Monday, 19 May 2025
ค้นหา พบ 48181 ที่เกี่ยวข้อง

“บิ๊กตู่” เคาะเงินช่วยลูกจ้าง-นายจ้างเจอปิดกิจการ 1 เดือน

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากประกาศควบคุมที่ออกมา โดยจะเป็นมาตรการพิเศษที่จะทำในช่วง 1 เดือน ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 6 จังหวัด โดยช่วยเหลือลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคม ตามมาตรา 33 ในสาขาก่อสร้าง สาขาที่พักแรมละบริการด้านอาหาร สาขาการบริการอื่น ๆ เช่น ร้านนวด สปา และสาขาศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ เช่น งานอีเว้นต์ งานกลางคืน รวม 6.9 แสนคน โดยกระทรวงแรงงานจะจ่ายค่าทดแทนกรณีเหตุสุดวิสัย 50% ของค่าจ้าง สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท 

ขณะเดียวกันลูกจ้างกลุ่มนี้รัฐยังช่วยจ่ายเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมให้อีก 2,000 บาทต่อราย ซึ่งส่วนนี้จะได้รับเฉพาะลูกจ้างตาม ม.33 ที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น ซึ่งมีจำนวนประมาณ 6 แสนคน ส่วนนายจ้างเองจะได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาทต่อหัวลูกจ้าง โดยคิดรายหัวลูกจ้างที่อยู่ในบริษัทสูงสุดไม่เกิน 200 คน อีกส่วนหนึ่งผู้ที่เป็นแรงงานนอกระบบประกันสังคม โดยพิจารณาจากจำนวนลูกจ้างและนายจ้างที่มาลงทะเบียนในระบบถุงเงิน หากต้องการรับความช่วยเหลือผ่านมาตรการที่จะออกมานี้ก็ต้องไปรีบลงทะเบียนเข้าระบบประกันสังคม โดยกระทรวงแรงงานจะอำนวยความสะดวกให้

“มาตรการนี้จะใช้เงินรวม 7,500 ล้านบาท แยกเป็น เงินจากกองทุนประกันสังคม 3,500 ล้านบาท และใช้เงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน อีก 4,000 บาท ที่จะใช้ในส่วนที่รัฐช่วยเหลือรายละ 2,000 บาท โดยจะเสนอครม.วันที่ 29 มิ.ย.นี้ เห็นชอบหลักการ และจะเสนออนุมัติวงเงินในสัปดาห์ต่อไป เพื่อให้เริ่มต้นจ่ายเงินได้ในวันที่ 6 ก.ค.นี้ ส่วนระยะถัดไปจะมีมาตรการเพิ่มเติมไปช่วยเหลือเอสเอ็มอีทั่วประเทศ” 

เพจ หลง อินเดีย ได้แชร์เรื่องราวของช่างตัดผมชาวอินเดียผู้รักในการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ และเลือกเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากการอ่าน แม้ตัวเองจะไม่มีโอกาสได้เรียนสูง ๆ เหมือนผู้อื่น แถมเขาคนนี้ยังพยายามกระตุ้นให้คนรอบข้างหันมารักการอ่านและลองห่างจากสมาร์ตโฟน

เพจ หลง อินเดีย ได้แชร์เรื่องราวของช่างตัดผมชาวอินเดียผู้รักในการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ และเลือกเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากการอ่าน แม้ตัวเองจะไม่มีโอกาสได้เรียนสูง ๆ เหมือนผู้อื่น แถมเขาคนนี้ยังพยายามกระตุ้นให้คนรอบข้างหันมารักการอ่านและลองห่างจากสมาร์ตโฟนในมือดูเสียบ้างว่า...

“ผมเรียนไม่จบชั้นม.2 เพราะที่บ้านผมยากจนมาก แต่ความกระหายในการอยากเรียนรู้ของผม #มันไม่มีวันหยุด” นี่คือร้านตัดผมอินเดียที่มีหนังสือในร้านกว่า 900 เล่ม

คุณพี พรมารีอัปปัน ช่างตัดผมในเมืองตูติโคริน จากรัฐทมิฬนาฑู รัฐทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย เขามีสโลแกนประจำร้านตัดผมของเขาว่า #หากจะตัดผมร้านนี้ต้องอ่านหนังสือขณะนั่งรอคิว

“ผมเชื่อมาตลอด ว่าการศึกษาที่ดีนั้นสำคัญมาก ผมใฝ่ฝันในวัยเด็กว่า ผมอยากเข้าทำงานในสำนักงานหรือบริษัทชั้นนำ แต่ด้วยความที่บ้านของผมยากจนมาก ผมจึงมาไกลสุดได้เพียงแค่ชั้น ม.2 ที่ยังไม่สมบูรณ์เสียด้วยซ้ำ”

“แต่เพราะผมยังคงหลงใหลในความรู้ กระหายในการศึกษาอย่างมาก หลังจากที่ต้องลาออกจากโรงเรียน ผมก็รับจ้างทำงานหาเงิน พอเก็บเงินได้สักระยะ ผมจึงตัดสินใจเปิดร้านตัดผมของตัวเอง ซึ่งเป็นร้านเล็ก ๆ“

“เมื่อ 8 ปีก่อน ผมจึงได้เริ่มสะสมหนังสืออย่างจริงจัง แล้วได้เอามาตั้งไว้ที่ร้าน โดยมีตั้งแต่หนังสือ อัตชีวประวัติของคนดัง ไปถึงหนังสือนิยายขายดี มีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาทมิฬเลยครับ...และแน่นอน ทั้งหมดนี้ผมอ่านมันหมดแล้ว”

“และอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมตั้งใจก็คือ #การแยกผู้คนออกจากสมาร์ตโฟนสักระยะ ปัจจุบันนี้ผู้คนติดสมาร์ตโฟนมากเกินไป ผมจึงมีกุศโลบายว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือในร้านผมขณะรอคิว ผมจะลดราคาให้เลย 30%”

“โดยที่คุณจะอ่านแค่ 2-3 หน้าก็ได้ แล้วก็ช่วยจดสรุปสั้น ๆ หรือโน้ตเล็ก ๆ โดยไม่ต้องเป็นข้อมูลเชิงวิเคราะห์จริงจังลงในสมุดของร้านให้ผม เพียงเท่านี้ทั้งคุณและผมก็ได้ประโยชน์ทั้งคู่...แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือ #ตัวพวกคุณ”

แม้จะมีลูกค้าบางท่านที่ให้ตายยังไงก็ไม่อ่าน เพราะไม่ชอบการอ่านจริง ๆ คุณพีก็มีทางเลือกให้ค่ะ นั่นก็คือ #หนังสือเสียง ซึ่งเขาจะเปิดให้ฟังในร้าน และให้คนที่รอคิวตัดผมจับใจความแล้วเขียนสรุปไว้

และในปีที่แล้ว เขาก็ได้เริ่มทำการปรับเปลี่ยนบางส่วน โดยมีการแบ่งปันให้มีการยืมหนังสือแก่ทางโรงเรียนสำหรับนักเรียนอีกด้วยนะคะ เพราะคุณพีแค่อยากให้คนทุกคนมีความรู้ติดตัวไว้

เคยได้ยินคำนี้กันมั้ยคะเพื่อน ๆ ที่ว่า #คุณไม่อ่านคุณจะรู้อะไร สำหรับบอสคำ ๆ นี้มันบาดลึก และ บาดคมมากค่ะ เพราะมันทำให้เราตระหนักขึ้นได้เสมอว่า การอ่านนอกจากจะได้รู้ แต่การได้รู้นั้นจะเปิดโลกของเรามากแค่ไหน

ชอบแนวความคิดนี้มากเลยค่ะ สมแล้วที่อินเดีย คือ Number 1 ของโลก ที่เป็นประเทศรักการอ่านที่สุดค่ะ

 

ที่มา : https://www.facebook.com/101560597967366/posts/372977294159027/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เกิดกบฏแมนฮัตตัน นำโดยทหารเรือจำนวนหนึ่ง ขณะมีพิธีส่งมอบเรือขุดแมนฮัตตันจากสหรัฐฯ กบฏจับตัว จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นตัวประกันไปไว้ที่เรือหลวงศรีอยุธยา ฝ่ายรัฐบาลซึ่งสนับสนุนโดยทหารและตำรวจ ปราบปรามอย่างรุนแรงนาน 2 วัน 3 คืน

กบฏแมนฮัตตัน หรือ กรณีแมนฮัตตัน ชื่อเรียกเหตุการณ์การกบฏในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เมื่อทหารเรือกลุ่มหนึ่ง เรียกตัวเองว่า "คณะกู้ชาติ" นำโดย น.ต.มนัส จารุภา ร.น.ผู้บังคับการเรือหลวงรัตนโกสินทร์, พลเรือตรีทหาร ขำหิรัญ นายทหารนอกราชการ อดีตผู้บังคับการกรมนาวิกโยธิน, นาวาเอก อานนท์ ปุณฑริกาภา ผู้บังคับการกองสำรองเรือรบ, นาวาตรีประกาย พุทธารี สังกัดกรมนาวิกโยธิน และ นาวาตรีสุภัทร ตันตยาภรณ์ สังกัดกรมนาวิกโยธิน ทำการกบฏจี้ตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ระหว่างเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือขุดสันดอนสัญชาติอเมริกัน ชื่อ "แมนฮัตตัน" ที่ท่าราชวรดิฐ โดยนำไปกักขังไว้ในเรือรบหลวงชื่อ "ศรีอยุธยา" ที่จอดรออยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา

ซึ่งก่อนหน้านี้ คณะผู้ก่อการคิดจะก่อการในลักษณะเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่สบจังหวะที่เหมาะสม จึงได้แต่เลื่อนออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลาลงมือจริง หลายฝ่ายที่ถูกชักชวนให้ลงมือก็คาดว่าจะต้องมีการเลื่อนอีกแน่นอน จึงมิได้ปฏิบัติการตามแผนที่วางไว้

เหตุที่เลือกเอาวันนี้เป็นวันลงมือ เพราะก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวัน มีการปล่อยกำลังทหารกองหนุนกลับสู่ภูมิภาค ทำให้จำนวนทหารในพระนครเหลือน้อย เรียกกลับมาประจำการไม่ทัน อีกทั้งพื้นที่บริเวณนี้ก็เป็นเขตของทหารเรือด้วย จึงลงมือได้ง่ายกว่า

 

ที่มา : th.wikipedia.org/wiki/กบฏแมนฮัตตัน


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ศรีสุวรรณ” พร้อมแพทย์เวชกรรม ยื่นศาล รธน. วินิจฉัยกรณีหญิงตั้งท้องประสงค์ทำแท้งขัดรัฐธรรมนูญ หรือไม่ หวั่นกม.กระทบจิตใจหมอ 

ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย พร้อมคณะแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เข้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอใช้อำนาจตามมาตรา231 ของรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา301 มาตรา305(3) มาตรา305(4) และ มาตรา305(5) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา26 ประกอบ มาตรา4 มาตรา25 มาตรา26 มาตรา27 มาตรา28 มาตรา50(6) และ มาตรา77 วรรคสอง หรือไม่ ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวเป็นการอนุญาตให้หญิงที่ตั้งครรภ์หากประสงค์จะทำแท้งก็สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองโดยไม่มีความผิด แม้อายุครรภ์จะมากกว่า 12 ถึง 20 สัปดาห์ และหากจะให้แพทย์ทำแท้งให้ก็เพียงแค่ยืนยัน ว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศเท่านั้น ก็สามารถทำแท้งได้เลย โดยไม่ต้องมีข้อบ่งชี้หรือหลักฐานยืนยันเสียก่อน อันถือได้ว่าเป็นกฎหมายที่ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายที่สุดของไทย 

แต่เมื่อกฎหมายดังกล่าวได้มีการบังคับใช้มาแล้ว ทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจำต้องทำแท้งให้คนท้อง เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจแพทย์ที่ต้องทำหน้าที่ดังกล่าวเป็นอย่างมาก แม้ในทางกฎหมายจะยังไม่ถือว่าทารกในท้องยังไม่มี “สภาพบุคคล” แต่ในทางการแพทย์ตามศัพภวิทยา (Embryology) ระบุว่า “เด็กอายุครรภ์ 3 เดือนหรือ 12 สัปดาห์นั้น มีอวัยวะต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว มีอวัยวะเพศชัดเจน มีหัวใจเต้นเร็ว มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย เนื่องจากระบบประสาททำงานแล้ว มิใช่เป็นเพียงก้อนเลือดอย่างที่หลายคนอาจเข้าใจ 

การที่กฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งทารถที่มีอายุครรภ์ดังกล่าว จึงชัดเจนว่าเป็นการทำลายมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นบาดแผลในจิตใจของแพทย์ผู้กระทำและมารดาไปตลอดชีวิต ซึ่งแพทย์ทุกคนมีหน้าที่สำคัญในการธำรงไว้ซึ่งจริยธรรมทางวิชาชีพเวชกรรมซึ่งเป็นมโนธรรมชั้นสูง” อีกทั้ง ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ยึดมั่นในศีล 5 ข้อเป็นหลักนำทางชีวิต และข้อที่หนักและสำคัญที่สุดคือ ศีล ข้อที่หนึ่ง เรื่องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หากละเมิด ย่อมมีรู้สึกขัดแย้งภายใน ความเชื่อทางศาสนา ศีลธรรม บาปบุญ ต่อตัวเองและครอบครัว เป็นปัจเจกบุคคล จะล้มล้างไม่ได้ 

กฎหมายดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่าเป็นการกระทบต่อมโนธรรมชั้นสูงของความเป็นแพทย์ และจะสร้างบาดแผลในจิตใจของแพทย์ผู้กระทำและมารดาของทารกไปตลอดชีวิต ซึ่งชัดเจนว่าจะเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะสูตินรีแพทย์ จึงเป็นกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อ มาตรา26 ประกอบ มาตรา4 ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยตรง เหตุนี้แพทย์ทางเวชกรรม สูตินรีแพทย์จึงมอบฉันทะให้สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยนำความนี้ยื่นเป็นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลวินิจฉัยว่า การตรากฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 หลายมาตราหรือไม่  

หมอเฉลิมชัย เผยข้อมูลคนสิงคโปร์มั่นใจวัคซีน Sinovac แห่จองฉีดแบบเสียเงิน ทั้งที่รัฐบาลมี Pfizer และ Moderna ให้ฉีดฟรี

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัว Chalermchai Boonyaleepun โดยมีข้อความว่า ต่างจิตต่างใจ ลางเนื้อชอบลางยา ชาวสิงคโปร์แห่ต่อคิวฉีดวัคซีน Sinovac แบบเสียเงิน ทั้งที่มีวัคซีน Pfizer และ Moderna ให้ฉีดฟรี ปัญหาเรื่องการเลือกวัคซีนว่า บริษัทไหน เทคโนโลยีอะไร จะดีกว่ากัน ยังคงเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันไม่จบสิ้นในหมู่ประชาชนทุกประเทศทั่วโลก

สำหรับประเทศไทยเราเอง มีประชาชนส่วนหนึ่ง ที่มีความมั่นใจในวัคซีนของสหรัฐอเมริกาที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ของบริษัท Pfizer และ Moderna และไม่มั่นใจในวัคซีนของจีน ที่ใช้เทคโนโลยีเชื้อตาย ของบริษัท Sinovac หรือ Sinopharm จนเกิดเหตุการณ์ ชะลอการฉีดวัคซีนของจีนไว้ก่อน และจะรอฉีดวัคซีนของสหรัฐฯ แม้จะต้องเสียเงินก็ตาม

ขณะเดียวกันในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มอาเซียนเหมือนประเทศไทย และมีระดับการศึกษาตลอดจนระดับเศรษฐกิจไม่ได้ด้อยกว่าประเทศไทย (อาจจะสูงกว่าด้วยซ้ำ) กลับมีความเชื่อเรื่องวัคซีนของประชาชนส่วนหนึ่ง ไปในทางตรงกันข้าม

โดยมีปรากฏการณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีชาวสิงคโปร์จำนวนมาก ได้แห่กันไปจองคิว บางคนถึงกับไปนอนจองที่ตั้งแต่ตีสอง เพื่อจะฉีดวัคซีน Sinovac ของจีน โดยจะต้องเสียเงินเพิ่ม 7.50 -18.60 เหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่รัฐบาลสิงคโปร์ ได้จัดฉีดวัคซีนของ Pfizer และ Moderna ให้ฟรีอยู่แล้ว

ขณะนี้รัฐบาลสิงคโปร์ ได้อนุญาตให้ 24 สถานพยาบาลเอกชน นำเข้าวัคซีน Sinovac ของจีนจำนวน 200,000 โดส มาฉีดเป็นวัคซีนทางเลือก และสามารถเก็บเงินกับประชาชนได้ เป็นกรณีตรงกันข้ามกับประเทศไทยเลยทีเดียว

โดยเหตุผลที่ชาวสิงคโปร์ส่วนหนึ่งแย่งกันมาจองคิววัคซีน ซึ่งศูนย์บางแห่ง มีวัคซีนเพียง 200 โดส แต่คนมาจองถึง 1000 คน และเกิดการแห่เข้าคิวแบบล้นหลาม จนมีชาวสิงคโปร์คนหนึ่ง ยอมจ่ายเงินถึง 1000 เหรียญ เพื่อที่จะได้คิวการฉีดวัคซีนจีนของ Sinovac

ที่คนสิงคโปร์ แห่มาสนใจวัคซีน Sinovac นั้น มาจากเหตุผลดังนี้

1.) เชื่อในเทคโนโลยีเชื้อตายของวัคซีน Sinovac ว่าจะสร้างความสบายใจปลอดภัยในระยะยาว ดีกว่าเทคโนโลยีใหม่เอี่ยมแบบ mRNA ของ Pfizer และ Moderna

2.) คนที่ฉีดวัคซีนฟรีของสิงคโปร์ทั้ง Pfizer และ Moderna มีจำนวนหนึ่งที่เกิดแพ้หรือมีผลข้างเคียงมาก ก็หลบมาฉีดวัคซีนของจีน ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่า

3.) มีรายงานประสิทธิผล (Effectiveness) การป้องกันโรคในโลกแห่งความเป็นจริง (Real world) ของวัคซีนเทคโนโลยีเชื้อตายที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ในขณะที่ประสิทธิผลในโลกแห่งความเป็นจริงของวัคซีนเทคโนโลยี mRNA ดูจะน้อยลงเป็นลำดับ

4.) คนที่จะเดินทางไปจีน ถ้าฉีดวัคซีนของจีนครบ 2 เข็ม จะไม่ต้องกักตัว มีชาวสิงคโปร์เป็นจำนวนมากที่เป็นเชื้อสายจีน จึงตัดสินใจฉีดวัคซีนของ Sinovac เป็นกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ ระหว่างสิงคโปร์กับไทย ซึ่งมีความสนใจและต้องการที่จะฉีดวัคซีนแบบตรงกันข้าม จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

ทำให้พบความจริงที่ว่า แต่ละคน ต่างมีเหตุมีผล และความคิด ตลอดจนความเชื่อของตนเอง ในการเลือกวัคซีนที่แตกต่างกัน คือ ต่างจิตต่างใจ หรือลางเนื้อชอบลางยา นั่นเอง

 

ที่มา : https://www.facebook.com/237959479586026/posts/3970092423039361/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top