Saturday, 28 June 2025
ค้นหา พบ 49068 ที่เกี่ยวข้อง

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 รอบสองว่า น่าจะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อเนื่องจากการเคลื่อนไหวปีที่แล้ว

ที่มีการชุมนุมกดดันรัฐบาล และได้ยกระดับการชุมนุมขึ้นตามลำดับ จึงทำให้มีการนัดชุมนุมอีกครั้ง น่าจะมาจากเหตุผล​ 5​ ประการ คือ

1.กลุ่มคณะราษฎร กำลังถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำเนินการจับกุมแกนนำ โดยใช้ข้อหาการกระทำผิดมาตรา 112 จากการชุมนุมทางการเมืองในหลายครั้งที่ผ่านมา

2.กลุ่มคณะราษฎรต้องการเคลื่อนไหว เพื่อตอบโต้การจับกุมแกนนำจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ต้องการให้เป็นฝ่ายถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียวจึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหวกดดัน ตอบโต้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย

3.เป็นการเคลื่อนไหวภาคประชาชนควบคู่กับการเคลื่อนไหวในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยกเลิกการใช้มาตรา 112 คู่ขนานกับข้อเรียกร้องของพรรคก้าวไกลและกลุ่มคณะก้าวหน้า ที่ต้องการให้มีการแก้ไข มาตรา112

4.เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อรักษามวลชน หลังจากว่างเว้นการชุมนุมมาตั้งแต่ช่วงปลายปี และได้ประกาศว่าจะยกระดับการชุมนุมหลังปีใหม่ แต่เมื่อติดสถานการณ์โควิด19 ระบาดรอบสอง จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการชุมนุมใหม่

5.กลุ่มคณะราษฎรได้ปรับรูปแบบการชุมนุม โดยเน้นการชุมนุมในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าปริมาณ โดยหวังขยายผลการชุมนุมทางออนไลน์ มากกว่าการชุมนุมบนท้องถนน

ส่วนตัวเชื่อว่าการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร กำลังรอคอยเวลา สั่งสมมวลชน เมื่อสถานการณ์การระบาดของโควิด19 ลดน้อยลง ก็จะมีการระดมมวลชนยกระดับการชุมนุมขึ้นมาอีก และจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าจากการเคลื่อนไหวประเด็นการยกเลิกมาตรา 112 กับกลุ่มผู้สนับสนุนให้มีการบังคับใช้มาตรา 112 อีกต่อไป ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน จะนำไปสู่ความขัดแย้ง และความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น จึงอยากจะให้รัฐบาล เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และผู้รับผิดชอบ ไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท หรือประเมินมวลชนต่ำเกินไป ต้องเตรียมมาตรการรับมือกับการชุมนุมของมวลชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย

'บิ๊กตู่' ยันไม่ปิดกั้นนำเข้าวัคซีน แต่ช่วงแรกจำเป็นควบคุมเหตุเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องให้ อย.รับรองเท่านั้น แย้มพิจารณาประเมินสถานการณ์รายวันก่อนตัดสินใจคลายล็อค เหน็บสื่ออย่าเพิ่มขยะสังคม เพราะวันนี้ขยะพิษเยอะอยู่แล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข ในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ทั้งนี้ก่อนประชุมกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ได้นำผลงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อรองรับสถานการณ์โรค covid-19 ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้นประจำปีงบประมาณ 2564 มาจัดแสดงให้คณะรัฐมนตรีได้รับชม

เช่น การใช้ประโยชน์จากระบบปัญญาประดิษฐ์ ในการประเมินการใส่หน้ากากอนามัยของประชาชน เพื่อเฝ้าระวังการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19, เครื่องฆ่าเชื้อโควิด-19 โดยละอองนาโนและตู้อบฆ่าเชื้อไวรัสระบบไฮบริด โดยมีศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่าเชื้อที่แพร่ระบาดในขณะนี้มาจากพม่าแน่นอน ไม่ใช่สายพันธ์ที่มาจากอังกฤษที่ตรวจพบในสถานกักตัว ซึ่งโชคดีที่เราสามารถควบคุมไว้ได้ โดยเฉพาะที่มาจากต่างประเทศ โชคดีเราควบคุม ตรวจสอบคัดกรองได้และหาตัวได้เจอ

ขณะที่ นพ.ยง กล่าวว่า เชื้อต่อที่มาจากต่างประเทศ เป็นการติดเชื้อเร็วขึ้นแต่ความรุนแรงเท่าเดิม วัคซีนในขณะนี้ใช้ได้ เพราะระบบภูมิต้านทานอยู่ในกลุ่มเดียวกัน

พล.อ.ประยุทธ์ จึงกล่าวว่า แค่สองเชื้อก็วุ่นพออยู่แล้ว ต้องไม่ให้มีเชื้อสายอื่นเข้ามาในประเทศ ซึ่งพื้นฐานของเชื้อเหล่านี้ใกล้เคียงกัน แต่สายพันธุ์ใหม่เพียงแพร่ได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะต้องดูที่มาจากไกลๆ รอบบ้าน เพราะเราไม่รู้ว่าเขาดำเนินการได้ดีแค่ไหนอย่างไร จึงต้องไม่ประมาท เพราะอยากให้เพื่อนบ้านทุกประเทศปลอดภัย หากเขาปลอดภัยเราก็ปลอดภัย

"ทุกวัคซีนที่จะนำเข้ามาเราไม่ปิดกั้น ไม่ใช่แอสตร้าเซนเนก้าอย่างเดียว แต่ต้องมีมาตรฐานการรับรองจากต้นทางมาด้วย แล้วต้องมาผ่านมาตรฐานเรา แต่ในเรื่องการฉีด เมื่อเราได้วัคซีนมา และไม่ใช่อย.อนุญาตแล้วฉีดได้ทันที เพราะวัคซีนทยอยเข้ามาตามคิว หมายความว่าตอนนี้เรายังไม่มีวัคซีน ดังนั้นระหว่างนี้เราต้องศึกษา เพื่อให้เกิดความรอบคอบว่าเมื่อฉีดแล้วเป็นอย่างไร และเตรียมมาตรการป้องกัน ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ และวันหน้าหากของที่อื่นได้ผลเราก็ซื้อได้ เราไม่ผูกขาดใครอยู่แล้ว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้เรายังเลือกวัคซีนไม่ได้มาก แต่ต่อไปเมื่อมีการพัฒนาการแข่งขันก็มีคุณภาพมากขึ้น ราคาถูกลง ซึ่งวัคซีนเหล่านี้ต้องฉีดหลายครั้งและหลายปีตราบใดที่มีการระบาดอยู่ เหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่เป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ สิ่งสำคัญสินค้าที่นำเข้ามาถือเป็นสินค้าควบคุมดูแลก่อนระยะแรก ถือว่าเราใช้ในช่วงมีสถานการณ์ฉุกเฉินในขณะนี้ที่มีการแพร่ระบาดของโรค ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะนำเข้าในระยะนี้ เป็นเรื่องของรัฐบาลที่เรามีความรับผิดชอบในขณะนี้ วันข้างหน้าถ้าดีแล้ว ในทางพาณิชย์ค่อยว่ากันอีกที แต่วันนี้ใครจะมาฉีดเองไม่ได้ทั้งนั้น วัคซีนทั้งหมดต้องมาจากเรา เพราะเรารับผิดชอบตรงนี้ จึงต้องดูแล แต่ถ้าดำเนินการแล้วเกิดอะไรขึ้นมา ก็อยู่ที่บริษัทที่ผลิตยาและวัคซีนด้วยที่ต้องรับผิดชอบ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า ครั้งนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินจำเป็นต้องใช้ มีผลข้างเคียงอะไรบ้างก็แล้วแต่กลุ่ม ดังนั้นขอสื่อไปดูรายละเอียดด้วยก่อนเสนอข่าว ไม่เช่นนั้นสับสนอลหม่านไปหมด และวันนี้แม้ใครพร้อมดำเนินการและมีงบฯ พอก็ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะยังไม่มีวัคซีน ซึ่งเรื่องวัคซีนให้รัฐบาลเตรียมดูแลตรงนี้ก่อนให้เพียงพอ ขอร้องสื่อลงข่าวให้ดีด้วย เพราะรัฐบาลดูแลคนทั้งประเทศ บางทีลงข่าวไปก็งง

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ รับชมระบบตรวจจับการใส่หน้ากากอนามัย โดยนายกฯ กำชับว่า ต้องไปดูในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงมาก แต่ทุกคนต้องมีวินัย สื่อเองก็สอนให้คนมีวินัยด้วย ตนขอแค่นั้น อย่าสอนให้คนไม่มีวินัย ซึ่งสื่อก็ต้องเรียนรู้ไปด้วยกันไม่เช่นนั้นก็เป็นแบบเดิม พูดคนละภาษา นอกจากนี้ขอขอบคุณหมอและทีมวิจัยขอให้เร่งพัฒนาสิ่งเหล่านี้วิจัยได้รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้ขอย้ำวัคซีนการนำเข้ามาอะไรต่าง ๆ ต้องเตรียมความพร้อมของเราาซึ่ง 20 กว่าล้านโดสที่ทยอยมา มีคณะกรรมการฯ พิจารณารอบคอบ และใช้ในภาวะฉุกเฉินไม่ใช่ภาวะปกติ

ขณะเดียวกัน นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะผู้บริหาร เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ “ฮาวทูแยก-แยกอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ” รับมอบถุงขยะสีแดง จำนวน 35,000 ใบ และถังขยะสีแดง ความจุ 120 ลิตร จำนวน 300 ใบ สำหรับใช้บรรจุ ขยะมูลฝอยติดเชื้อ เช่น หน้ากากอนามัย กระดาษชำระ เสื้อกาวน์จากเม็ดพลาสติก ชุดอุปกรณ์ป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ และ ถุงมือ จากบริษัทเอกชน เพื่อให้กระทรวงมหาดไทย และสำนักนายกรัฐมนตรี นำไปใช้จัดเก็บขยะในพื้นที่เสี่ยง โดยนำร่องที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และสมุทรสาคร

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ทุกคนทิ้งขยะให้ถูกที่ โดยเฉพาะขยะมีพิษ ขยะติดเชื้อไม่ใช่เรื่องหน้ากากอนามัยย่างเดียว และยังมีขยะติดเชื้อตามโรงพยาบาลอีกจำนวนมาก จึงต้องบริหารจัดการขยะให้ดี ส่วนการสร้างโรงงานขยะ บางพื้นที่ติดปัญหาบ้าง เพราะหาพื้นที่ไม่ได้ ประชาชนไม่ยอม ก็ไม่รู้แก้ปัญหาได้อย่างไร จึงต้องขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ด้วย โดยยืนยันความปลอดภัย แต่ถ้าโรงงานขยะไม่กระจายตามพื้นที่ก็จะมีการนำขยะไปเผาทิ้งข้ามจังหวัด ซึ่งจะอันตราย แต่ถ้าทุกจังหวัดหรือทุกภาคมี การขนส่งก็จะถูกลง ดังนั้นท้องถิ่นต้องร่วมมือกันและต้องคิดให้ครบ ถ้าพูดหรือคิดเพียงชั้นเดียวก็เป็นเรื่องแค่ชั้นเดียว เราต้องดูว่าเหตุผลและความจำเป็นคืออะไร เรามีอะไรดี ๆ อยู่เยอะ อย่าว่ากันนักเลย

"สาระสำคัญในการทำงานมีเยอะมากในแต่ละเรื่อง มีข้อปลีกย่อยเยอะ จึงขอให้ช่วยกันคิดและศึกษาจะได้ทำความเข้าใจไปพร้อมกัน ไม่เช่นนั้นประชาชนอ่านสื่อแล้วไม่เข้าใจ ผมไม่โทษพวกท่านหรอก แต่ท่านต้องพัฒนาให้ตรงกับที่เราคิดว่าใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือไม่ถูก สื่อเสนอไปผมไม่ว่า แต่ถ้าเสนอไม่ตรงเลยแบบนี้ก็ลำบาก วันนี้ขยะพิษหน้ากากพิษจากการป้องกันโควิดเยอะอยู่แล้ว อย่าสร้างขยะอย่างอื่นขึ้นมาอีก พวกขยะสังคมอะไรพวกนี้" นายกฯ กล่าว

ในช่วงท้ายพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นายกฯ เป็นห่วงทุกคนจึงสั่งให้ตรวจ Swab ผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบทั้งหมด ซึ่งวานนี้ (18 ม.ค.) ตนเองก็ตรวจไปแล้ว และผลไม่ติดเชื้อ

ผู้สื่อข่าวถามว่า เราจะมีข่าวดีในการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ในสิ้นเดือนนี้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ก็มีการพิจารณาอยู่ โดยจะต้องดูสถานการณ์เป็นวัน ๆ

‘กระทรวงแรงงาน’ เตือนแรงงานต่างด้าวและนายจ้าง อย่าหลงเชื่อนายหน้าเถื่อน หลอกเดินเรื่องทำเอกสารต่อวีซ่า/ขออนุญาตทำงาน พร้อมเผยกระบวนการมีทั้งคนไทยและคนต่างด้าวหลอกลวงกันเอง อาศัยความไม่รู้ข้อมูล และชูความสะดวกสบายเป็นจุดขาย

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายและมาตรฐานสากล และการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจแรงงานกลุ่มเสี่ยงและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงานอย่างเข้มงวด เพื่อขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล และยกระดับประเทศไทยสู่ Tier 1 ในปี 2564

“กระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญในการดูแลคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยทั้งของผู้ใช้แรงงานไทย และแรงงานต่างด้าว อย่างเท่าเทียมกัน จึงขอเตือนให้แรงงานต่างด้าวหาข้อมูลที่ถูกต้องก่อนตัดสินใจใช้บริการนายหน้าที่อ้างว่า สามารถติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าว และหน่วยงานราชการไทย เพื่อดำเนินการเรื่องหนังสือเดินทาง การต่ออายุวีซ่า และใบอนุญาตทำงานได้ เนื่องจากปัจจุบันเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ระลอกใหม่ ทำให้ต้องมีมาตรการลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น เว้นระยะห่างจากผู้อื่น เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อ แรงงานต่างด้าวและนายจ้างจึงหันไปใช้บริการสาย/นายหน้าให้ดำเนินการแทน มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายสูงเกินจริง และอาจถูกหลอกลวงได้ ซึ่งนายจ้างและแรงงานต่างด้าวสามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศที่ถูกกฎหมายกับกรมการจัดหางานได้“ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า บริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ (บริษัทนำเข้า) ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 250 แห่ง เป็นผู้รับอนุญาตฯ ที่บริษัทตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร 75 แห่ง และส่วนภูมิภาค 175 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มกราคม 2564)

“กรมการจัดหางาน จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจัง หากพบผู้กระทำผิด จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ที่หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ หรือสามารถหาลูกจ้างซึ่งเป็นคนต่างด้าวให้กับนายจ้าง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง จะต้องระวางมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 - 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 600,000 - 1,000,000 บาท ต่อคนต่างด้าว 1 คน หรือทั้งจำทั้งปรับ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานฯที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ได้ที่ www.doe.go.th หรือแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ ที่ถูกสาย/นายหน้าเถื่อนหลอกลวง สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการด้วย

ยังคงมีการตั้งคำถามอย่างต่อเนื่อง ถึงกลุ่มที่จะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ก่อน-หลัง ทำไมต้องให้ใครได้อภิสิทธิ์ก่อน

ล่าสุด นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณศ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่าน “Yong Poovorawan” โดยมีเนื้อความที่อธิบายไวอย่างชัดแจ้งว่า

ทำไมวัคซีนจึงไม่เลือกให้ไปถึงคนหนุ่มสาวหรือวัยแรงงานที่พบการระบาด ทั้งๆ ที่ตอนนี้มีการแพร่ระบาดของโรคเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะได้ช่วยลดการแพร่กระจายของโรค ไม่ให้ไปติดผู้สูงอายุ และกลุ่มอื่นๆ

โดย หมอยง อธิบายว่า การพัฒนาวัคซีนมาจนถึงปัจจุบัน มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า สามารถลดความรุนแรงของโรค และลดการตายจากโรค แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะบอกว่า วัคซีนสามารถป้องกันการติดโรค โดยเฉพาะการติดเชื้อแบบไม่มีอาการ แต่มีข้อมูลชัดเจนว่าลดความรุนแรง และลดอัตราการตาย

การให้ในวัยแรงงานที่พบมีผู้ป่วยจำนวนมาก ยังไม่มีบทพิสูจน์ที่จะลดการแพร่กระจาย เมื่อได้รับวัคซีนในกลุ่มนี้ อาจมีการติดเชื้อแบบไม่มีอาการก็ยังสามารถแพร่กระจายโรคได้อยู่ดี

ดังนั้น ในวัยแรงงานเมื่อป่วยเป็นโรค โอกาสเสียชีวิตน้อยมาก

การให้วัคซีนในกลุ่มนี้ ก็ยังไม่มีหลักประกันว่าจะลดการติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อแบบไม่มีอาการ เมื่อเกิดขึ้น ก็ยังสามารถแพร่กระจายโรคได้

จึงมีเหตุผลที่ให้ในกลุ่มเสี่ยงสูง (ผู้สูงอายุ) และบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าก่อน เพื่อไม่ให้ป่วยและเสียชีวิต


ที่มา: เฟซบุ๊ก Yong Poovarawan

อาร์เอส ต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจ ขยายอาณาจักรเพิ่มจากบันเทิง-ช้อปปิ้ง ไปสู่ธุรกิจสายการเงิน เน้นเข้าควบรวมธุรกิจเฉพาะ สร้างฐานเครืออาร์เอสมั่นคงในระยะยาว

นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การก้าวสู่ New Era เพื่อสร้าง New S-Curve นั้น การเข้าซื้อลงทุนในกิจการ หรือ M&A เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้าง Ecosystem ให้มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นการสร้างมูลค่าทางธุรกิจ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนมั่นคงในระยะยาว ด้วยการเข้าลงทุนผ่านงบ 920 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น 'บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด' โดยได้รับการสนับสนุนวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน

สำหรับเหตผลที่ อาร์เอส เข้าซื้อหุ้น 'กลุ่มบริษัทเชฎฐ์' เพราะมองว่าภาวะแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบัน จำนวนหนี้ด้อยคุณภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น บริษัทจึงมองเห็นโอกาสในการต่อยอดโมเดลธุรกิจ Entertainmerce โดยการเข้าซื้อหุ้น บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด ที่มีบริษัทย่อย 3 บริษัท (ถือหุ้น 100%) ได้แก่ บริษัท รีโซลูชั่น เวย์ จำกัด บริษัท บริหารสินทรัพย์ ซีเอฟ เอเชีย จำกัด และ บริษัท คอร์ทส์ เม็กก้าสโตร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือเรียกรวมว่า กลุ่มบริษัทเชฎฐ์ ซึ่งประกอบธุรกิจหลัก ได้แก่

1) ธุรกิจบริหารหนี้ครบวงจร และที่ปรึกษาการบริหารจัดการหนี้ ดำเนินการโดย บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด มีพนักงาน Call center กว่า 400 คน และทีมติดตามและบริหารหนี้กว่า 100 คน สำหรับรองรับการให้บริการ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าพอร์ตให้บริการติดตามหนี้สินกว่า 45,000 ล้านบาท จำนวนบัญชีลูกหนี้กว่า 3 แสนราย ลูกค้าหลักได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงินและที่มิใช่สถาบันการเงิน

2) ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ เข้าซื้อ รับโอนและบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ NPL ทั้งจากกลุ่มสถาบันการเงินและที่มิใช่สถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจนี้ ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์ ซีเอฟ เอเชีย จำกัด ได้รับใบทะเบียนบริษัทบริหารสินทรัพย์จากธนาคารแห่งประเทศไทย (“ธปท.”) และ บริษัท รีโซลูชั่น เวย์ จำกัด ปัจจุบัน มีมูลค่าพอร์ตหนี้ภายใต้การบริหารกว่า 27,000 ล้านบาท จำนวนบัญชีลูกหนี้กว่า 1 แสนบัญชี

3) ธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้บริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท รีโซลูชั่น เวย์ จำกัด ดำเนินธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. และ บริษัท คอร์ทส์ เม็กก้าสโตร์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ปัจจุบันมีมูลค่าสินเชื่อคงเหลือประมาณ 300-400 ล้านบาท รวมทั้งหมดกว่า 1,000 บัญชี

ทั้งนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุน กลุ่มบริษัทเชฎฐ์มีการประกอบธุรกิจที่ครบวงจร ตั้งแต่การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ การติดตามทวงถามหนี้ บังคับคดีและการให้สินเชื่อรายย่อย และมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นอกจากนี้ ยังมีทีมผู้บริหาร ทีมงาน และบุคลากร ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์การดำเนินการธุรกิจนี้มาอย่างยาวนาน จึงเชื่อว่าจะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีให้กับอาร์เอส

โดยปีที่ผ่านมา คาดว่ากลุ่มบริษัทเชฎฐ์ มีประมาณการรายได้รวมราว 600-700 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณเกือบ 150-200 ล้านบาท

ดังนั้น การที่ อาร์เอส กรุ๊ป เข้าถือหุ้นในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการรุกธุรกิจใหม่ เป็นโอกาสที่ดีที่จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ เพราะเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และยังมีแผนการเติบโตของพอร์ตบริหารหนี้และยอดสินเชื่อรายย่อยอย่างต่อเนื่องในอนาคต

"จากความร่วมมือของทั้งสองกลุ่มบริษัทในครั้งนี้ มั่นใจว่าจะสามารถสร้าง synergy ที่แข็งแรงมากขึ้น จากการใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ทางทรัพยากรและจุดแข็งของแต่ละบริษัทฯ ทั้งในด้านสื่อ ช่องทางการขาย ระบบการบริหารจัดการข้อมูล และ Ecosystem ของ อาร์เอส กรุ๊ป รวมถึงประสบการณ์ความชำนาญในธุรกิจ และภาพลักษณ์ในอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัทเชฎฐ์ จะส่งผลให้เกิดประโยชน์เสริมให้กันและกันอย่างมาก อาทิ การขยายฐานลูกค้า ช่องทางการขาย การใช้สื่อและกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์ ซึ่งเหล่านี้จะสร้างความแตกต่างและต่อยอดโมเดล Entertainmerce ได้อย่างแน่นอน และจะช่วยเสริมให้กลุ่มบริษัทเชฎฐ์มีการเติบโตที่แข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคตจนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 3 ปี” นายสุรชัย กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top