Sunday, 18 May 2025
ค้นหา พบ 48181 ที่เกี่ยวข้อง

ทร. แจง ผบ.ทร. เสี่ยงต่ำ ใกล้ชิด “แพนเค้ก” ร่วมงาน ทร.  ไม่ต้องกักตัว รอสังเกตุอาหาร ยัน มีมาตรการเข้ม 

พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยถึงกรณีที่ นางสาว เขมนิจ จามิกรณ์ แพนเค้กโฆษกพิเศษกองทัพเรือ แจ้งผลการตรวจเชื้อไวรัส  COVID-19 มีผลเป็นบวก โดย ระบุ TIMELINE ว่า ได้ไปร่วมงานที่กองทัพเรือ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน นั้น ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพเรือได้ดำเนินการตามมาตรการ  DMHT  ในการ ป้องกันการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด  ประกอบด้วย  D : Distancing เว้นระยะห่างระหว่างกัน  M : Mask Wearing สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลา H : Hand washing ล้างมือบ่อย ๆ T : Testing ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้างาน จากข้อมูล โดยกรมแพทย์ทหารเรือ 

สำหรับการจัดกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดตามระดับความเสี่ยงการรับเชื้อ มีดังนี้

ผู้สัมผัสที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อสูง ได้แก่ 

1.) ผู้สัมผัสใกล้ชิดในที่ทำงาน / ในชุมชน ได้แก่ผู้ที่พบปะกับผู้ป่วยในขณะมีอาการและมีประวัติอาจจะสัมผัสสารคัดหลั่งจากทางเดินเดินหายใจ หรือไอจามจากผู้ป่วยไวรัสโคโรน่า 2019 

2.) ผู้ที่อยู่ในชุมชนเดียวกับผู้ป่วยและสัมผัสสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ หรือไอจามจากผู้ป่วยไวรัสโคโรน่า 2019 

3.) บุคคลนอกเหนือจากข้อ1และข้อ2 ที่อยู่ในระยะห่างไม่เกิน1เมตรจากผู้ป่วย ซึ่งรวมระยะเวลาที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้านานกว่า5นาที

นอกเหนือจากนั้น จะจัดอยู่ในกลุ่มเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ รวมถึงกรณี การใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทั้งผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัส ก็ถือเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ

สำหรับผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จะทำการกักตัว 14วัน และ SWAB ในครั้งแรก และในวันที่ 12 สำหรับผู้สัมผัสความเสี่ยงต่ำ ให้เฝ้าระวังตนเองโดยไม่ต้องกักตัว หากมีอาการป่วยให้มาพบแพทย์

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวยืนยันว่าในกรณีของผู้บัญชาการทหารเรือ ถือว่าเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากมีการใส่หน้ากากอนามัยทั้งสองฝ่าย  ไม่ต้องกักตัว แต่อย่างไรก็ตามต้องเฝ้าสังเกตอาการตนเองเป็นระยะเวลา 14 วัน 
 
 โฆษกกองทัพเรือ กล่าวอีกว่า  การเดินทางเข้ามาร่วมงานที่กองทัพเรือ ของ แพนเค้ก เนื่องจาก ในวันที่ 3 ส.ค.64 กองทัพเรือ และ สภากาชาดไทยจะจัดให้มีการแสดงกาชาดคอนเสิร์ตครั้งที่ 47 เพื่อหารายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่ายทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชนีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย โดยได้เชิญ เขมนิจ จามิกรณ์ (แพนเค้ก) โฆษกพิเศษกองทัพเรือ  มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในการเชิญชวนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงิน ร่วมกับ กองทัพเรือ และสภากาชาดไทยช่วยคนไทยรับมือ COVID-19  

ทบ. ระดมศักยภาพช่วยประชาฟันฝ่าโควิด พร้อมสนับสนุน สธ. เตรียม รพ.สนาม รับผู้ป่วย เดินหน้าฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้กำลังพลและประชาชน ขณะที่ฌาปนสถาน ทบ. ประกอบพิธีศพผู้ติดเชื้อแล้ว 231 ราย

ร้อยเอกหญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษก ทบ. เปิดเผยว่า กองทัพบกดำรงการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหน่วยทหารทั่วประเทศได้จัดชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือน (ชป.กร.) และอาสาสมัครกิจการพลเรือน (อส.กร.) ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้เท่าทันต่อสถานการณ์ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลและบริการด้านสาธารณสุขของรัฐบาล อาทิ ร่วมรณรงค์การฉีดวัคซีนโควิด-19 และบริการลงทะเบียนรับวัคซีนผ่านช่องทางที่ สธ. กำหนด พร้อมแจกอุปกรณ์หน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ให้กับประชาชน นอกจากนี้ในพื้นที่ที่พบการระบาดเฉพาะกลุ่ม (Cluster) หรือพื้นที่ที่ประชาชนประสบปัญหาการดำเนินชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพนั้น กำลังพลจิตอาสาและรถครัวสนามได้ลงพื้นที่ประกอบอาหารปรุงสุกแจกจ่ายให้กับประชาชน ดำเนินการตั้งแต่ 1 พ.ค.64 รวม 315,376 กล่อง พร้อมนำผลผลิตจากโครงการทหารพันธุ์ดีและพืชผลที่กองทัพบกได้อุดหนุนเกษตรกรรับซื้อจากไร่สวน มามอบให้กับประชาชนพื้นที่ดังกล่าว ช่วยเหลือเกษตรกรรวม 50,647 ราย

สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านระบบสาธารณสุข กองทัพบกได้จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิดกองทัพบก” เพื่อเป็นสื่อกลางให้ความรู้คำแนะนำ และประสานข้อมูลระหว่างประชาชนกับหน่วยงานของรัฐ ผ่านเบอร์โทรศัพท์ 02-270-5685 ตลอด 24 ชม. ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ 3 พ.ค.64 ถึงปัจจุบัน มีผู้ใช้บริการแล้ว 748 คู่สาย ส่วนผู้ที่ได้รับการตรวจหาเชื้อและพบผลบวกหรือเป็นผู้ติดเชื้อนั้น กองทัพบกโดยศูนย์เคลื่อนย้ายฯ ได้สนับสนุนรถพยาบาลรวมทั้งปรับยานพาหนะทางทหารที่มีอยู่และมีความเหมาะสม ในการรับ-ส่ง ผู้ติดเชื้อจากที่บ้านไปเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม และส่งกลับบ้านหลังครบกำหนดระยะเวลารักษาตามกระบวนการ สธ. รวมดำเนินการทั้งสิ้น 1,028 ครั้ง ขณะที่การสนับสนุนด้านสถานพยาบาลเพื่อดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยปัจจุบันยังคงพบยอดผู้ติดเชื้อกระจายตามพื้นที่ต่างๆ กองทัพบกจึงได้ปรับพื้นที่ในหน่วยทหารเป็นโรงพยาบาลสนามจำนวน 14 แห่งทั่วประเทศ สามารถรองรับได้ 2,317 เตียง ปัจจุบันมีผู้ครองเตียง 530 ราย ซึ่งยังคงมีปริมาณเตียงว่างเพียงพอต่อการสนับสนุน สธ.จังหวัด รับผู้ติดเชื้อในพื้นที่นั้นๆ ได้ 

ส่วนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 กองทัพบกยังคงสนับสนุนฌาปนสถาน ทบ. ทั้งในพื้นที่ส่วนกลาง ได้แก่ วัดโสมมนัสวรวิหาร, วัดอาวุธวิกสิตาราม และวัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต และส่วนภูมิภาค วัดสุทธจินดาวรวิหาร จ.นครราชสีมา สำหรับประกอบพิธีและฌาปนกิจศพอย่างต่อเนื่องให้กับครอบครัวที่มีความประสงค์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายใต้การบริหารจัดการตามมาตรการป้องกันโรคของ สธ. ซึ่งปัจจุบันสามารถดำเนินการฌาปนกิจศพ ช่วยเหลือคลายความกังวลให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตไปแล้ว 231 ราย 

ในส่วนของมาตรการป้องกันสำหรับกำลังพลและครอบครัว กองทัพบกได้กำหนดมาตรการระดับบุคคล หน่วยทหารและประชาชนทั่วไป ควบคู่ไปกับมาตรการพิทักษ์พลและแนวทางของ ศบค. พร้อมมอบโรงพยาบาลในสังกัด 37 แห่ง ดำเนินการฉีดวัคซีนเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับกำลังพลโดยเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติงานพื้นที่เสี่ยงตามแนวทางจัดสรรของ สธ. ประกอบด้วย บุคลากรทางการแพทย์, กกล.ป้องกันชายแดน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกทหารใหม่ รวมได้รับวัคซีนแล้ว 56,234 นาย และจะดำเนินการต่อเนื่องตามที่ได้รับการจัดสรร ตลอดจนการเตรียมการฉีดวัคซีน-19 ให้กับทหารใหม่ผลัดที่ 1/64 ที่จะเข้ากองประจำการในวันที่ 1 และ 3 ก.ค.64 นี้ เพื่อสร้างความปลอดภัย เสริมความมั่นใจให้กับทหารใหม่และครอบครัว นอกจากนี้โรงพยาบาลในสังกัดกองทัพบกทั่วประเทศได้สนับสนุน สธ. จังหวัด ร่วมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมและโครงการที่รัฐบาลกำหนด ตั้งแต่ 7 มิ.ย.64 มีประชาชนผู้เข้ารับบริการรวม 36,350 ราย 

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่กำชับให้หน่วยทหารระดมศักยภาพในทุกมิติ สนับสนุนรัฐบาล ลดภาระสาธารณสุข พร้อมช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ดูแลให้ปลอดภัยและสามารถดำเนินชีวิตปกติได้อย่างดีที่สุดภายใต้สถานการณ์วิกฤตนี้


 

ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. เขตบางขุนเทียน และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความเห็นต่อแนวทางบริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะการลักหลับออกคำสั่งปิดแคมป์แรงงานเป็นเวลา 30 วัน ว่า...

ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. เขตบางขุนเทียน และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความเห็นต่อแนวทางบริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะการลักหลับออกคำสั่งปิดแคมป์แรงงานเป็นเวลา 30 วัน ว่า...

คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ออกมาเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤติโควิดที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่านี่คือเข้าสู่ระลอก 4 แล้ว โดยการกระจายเชื้อเกิดขึ้นเป็นวงกว้างไม่ใช่เฉพาะในแคมป์แรงงานหรือร้านอาหารเท่านั้น แต่สามารถจะพบได้จากชีวิตประจำวันในชุมชน หมู่บ้าน หอพัก คอนโดมิเนียม ที่ทำงาน แต่การสั่งที่เน้นลงไปที่แรงงาน เป็นเรื่องของการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่นั่งเป็นประธานสารพัดชุดเฉพาะกิจ ไม่ว่าจะเป็น ประธานศูนย์อำนวยการจัดการวัคซีนแบบ Single Command, ผู้อำนวยการ ศบค.กรุงเทพและปริมณฑล, ผู้อำนวยการ ศบค. และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่ได้รวบอำนาจใน พ.ร.บ. ทั้ง 31 ฉบับจากสาธารณสุขและหน่วยงานมาไว้กับตนเอง ต้องการหาแพะมารับบาปแทนตัวเองที่ไม่สามารถบริหารสถานการณ์ได้ หรือต้องบอกว่าเป็นตัวการสำคัญที่ลากให้สถานการณ์เดินมาถึงจุดนี้ได้

“การโทษไปที่แคมป์แรงงาน ก็เพื่อบอกชาวกรุงเทพว่าคนกลุ่มนี้เป็นต้นเหตุของตัวเลขที่พุ่งสูงในช่วงนี้ทั้งที่สถานการณ์ที่เป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นเสียทั้งหมด ในสถานการณ์นี้ยังมีคนทำงานหรือคนกรุงเทพทั่วไปอย่างพวกเราที่ต้องออกไปทำงานแลกข้าว แลกอาหาร แลกค่าแรง ที่หยุดงานไม่ได้และยังสามารถที่จะกระจายเชื้อได้อยู่ดี แต่อาจเป็นเพราะแรงงานเป็นกลุ่มที่มีปากเสียงในสังคมน้อยอยู่แล้ว จึงทำให้รัฐบาลเลือกพวกเขามาเป็นเหยื่อรองรับอารมณ์ของสังคมแทนตัวเองในครั้งนี้ และพยายามตีเนียนหาวิธีลดตัวเลขผู้ติดเชื้อและการหาเตียงในกรุงเทพฯ ด้วยการลักหลักออกประกาศปิดแคมป์ตอนตี 1 เป้าหมายเพื่อให้เกิดความโกลาหลและให้คนรีบกลับต่างจังหวัดก่อนประกาศจะมีผลบังคับใช้จริง กรุงเทพฯ จะได้มีเตียงเหลือพอ

โร้ดแม็ปนี้เป็น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เองที่หลุดพูดออกมา การกระทำแบบนี้ต้องบอกว่าเลวร้ายมากเพราะนอกจากวิกฤติในกรุงเทพฯ จะไม่ลดแล้วยังจะเป็นการส่งเชื้อให้กระจายไปทั่วประเทศอีกด้วย และถ้าเกิดสถานการณ์นั้นเมื่อไหร่ เชื่อได้เลยว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็จะออกมาด่าตราหน้าพวกเขาว่าไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งที่สถานการณ์นี้เป็นท่านเองที่สร้างมันขึ้นมาทั้งนั้น”

ณัฐชา กล่าวว่า การกระทำกับแรงงานเช่นนี้คือภาพสะท้อนอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลนี้มองคนไม่เท่ากันมาโดยตลอด และบริหารวิกฤติอย่างอำมหิต แรงงานคือคนอีกระดับที่จะถูกจัดการอย่างไรก็ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่แรงงานต้องการก็ไม่ต่างจากคนอื่นในประเทศนี้ เขาต้องการได้รับการตรวจที่รัฐบาลต้องตรวจเชิงรุก เขาต้องการพื้นที่กักตัวแยกตัวที่ได้รับการดูแลอย่างเป็นมนุษย์ไม่ใช่คุกสังกะสีที่เรียกว่าแคมป์คนงานที่มีทหารเฝ้าคุม เขาต้องการหมอพยาบาลและการรักษาเมื่อเจ็บป่วย และเขาก็ต้องการการชดเชยเยียวยาอย่างสมเหตุสมผลเมื่อมีคำสั่งของรัฐมากระทบ ตนเชื่อว่า หากพวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติ ยอมรับ และเข้าใจ ไม่ว่ามาตรการจะเข้มงวดแค่ไหนเขาก็ยินดีจะปฏิบัติตาม

“ถ้ารัฐบาลมองคนเท่ากันจะไม่มีประกาศลักหลับเช่นนี้ออกมา สิ่งที่ผู้นำที่มีวุฒิภาวะทั่วโลกทำให้เห็นตลอด คือทุกครั้งที่เขาจะมีมาตรการใดออกมากระทบต่อพี่น้องประชาชน เขามักเริ่มต้นด้วยคำขอโทษ เริ่มต้นด้วยความเห็นใจและเริ่มต้นด้วยการชี้แจงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จากนั้นเขาจะพูดถึงวิธีการดูแลเยียวยาที่เขาจะทำเพื่อชดเชยผลกระทบเหล่านี้ ไม่ใช่เริ่มต้นด้วยการแถลงข่าวอย่างยิ้มแย้มเล่นมุกกันในวันที่ผู้ติดเชื้อพุ่งไปกว่า 4,000 คนต่อวัน และมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่เริ่มต้นด้วยการลักหลับออกคำสั่งโดยไม่พูดถึงการเยียวยาอะไรเลยและหายหน้าไปเพราะติดเสาร์อาทิตย์ ผมคิดว่าหากเราจะต้องมีผู้นำที่ไร้วุฒิภาวะเช่นนี้ สู้เราไม่มีเสียเลยจะดีกว่า เพราะถ้าไม่มีเรายังพอหาทางออกกันเองได้ แต่ถ้ามีแบบนี้ ต่อให้คนทั้งประเทศมีทางออก คนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ นี่แหละที่จะขวางทางออกไปหาความหวังของประเทศนี้ตลอดเวลา”

ณัฐชา ยังได้กล่าวต่อว่า วิกฤตของพี่น้องแรงงานที่กำลังประสบในขณะนี้ตนเองสัมผัสได้ดีในฐานะที่เคยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง และอยู่ในสายงานนี้มาตลอดตั้งแต่เรียนจบในฐานะเด็กอาชีวะคนหนึ่ง การสั่งแรงงานก่อสร้างหยุดทำงานเป็นเวลาหนึ่งเดือน มันคือ ‘คำสั่งตาย’ สั่งให้พวกเขาอด สั่งให้ขาดรายได้ และจะขาดลมหายใจในท้ายที่สุด คำสั่งที่ออกมาจึงเป็นเหมือนคำสั่งของคนที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้เลย เหตุใดตนจึงกล้าพูดเช่นนี้ นั่นก็เพราะแรงงานก่อสร้างมากกว่าร้อยละ 90 คือผู้ใช้แรงงานที่ได้รับค่าจ้างเป็นรายวัน วันไหนที่ไม่ทำงานเท่ากับว่าไม่มีรายได้

ส่วนที่พักของคนงานจะถูกสร้างและออกแบบเพื่อนอนตอนกลางคืนอย่างเดียว เวลากลางวันอาศัยอยู่ไม่ได้เพราะก่อสร้างด้วยสังกะสี อากาศจะร้อนจนแทบสุก ปกติเขาจึงทำงานเกือบ 7 วัน น้อยมากที่จะอยู่ที่แคมป์นอกจากกลับมานอน

ดังนั้น เมื่อมีการสั่งพวกเขาห้ามทำงาน จึงเท่ากับสั่งให้เขาต้องใช้ชีวิตแบบไม่มีรายได้ภายในแคมป์สังกะสีร้อน ๆ เป็นเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งแค่อยู่จริงแค่วันสองวันก็แทบอยู่ไม่ได้แล้ว จึงไม่ต้องแปลกใจว่าเมื่อคำสั่งออกมาว่าจะต้องอยู่แบบนี้เป็นเดือน ๆ ทำไมเขาจึงตัดสินใจไปเสี่ยงตายเอาที่บ้านเกิดดีกว่า

“ล่าสุด ได้ยินว่าท่านจะชดเชยค่าแรงให้แค่ร้อยละ 50 เรื่องนี้ก็ยังไม่ชัดเจน แต่หนี้และดอกเบี้ยชัดมากและยังเดินเต็มที่ ปกติแรงงานยังสามารถลดค่าใช้จ่ายจากการกินกับไซต์งานได้ แต่เท่าที่ทราบเรื่องกระทั่งเรื่องการดูแลอาหารการกินก็ยังไม่ชัดเจน ที่ร้ายกว่านั้นคืองบเยียวยาท่านยังจะไปเอามาเงินกองทุนประกันสังคมมาใช้ จึงยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมมาก เพราะเงินก้อนนี้คือเงินของนายจ้างและลูกจ้างที่สะสมไว้เพื่ออนาคต ส่วนรัฐมีแต่ค้างหนี้ประกันสังคมอีกหลายหมื่นล้านบาท ไม่ยอมจ่ายแล้วยังจะไปล้วงเงินกระเป๋าของเขาเองแล้วบอกว่าเป็นเงินเยียวยาได้อย่างไร กู้เงินมาแล้วตั้งมากมายทำไมจึงไม่ใช้เงินของรัฐชดเชย เงินกองทุนประกันสังคมที่ควรจะเป็นหลักประกันความมั่นคงของคนทำงานหรือเป็นบำนาญยามแก่เฒ่าของลูกจ้างกลับถูกรัฐบาลล้วงกระเป๋ามาใช้เพื่อแก้ปัญหาความไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง ถ้ายังทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ กองทุนประกันสังคมก็อาจมีความเสี่ยงที่จะล้มได้”

ณัฐชา ย้ำว่า ขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี และศบค. รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเป็นผู้ออกคำสั่งที่สิ้นคิดนี้ว่า จะต้องมีการชดเชยทันทีอย่างเต็มที่ การชดเชยในที่นี้คือการชดเชยรายได้ การรับผิดชอบต่อชีวิตข้างหลังของพวกเขา ไม่ใช่แค่การแจกอาหารแห้งให้ประทังชีวิต ภาระที่อยู่เบื้องหลังของคนงานก่อสร้าง คือครอบครัว พ่อแม่ ลูกเมีย หากพวกเขาไม่มีรายได้ อีกหลายชีวิตก็ไร้อนาคตเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวไม่ได้กระทบเฉพาะแรงงานเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่อยู่ในธุรกิจนี้ทั้งระบบ อย่างผู้รับเหมาก่อสร้างเองก็มีผลกระทบเช่นกัน เพราะทุกครั้งที่ส่งมอบงานล่าช้าเขาก็ต้องจ่ายค่าปรับ ยังมีค่าวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แพงขึ้น หรือต้องสั่งใหม่ ต้นทุนเหล่านี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ จนถึงตอนนี้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศอวดครวญ ร่ำร้อง เป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาไม่ไหวแล้ว

การบริหารจัดการที่ล้มเหลวซ้ำ ๆ ของรัฐบาลเวลานี้ไม่ต่างอะไรเลยกับการบดขยี้ชีวิตของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่อว่าสำหรับประชาชนตอนนี้คงเหลือแค่คำตอบเดียวเท่านั้นที่เขาอยากให้ความหวังเป็นจริงที่สุด นั่นก็คือ การได้เห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกไปเสียที


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

วันต่อด้านยาเสพติดโลก ชุดปฏิบัติการพิเศษอำเภอเมืองชุมพรจังหวัดชุมพร จับกุมเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดพร้อมของกลางยาบ้า 34,000 เม็ด

วันที่ 28 มิถุนายน 2564 เวลา 10.30 น. ของที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอ เมือง จ.ชุมพร นายนักรบ ณ ถลางได้ร่วมนายอภิญญา คนดี ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานยริหารปกครอง (ปลัดอวุโส) นายธีระวุฒิ นุชนงค์ ปลัดอำเภอเมืองชุมพร ฝ่ายความมั่นคง เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. นายลิขิต กิจปกรณ์สันติ ปลัดอำเภอเมืองชุมพร เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. นายกิตติศักดิ์ จีนไทย พร้อมเจ้าหน้าที่สมาชิก อส.อ.เมืองชุมพรที่ 2 ได้ดำเนินการปราบปรามจับกุม ผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดชุมพร

สืบเนื่องจากการจับกุม นายนราชัย หรือเก่ง พลดี พร้อมของกลางยาไอซ์ 3.03 กรัม ยาบ้า 3 เม็ด เหตุเกิดที่ห้องเช่าบ้านยังอยู่ ห้องที่ 5 หมู่ที่ 1 ตำบลนาชะอัง อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 64 เวลาประมาณ 03.45 น. โดยบุคคลดังกล่าวได้ขยายผลได้จับกุม ผู้ค้ารายสำคัญ จับกุมนายจิรวัฒน์ หรือเป็ด แซ่ตัน เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 64 เวลา 02.50 น. อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39/1 หมู่ที่ 3 ตำบลดอนชะเอม อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี และว่าที่ ร.ต.หญิงเขมพร หรือกุ๊ก พรานเจริญ อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38/2 หมู่ที่ 3 ตำบลหนองตากยา อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 60,000 เม็ด จับกุมที่สายท่าแซะ-ปะทิว นำมาตรวจที่กองร้อย อส.อ.เมืองชุมพรที่ 2

จับกุมนายองอาจ หรือยอด แดงแก้ว วันที่ 26 มิ.ย.64 เวลา 06.30 น. อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 81/2 หมู่ที่ 8 ตำบลท่าหิน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร และนายภูริภัทร หรือเนส แดงแก้ว อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 70 หมู่ที่ 8 ตำบลท่าหิน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 14,000 เม็ด เหตุเกิดบริเวณสวนยางพาราใกล้บ้านเลขที่ 93/5 หมู่ที่ 8 ตำบลท่าหิน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร

ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

สุรินทร์ – สองสามีภรรยาเมืองช้าง ผลิกชีวิตปลูกต้นอินทผลัม 3 ไร่ ยอดขายวันเดียวทะลุเกือบ 3 หมื่นบาท

อําเภอโนนนารายณ์ สองสามีภรรยาลาออกจากบริษัทใน กทม.นําเงินที่เก็บหอมลอมริบหันมาปลูกต้นอินทผลัมในไร่เนื้อที่ 3 ไร่ ใช้เวลาปลูกดูแลรักษาเพียง 3 ปี สามารถเก็บผลผลิตสู่ท้องตลาด เพียงเปิดไร่ให้ลูกค้ามาแวะมาชมมาซื้อเพียงวันเดียวมีลูกค้าในอําเภอ และอําเภอข้างเคียงแห่จองขายวันเดียวยอดขายทะลุเกือบ 3 หมื่นบาท

วันที่ 28 มิถุนายน 64 ช่วงเช้านี้ ผู้สื่อข่าวลงไปที่บ้านเลขที่ 69/1 หมู่ 2 บ้านระเวียง ต.โนนนารายณ์ จ.สุรินทร์ โดยมีนายธนกฤต ไสว อายุ 48 ปีและนางชัทราณี สุขประสงค์ อายุ 40 ปี สองสามีภรรยา ได้ทําสวนอินทผลัม ในเนื้อที่ 3 ไร่ ใช้เวลาปลูกเพียง 3 ปี ก็เก็บผลผลิตส่งขายลูกค้าสั่งจองวันเดียวยอดขายทะลุเกือบ 3 หมื่นบาท

นายธนกฤต ไสว อายุ 48 ปี เจ้าของสวนเล่าว่า ตนและภรรยาเคยทํางานบริษัทในแถว กทม.ก่อนจะลาออกจากงานได้เงินมาก้อนหนึ่ง พาภรรยากลับมาอยู่บ้านแล้วหันมาทําไร่ที่พ่อแม่แบ่งมรดกให้ทํากิน 3 ไร่ โดยครั้งแรกตนและภรรยาปลูกมันสําประหลังแต่ราคามันตกตํ่าขายไม่ได้กําไรและต้นทุน จึงหันมาปลูกต้นทุเรียนแต่ก็ไม่ประสบความสําเร็จ เพราะต้นทุเรียนตายหมด

จากนั้นตนไม่หมดความพยายามได้ศึกษาพืชเศรษกิจตัวใหม่ในเน็ต จึงมีแรงจูงใจอีกครั้งพบว่าอินทผลัมคือพืชเศรษกิจตัวใหม่เหมาะสําหรับพื้นที่และอากาศบ้านเราจึงได้เดินทางไปขอดูงานที่สวนอินทผลัมในเขตอําเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา จนชื่นชอบและก็ได้สั่งซื้อเนื้อเยื้อพันธุ์บาฮีและพันธุ์อัมเดนดาฮาน มาปลูกจํานวน 150 ต้นในเนื้อที่ 3 ไร่ โดยใช้ระยะเวลาปลูกและดูแลรักษาเพียง 3 ปี ก็สามารถเก็บผลผลิตชุดแรกได้ผลโตรสชาติหวานติดลิ้น กรอบอร่อย เปิดขายในราคาลูกอินทผลัมพันธุ์บาฮี ขายกิโลละ 400 บาท

ลูกอินทผลัมพันธุ์อัมเดนดาฮาน ขายกิโลละ 600 บาท  ชึ่งทางตนได้เปิดไร่สวนอาชาผาลัมขายวันอาทิตย์ 27 มิ.ย.64 ที่ผ่านมา วันเดียวมีลูกค้ามาสั่งจองและแวะมาเที่ยวชมมาซื้อที่สวนจนคึกคักตลอดทั้งวัน จนมียอดขายวันเดียวทะลุเกือบ 3หมื่นบาทเลยทีเดียว และหากท่านใดสนใจสั่งซื้อหรือจะมาดูงานชมสวนติดต่อมาได้ที่ เบอร์ 092-692-6259 (ขาว) ยินดีต้อนรับ


ภาพ/ข่าว  บุญเรือง เกสรจันทร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top