Thursday, 15 May 2025
ค้นหา พบ 48079 ที่เกี่ยวข้อง

“โฆษกปชป.”เผย “จุรินทร์”ย้ำ ทุกภาคส่วนของพรรค ลุย ช่วย ปชช. สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ เต็มที่ แนะเพิ่มช่องทางสื่อสารโดยมีเจ้าภาพหลัก เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ขณะนี้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก  พรรคขอเป็นกำลังใจและแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตทุกคน สถานการณ์ขณะนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อผ่านพ้นไปให้ได้ ในส่วนของพรรค โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ย้ำกับบุคลากรของพรรคทุกคน ให้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ลำบากให้ได้มากที่สุด ซึ่งตั้งแต่แรกเริ่มที่มีการแพร่ระบาดพรรคได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตลอดมา การตั้งศูนย์ในส่วนกลาง ทั้งทำการประสานให้คำปรึกษา ส่วนในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. อดีต ส.ส. ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดทุกเขต ก็จะมีการให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนตลอดมา และจนถึงขณะนี้ได้สื่อสารย้ำให้ประชาชนยังต้องป้องกันตัวเองด้วยวิธีการตามที่กำหนด การสวมหน้ากาก การหมั่นล้างมือ การไม่รวมกลุ่มสังสรรค์กันเป็นจำนวนมาก ก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยป้องกันได้ ในทุกพื้นที่บุคลากรของพรรคจะมีทั้งการแจกหน้ากาก การบริการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ การช่วยหาเตียงให้ผู้ป่วยการมอบอาหารให้กลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัว และที่สำคัญให้การสนับสนุนความสะดวกร่วมกันทำงานกับบุคลากรทางการแพทย์ 
       
นายราเมศ กล่าวต่อว่า ต้องยอมรับว่าบุคลากรทางการแพทย์ทุ่มเททำงานกันอย่างหนักแทบจะไม่มีเวลาพัก ขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน และเชื่อว่าคนไทยส่งกำลังให้เช่นกัน 
ขณะนี้รัฐต้องเพิ่มช่องทางการสื่อสารที่จำต้องให้มีเจ้าภาพหลักอย่างแท้จริงในการรวบรวมข้อมูลและสื่อสารให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อป้องกันความสับสน การคัดกรองผู้ติดเชื้อย่อมมีความสำคัญ และการคัดแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อให้มีพื้นที่รองรับที่พอเพียงก็สำคัญเช่นกัน ควบคู่ไปกับกระบวนการในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน เชื่อว่าหากมีการอธิบายความจริงของการทำงานประชาชนพร้อมจะรับฟังและจะเกิดความเขื่อมั่นในที่สุด 

Marie Curie นักเคมี ผู้ช่วยชีวิตมนุษยชาติพ้นจากมะเร็งร้าย

ถ้าจะพูดถึงโรคร้ายที่ใครหลาย ๆ คนไม่คิดไม่ฝันที่อยากจะเป็นนอกจาก โควิด-19 แล้วโรคมะเร็งก็ถือว่าเป็นโรคอันดับหนึ่งที่ผู้คนไม่อยากจะเป็น แต่กลับกันโรคมะเร็งในปัจจุบันได้คร่าชีวิตผู้คนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อย้อนกลับไปโรคมะเร็งถือว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา จน “Marie Curie” นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้คิดและค้นพบตัวธาตุที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งได้สำเร็จ วันนี้ THE STUDY TIMES จะขอกล่าวถึงประวัติและผลงานที่สำคัญของ Marie Curie ที่ได้ช่วยชีวิตผู้คนจากโรคมะเร็งได้กันค่ะ 

ชื่อเดิมของ Marie Curie คือ Marie Sklodowska เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 ณ เมืองวอร์ซอ เมืองหลวงของประเทศโปแลนด์ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 5 คน โดยพ่อของ Marie เป็นอาจารย์สอนวิชาวิทยาศาสตร์ และแม่เป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ ทำให้ Marie นั้นได้มีความชื่นชอบและสนใจในด้านของวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก หลังจบการศึกษาระดับมัธยม 

ด้วยสถานะทางบ้านที่ไม่ค่อยดีทำให้ Marie กับพี่สาว ทำงานเป็นอาจารย์สอนในระดับอนุบาลเพื่อหาเงินเรียนต่อมหาวิทยาลัย จน Marie สามารถเรียนจบปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1893 และได้เริ่มทำงานในห้องปฏิบัติการทางอุตสาหกรรมของศาสตราจารย์ Abriel Lippmann และเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยปารีสจนจบปริญญาโทในปี ค.ศ. 1894

ในขณะที่ Marie ทำงานเป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการทางเคมี ทำให้ Marie พบกับ Pierre Curie เป็นนักฟิสิกส์ที่ทำงานอยู่ที่เดียวกับ Marie โดยทั้งสองเริ่มสนิทกันจากความสนใจในด้านแม่เหล็ก แร่ธาตุต่าง ๆ ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันและมีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ก็ยังไม่ทิ้งในเรื่องของวิทยาศาสตร์ทั้งตัว Marie และ Pierre ร่วมศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแผ่รังสีของแร่ด้วยกันต่อจากนั้น

ในช่วงเวลานั้น ที่ประเทศฝรั่งเศสมีนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่สนใจในเรื่องของรังสี แร่ธาตุต่าง ๆ โดยหนึ่งในผู้คนพบรังสีชนิดใหม่ คือ Antoine Henri Becquerel นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส เพื่อนสนิทของ Pierre ผู้ค้นพบปรากฏการณ์การแผ่รังสีจากแร่ยูเรเนียม (Uranium) ทำให้ทั้ง Marie และ Pierre จึงศึกษาค้นคว้าต่อไปจนถึงแหล่งพลังงาน พวกเขาสืบเสาะไปจนพบว่าแหล่งที่มาของพลังงานที่แผ่ออกมาคือ แร่พิตช์เบลนด์ (Pitchblende) ซึ่งเป็นออกไซด์ชนิดหนึ่งของแร่ยูเรเนียม โดยหลังจากพยายามสกัดแร่พิตช์เบลด์ออกมา Marie และ Pierre ก็ได้ค้นพบธาตุชนิดใหม่ โดยตั้งชื่อว่า โปโลเนียม (Polonium) เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศโปแลนด์ บ้านเกิดของ Marie

และในปี ค.ศ. 1898 Marie และ Pierre จึงได้ศึกษาต่อเพิ่มเติม โดยทั้งคู่ได้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะยังมีสารประกอบที่อยู่ในแร่พิตช์เบลด์อีกมาก หลังจากพยายามมานานกว่า 5 เดือนหลังทั้งคู่ก็ได้พบกับธาตุชนิดใหม่ โดยตั้งชื่อธาตุนี้ว่า เรเดียม (Radium) ในภาษากรีกแปลว่าแสง ซึ่งธาตุเรเดียมนี้สามารถแผ่รังสีออกมาได้มากกว่ายูเรเนียมหลายเท่า และธาตุเรเดียมยังสามารถส่องผ่านเนื้อหนังของมนุษย์ได้

ทั้งคู่ได้สังเกตเห็นว่า ธาตุเรเดียมสามารถแผ่รังสีพลังงานลึกถึงภายในของเนื้อเยื่อ จนส่งผลให้มือของ Marie แห้งกร้าน และลอกเป็นชั้นสีดำเหมือนโดนไฟไหม้ ในขณะที่ Pierre เก็บธาตุเรเดียมเพียงไม่กี่มิลลิกรัมในกระเป๋าเสื้อ ตัวแร่ธาตุก็ทำให้เสื้อของ Pierre ไหม้และทำให้เกิดรอบแผลเป็นบริเวณหน้าอก 

จึงทำให้ทั้งคู่ทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นทั้ง Marie และ Pierre ได้ร่วมมือกับ Antoine ในการคิดค้นและวิจัย ทำให้ทั้ง 3 คนได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ในฐานะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาปรากฏการณ์กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) 

และจากการที่ Marie และ Pierre ได้ค้นพบธาตุเรเดียมทำให้ Marie ได้ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปารีสซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับปริญญาเอกของประเทศฝรั่งเศส แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าใจคือ Pierre ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้ Marie โศกเศร้าเสียใจแต่ก็ยังศึกษาในเรื่องของแร่ธาตุต่อไป 

และในปี ค.ศ. 1911 Marie ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยปารีส ในการตั้งสถาบันเรเดียม เพื่อค้นคว้าการใช้ประโยชน์จากธาตุเรเดียม ทําให้ Marie รวมถึงทีมนักวิจัยค้นพบว่าเรเดียมมีคุณสมบัติทางการแพทย์ที่สามารถนำมาต่อยอดพัฒนาเป็นเครื่องมือรักษาโรคมะเร็งบางอวัยวะได้โดยการใช้ธาตุเรเดียมยิงไปที่เซลล์มะเร็งด้วยอนุภาคกัมมันตรังสี

จากผลงานนี้เองทำให้ Marie ได้รับรางวัลโนเบลอีกครั้ง ในสาขาเคมีจากการค้นพบธาตุพอโลเนียมและเรเดียม ซึ่งการรับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งของมารีทำให้มารีกลายเป็นบุคคลแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล 2 สาขาเพียงคนเดียวในโลก

ด้วยความสำเร็จของ Marie ในปี ค.ศ. 1933 ได้ทำการจัดตั้งมูลนิธิ Curie Foundation เพื่อทำหน้าที่ในการสนับสนุนการวิจัยด้านงานวิทยาศาสตร์และสนับสนุนทางการแพทย์ และในปี ค.ศ. 1953 สถาบันแห่งนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของสถาบันวิจัยมะเร็งในหลายประเทศ และเริ่มใช้งานด้านวิทยาศาสตร์เข้ามามีส่วนร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของสังคมมากขึ้น

และช่วง Marie อายุ 58 ปี สุขภาพเริ่มทรุดโทรมหนักมากขึ้น เริ่มมีอาการหูหนวก ตาบอด และมีรอยไหม้ที่ตามมือ ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้เวลาทำการทดลองรังสีต่าง ๆ ทำให้ถูกรังสีจากสารกัมมันตภาพรังสีเผาตามอวัยวะ ในเวลาต่อมา Marie ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลโอตซาวัว (Haute Savoie) และเสียชีวิตในวัย 67 ปี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1934

นับได้ว่า Marie Curie คือบุคคลที่เสียสละและสร้างประโยชน์หลายอย่าง เป็นสิ่งที่เกิดจากความรักในการทดลอง ความสนใจ ความชอบในวิชาชีพของตัวเองถึงแม้อาจจะทำให้ตัวเองต้องบาดเจ็บแต่ผลลัพธ์หรือสิ่งที่เธอได้จากการค้นคว้าและวิจัยนี้สามารถต่อชีวิต และ ลมหายใจให้กับผู้คนอีกหลายล้านคน ถึงแม้เธอจะจากไป แต่คุณงามความดีและบทเรียนที่ได้จากการทดลองของ Marie สามารถต่อยอดและทำให้มีการวิจัยพัฒนาทางการแพทย์จนถึงปัจจุบัน 


แหล่งข้อมูล 
https://thepeople.co/marie-curie-radioactivity/
https://www.scimath.org/article-science/item/11461-19-marie-curie
https://www.takieng.com/stories/8714

"ผอ.สสน.นทพ." ตรวจเยี่ยมชุดควบคุมแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก เขตลาดกระบัง

พล.อ.นเรนทร์  สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) มอบหมายให้ พล.ต.ธนินทร์  พู่ทองคำ ผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผอ.สสน.นทพ.) ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและรับทราบปัญหาข้อขัดข้องพร้อมมอบแนวทางในการปฏิบัติให้แก่ชุดควบคุมแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก เขตลาดกระบัง ซึ่งเป็นกำลังพลที่ นทพ. จัดสนับสนุนศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) กทม. ในการดูแลควบคุมแคมป์คนงานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจัดกำลังพลจากสำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สนภ.1 นทพ.), สำนักงานทหารพัฒนา หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สทพ.นทพ.) และสำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สสน.นทพ.) สนธิกำลังกับตำรวจ เทศกิจ และเจ้าหน้าที่เขตลาดกระบัง เข้าดูแลควบคุมแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก เขตลาดกระบัง จำนวน 12 แห่ง เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งเฝ้าระวังรวบรวมข้อมูลสถานการณ์และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำส่งผู้ป่วยติดเชื้อให้เข้าสู่กระบวนการรักษาโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ เพื่อปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานในพื้นที่เสี่ยง ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานโดยพลการหรือหลบหนี ตามนโยบายของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสั่งการของ พลเอก เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส./หน.ศปม.) เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญเร่งด่วนของชาติให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วต่อไป

นายกฯ สั่งเพิ่ม ชุดอุปกรณ์ตรวจหาเชื้อ-เพิ่มศักยภาพ ตรวจเชิงรุก คัดกรองในชุมชน ให้ได้มากที่สุด เพื่อตัดวงจรแพร่เชื้อโควิด-19

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมในฐานะผอ.ศบค. มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลการจัดหาและกระจายเวชภัณฑ์และยารักษาโรคโควิด-19 ให้เพียงพอนั้น นายกรัฐมนตรีได้มีข้อกำชับเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเพียงพอของชุดอุปกรณ์การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตลอดจนการเพิ่มศักยภาพการตรวจคัดกรองให้ได้มากที่สุดด้วย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการเร่งตรวจคัดกรองประชาชน ทั้งในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในระบบการเฝ้าระวัง การลงพื้นที่เพื่อตรวจเชิงรุกในชุมชน ในทัณฑสถาน ตลอดจนในสถานที่กักตัวที่รัฐรับรอง ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่จะทำให้พบผู้ติดเชื้อมากขึ้นเพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุด ซึ่งทราบว่าหน่วยให้บริการต่างๆได้ทำงานเต็มที่ ทั้งในโรงพยายาบาลและลงพื้นที่ตรวจเชิงรุก

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในส่วนของโรงพยาบาลเอง อาจจะมีบางช่วงที่พบว่ามีการหยุดตรวจคัดกรองบ้างเนื่องจากต้องบริหารจัดการให้สอดคล้องกับจำนวนเตียงผู้ป่วย แต่ขณะนี้รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้เร่งดำเนินการขยายเตียงรองรับผู้ป่วยในส่วนต่างๆ ให้เพียงพอ ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน โรงพยาบาลบุษราคัม ที่เมืองทองธานี ห้องไอซียูสนามที่ มทบ.11 โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel  ก็จะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการตรวจคัดกรองผู้ป่วยให้ได้มากขึ้นด้วย

“นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนและติดตามเพื่อสั่งการการให้การสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในทุกด้าน ซึ่งในส่วนของการตรวจคัดกรองหาเชื้อนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยบริการทั้งในโรงพยาบาลและการลงพื้นที่ตรวจเชิงรุกในชุมชุนดำเนินการให้เต็มที่และหากสามารถขยายศักยภาพการตรวจได้ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยทางสาธารณสุขได้ก็ให้เร่งดำเนินการทันที” น.ส.ไตรศุลี กล่าว 

แรมโบ้ เหน็บ พิชัย วันๆคิดได้เพียงแค่นี้ ท่องเป็นบทสวดมนต์ ยุบสภา-ลาออก ชี้  ประชาชนรู้ทัน เอือมระอาแล้ว อย่าทำตัวเป็นคนแก่ไร้ค่า หาคนเคารพไม่มี

นายเสกสกล  อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุถึงนายกฯล้มเหลวทุกด้านและแนะนำให้ลาออกก่อนถูกประชาชนไล่ ว่า รู้สึกสงสารนายพิชัย ที่นับวันยิ่งแสดงความโง่เขลา เบาปัญญาออกมาเรื่อยๆ และทำให้ถึงบางอ้อว่าทำไมตอนที่นายพิชัย เป็นรัฐมนตรี ทั้งอดีตรมช.คลัง และอดีตรมว.พลังงาน เศรษฐกิจของประเทศถึงไม่ไปไหน ก็เพราะสมองวันๆคิดได้แค่นี้เอง โชคดีของประเทศไทยแล้วที่บุญของนายพิชัย หนุนให้ขึ้นมาได้แค่นั้น ไม่เช่นนั้นป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร

แต่ก็เข้าใจดีว่าพอนายเก่าอย่างนายทักษิณ ออกมาเสนอหน้า ทำเป็นรู้ดีต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ทำตัวเหมือนเก่งแต่เอาตัวไม่รอด นายพิชัยก็เลยต้องออกมาสร้างผลงาน เห่าหอนให้นายเห็นบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นก็คงจะตกงานยาว ส.ส.ก็ไม่ได้เป็น รัฐมนตรีก็ไม่ได้เป็น เลยต้องออกมาพูดให้นายกฯลาออกทุกวัน ๆ ท่องยังกับเป็นบทสวดมนต์ ถ้าไม่ลาออกก็ให้ยุบสภา ซึ่งประชาชนเขารู้ทันกันหมดแล้ว

เรื่องแก้โควิด นายพิชัย ก็ช่วยแหกตาดูทั่วโลกเขาหน่อยว่า สถานการณ์แต่ละประเทศในโลกนี้เป็นอย่างไร เขายิ่งกว่าประเทศไทยหลายเท่า ประเทศอเมริกาที่ชื่นชอบกัน อยากจะย้ายไปอยู่กันนักหนานั้น ไปถ่างตาดู บ้างหรือไม่ว่าเขาติดเชื้อ เขาตายกันเป็นหมื่น เป็นแสน ไม่เห็นนายพิชัย เอามาพูดบ้างเลย นายพิชัย อย่าทำตัวอคติ ค้านไปหมดทุกเรื่อง ถ้ามีใจเป็นธรรมก็จะเห็นว่าสิ่งที่นายกฯและหน่วยงานทุกฝ่ายที่คิดและทำออกมา เป็นการทุ่มเท กำลังกาย กำลังใจเพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโควิดให้ได้ และจะได้เร่งเดินหน้าทางด้านเศรษฐกิจ ที่ในขณะนี้ก็ได้เริ่มเปิดภูเก็ต แซนด์บล็อก ต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว และทุกมาตรการที่ออกมาก็มีการประชุมหารือกับทุกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน มีมาตรการรองรับทั้งหมด

ส่วนเหตุการณ์สภาล่มนั้น นายพิชัย ก็รู้ดีว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายกฯเลย มันเป็นเรื่องของสภา เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะดำเนินการกันเอง แต่นายพิชัย ก็พยายามเอาเรื่องโน้น เรื่องนี้มาโยงกันเป็นพัลวันจนมั่วไปหมด ตนจึงอยากเตือนสตินายพิชัย อีกครั้ง อย่าทำตัวเป็นคนแก่ไร้ค่า ไม่มีประโยชน์เลย  ต้องมีสำนึกของการเป็นคนไทย ทำมาหากินในประเทศไทยด้วย ถ้าคิดเรื่องที่สร้างสรรค์ไม่ได้ ก็ขอแนะนำกลับบ้านไปเลี้ยงหลานดีกว่า ใช้ชีวิตบั้นปลายให้มีความสุข สมองจะได้ไม่ฝ่อ ไม่ฟุ้งซ่าน หรือถ้าจะให้ขลังก็ไปหาวัดซักแห่งแล้วสวดมนต์บทนี้ นายกฯลาออก นายกฯยุบสภา วันละสามเวลาหลังอาหาร เพิ่มรอบก่อนนอนอีกก็ได้ สวดมันทั้งปีไปเลย หรือถ้าคิดถึงนายทักษิณมาก จะออกไปอยู่ด้วยกันก็ได้  แต่นายพิชัย ไม่ควรทำตัวให้ประชาชนเอือมระอาไปมากกว่านี้ ควรลงมือทำ เพื่อให้เห็นว่าได้ช่วยกันอย่างเต็มกำลัง ก็น่าจะมีประโยชน์กว่าการออกมาติกันในยามนี้

คนอย่างนายพิชัย อยู่พรรคไหน พรรคนั้นพังพินาศพนาสูญ ไม่เชื่อคำทำนายทายทักของตนก็ให้ติดตามดูว่า จะจริงหรือไม่ เพราะคนที่คิดหวังผลเพียงเพื่อตนเองไม่คำนึงถึงชาติบ้านเมือง คนประเภทนี้อยู่ที่ไหนหัวหน้าตายหมด อยู่พรรคไหนพรรคนั้นพังฉิบหายหมด ตนทายอะไรไม่มีผิดพลาดแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top