttoday.com/world/643481

เปิดเผยแล้ว! โควต้าจำนวนผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในการฉีดวัคซีนล็อตแรก เคาะตัวเลขออกมากว่า 19 ล้านคน มีกลุ่มไหนที่จะได้ฉีดวัคซีนก่อนใครกันบ้าง ลองไปเช็กดูกัน

แม้จะยังเป็นช่วง ‘รอ’ วัคซีนโควิด -19 ไม่ว่าจะเป็นกรณีของวัคซีนแอสตราเซเนกา ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการยื่นเอกสารขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือแม้แต่การสั่งจองวัคซีน (ยี่ห้ออื่นๆ) เพิ่มเติม แต่ล่าสุด ที่มีการอนุมัติออกมาแน่นอนแล้ว นั่นคือ ตัวเลขของประชาชนกลุ่มผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงวัคซีนก่อนใคร

โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเผยถึงมติอนุคณะกรรมการอำนวยการการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา มีรายละเอียดว่า ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่จะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 ในช่วงแรก มีจำนวนกว่า 19,014,154 คน

ทั้งนี้จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์, เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด -19, ผู้ที่มีโรคประจำตัว และผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ละกลุ่มจะได้รับโควต้าในจำนวนเท่าไร ลองตามไปเช็กกันดู

'โฆษกเพื่อไทย' ย้ำรัฐจริงใจแก้ปัญหาค่าโดยสารรถไฟฟ้า อย่าหวังแค่เอื้อประโยชน์นายทุน ชี้ค่าเดินทางแพงหูฉี่ ซ้ำเติมคนไทย ทั้งที่ใช้ภาษีประชาชนสร้าง

ผศ.ดร.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเตรียมปรับขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ 104 บาท ในวันที่ 16 ก.พ.นี้ ถือเป็นค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่สูงสุดเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในกลุ่มประเทศเอเชียที่พัฒนาแล้ว โดยก่อนที่จะปรับค่าโดยสารรถไฟฟ้าเป็นอัตราใหม่ พบว่า ค่าโดยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำต่อชั่วโมงหลายเท่า

โดยคนกรุงเทพฯ ได้ค่าแรงขั้นต่ำวันละกว่า 300 บาท หากคิดเป็นรายชั่วโมง จะอยู่ที่ 37.50 บาท ต้องจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 16 - 70 บาท ขณะที่สิงคโปร์ มีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 250 บาทต่อชั่วโมง แต่ค่าโดยสารรถไฟฟ้าแทบไม่ต่างจากไทย อยู่ที่ 17 - 60 บาท ส่วนเกาหลีใต้ ค่าเเรงอยู่ที่ 221 บาทต่อชั่วโมง ค่าโดยสารรถไฟฟ้าอยู่ที่ 37 - 96 บาท

โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในสมัยพรรคไทยรักไทย จนถึงพรรคเพื่อไทย ได้เสนอโครงการเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคมของกรุงเทพฯด้วยรถไฟฟ้า ได้วางแผนและกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ 15 บาท และ 20 บาทตลอดสาย บนพื้นฐานการคิดค่าเฉลี่ย โดยนำกำไรในเส้นทางที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่นมาชดเชยส่วนต่างในเส้นทางที่ขาดทุน ส่วนการลงทุนรัฐบาลร่วมลงทุนและอุดหนุนส่วนต่างราคา

เพื่อให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้บริการสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าที่รวดเร็วและลดมลพิษ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน แต่นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มีหลักคิดที่ตรงข้าม กลับมุ่งเน้นการให้สัมปทานเอกชนโดยเปิดประมูล เอื้อสัญญาให้บางบริษัทจนประชาชนผู้เสียภาษีตั้งคำถามว่าเอื้อกลุ่มทุนในหลายกรณีหรือไม่ เพราะรัฐไม่ได้มองว่าเป็นหน้าที่ที่รัฐต้องพัฒนาให้กรุงเทพฯเป็นเมืองแห่งอนาคต แต่มองกรุงเทพฯเป็นเค้กพร้อมแบ่งสรรปันส่วนกันหรือไม่ ทั้งหมดเป็นการซ้ำเติมทุกข์ให้กับคนไทยที่กำลังหมดหนทางต่อสู้กับชีวิตภายใต้ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทั้งสองระลอก

“ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำให้ไทยกลายเป็นผู้ตาม ประเทศที่เคยเติบโตต่ำกว่าเรา ตอนนี้ทิ้งห่างไปไกลไม่เห็นฝุ่น ในขณะที่ผู้นำไทยยังได้แต่สงสัยว่าทำไมเวียดนามโตกว่าไทย ส่วนคนไทยสงสัยมากกว่าว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นนายกฯอยู่” ผศ.ดร.อรุณี กล่าว


ที่มา: พรรคเพื่อไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top