Saturday, 17 May 2025
ค้นหา พบ 48160 ที่เกี่ยวข้อง

“อนุชา” เผย “เราชนะ-ม.33 เรารักกัน” ปชช. 41 ล้านคน ใช้จ่ายทำเศรษฐกิจหมุนเวียน เกือบ 3 แสนล้านบาท

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการใช้จ่ายในโครงการ “เราชนะ” สำหรับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มที่มีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และโครงการ “ม.33 เรารักกัน” หลังครม. เพิ่มวงเงินเยียวยา 2,000 บาท ใช้จ่ายได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย. ว่า โครงการเราชนะมีจำนวนผู้ได้รับสิทธิทั้งสิ้น 33.1 ล้านคน เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.7 ล้านคน กลุ่มผู้มีแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง 8.4 ล้านคน กลุ่มผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบเป๋าตัง 8.6 ล้านคน กลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ 2.4 ล้านคน ใช้จ่ายครบวงเงินตามสิทธิ์ในโครงการฯ 17.6 ล้านคน ทำให้มีการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย มูลค่ากว่า 257,997 ล้านบาท ผู้ประกอบการและผู้ให้บริการได้รับประโยชน์มากกว่า 1.3 ล้านร้านค้าและกิจการ แยกเป็นการใช้จ่ายในร้านอาหารและเครื่องดื่มคิดเป็นร้อยละ 19.1 ของมูลค่าการใช้จ่ายทั้งหมด ร้านธงฟ้าคิดเป็นร้อยละ 34.4 ร้านโอท็อป คิดเป็นร้อยละ 4.1 ร้านค้าทั่วไปและอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 40.4 ร้านค้าบริการคิดเป็นร้อยละ 1.9 และขนส่งสาธารณะคิดเป็นร้อยละ 0.1

สำหรับโครงการ ม.33เรารักกันมี ผู้ได้รับสิทธิ์รวมทั้งสิ้น 8.14 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม ถึงวันที่ 31 พ.ค. กว่า 39,317 ล้านบาท โดยผ่านร้านค้าทั้งสิ้น 1.07 ล้านร้านค้า ทั้งนี้สองโครงการ มีมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในเศรษฐกิจ 297,314 ล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้มีมาตรการอื่นที่รัฐบาลดำเนินการช่วยผู้ประกอบการ อาทิ เช่น มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 250,000 ล้านบาท มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ วงเงิน 100,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐสภาได้ผ่าน พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 และ พ.ร.ก.ซอฟต์โลน 
วงเงินรวม 350,000 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของภาคธุรกิจ เสริมสภาพคล่องสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยจะมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจอื่นๆ ที่จะออกมาในครึ่งปีหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดีขึ้น

ผบ.ทร. เป็นประธาน เปิดกิจกรรม “รวมใจภักดิ์ อนุรักษ์พันธุ์ปลา รักษาป่าชายเลน”ในมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา”

พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร) เป็นประธาน ในพิธีเปิดกิจกรรม “รวมใจภักดิ์ อนุรักษ์พันธุ์ปลา รักษาป่าชายเลน” ในมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ครั้งที่ 3/2564 ณ หมวดเรือที่ 3 กองเรือทุ่นระเบิด กองเรือยุทธการ ตำบลแหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ โดยมี พล.ร.อ.สุทธินันท์ สมานรักษ์ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และ พล.ร.ต.ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล ผู้บัญชาการกองเรือทุ่นระเบิด กองเรือยุทธการให้การต้อนรับ

ทั้งนี้นางจุฬารัตน์ ศรีวรขาน นายกสมาคมภริยาทหารเรือ นำคณะอุปนายก และผู้บริหารสมาคมภริยาทหารเรือ ร่วมในพิธีมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตนราชกัญญา จัดตั้งขึ้นเพื่อสนองพระดำริ ที่ทรงมีเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์แนวปะการัง กัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย และเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการอนุรักษ์ แนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย

ในพระดำริให้แนวปะการังกัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย มีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลได้อย่างมีความสมดุลและยั่งยืน กองทัพเรือในฐานะที่เป็นหน่วยงานสนองพระดำริ จึงได้จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และพระประสงค์ของพระองค์ ที่ผ่านมา ชายฝั่งบริเวณพื้นที่ด้านทิศใต้ของหมวดเรือที่ 3 กองเรือทุ่นระเบิด ประสบปัญหาการกัดเซาะของแม่น้ำเจ้าพระยา และปัญหาน้ำท่วมสูงตามฤดูกาล ทำให้ชายฝั่งเกิดการพังทลายเป็นบริเวณกว้าง คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 0.6 ไร่ หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่บริเวณนี้ทั้งหมด

ทั้งนี้ หากปล่อยให้เกิดการพังทลายต่อไป จะเกิดผลกระทบต่อพื้นที่ที่ตั้งหน่วยแห่งนี้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาดังกล่าว กองเรือยุทธการ จึงได้มอบหมายให้กองเรือทุ่นระเบิด จัดกิจกรรม “รวมใจภักดิ์ อนุรักษ์พันธุ์ปลา รักษาป่าชายเลน” ในมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยฯ ครั้งที่ 3/2564 โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ

การรักษาระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย อนุรักษ์ป่าชายเลนให้มีความสมบูรณ์ พร้อมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และแหล่งศึกษาทางนิเวศวิทยา พัฒนาแนวชายฝั่ง และป้องกันการพังทลายของหน้าดินในพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งหน่วย โดยมีการดำเนินการ กิจกรรมย่อย 3 กิจกรรม ประกอบด้วย กิจกรรมปลูกต้นโกงกางจำนวน 350 ต้น กิจกรรมปล่อยพันธุ์ปูจำนวน 918 ตัว พันธุ์ปลา 9,918 ตัว และกิจกรรมเก็บขยะโดยรอบพื้นที่

สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสนับสนุนการดำเนินโครงการตามพระดำริแล้วยังเป็นการพัฒนาแนวชายฝั่ง และป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งการป้องกันการกัดเซาะโดยการปลูกต้นโกงกาง นับได้ว่าเป็นวิธีการตามธรรมชาติและประหยัดงบประมาณ ซึ่งนอกจากจะสามารถป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งได้แล้ว ยังส่งผลประโยชน์ในการเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นที่หลบภัยและที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศและเป็นการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตใต้ทะเล อีกทั้งยังเป็นการสร้างจิตสำนึกที่ดี ให้กับข้าราชการและประชาชน ในการร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสามารถเป็นต้นแบบให้กับหน่วยงานต่าง ๆ นำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการป้องกันปัญหาการกัดเซาะและการพังทลายของหน้าดินได้

ศบค. เผย ตัวเลข ฉีดวัคซีนแล้ว 5.1 ล้านโดส ชี้ เมื่อฉีดวงกว้าง อาจพบอาการไม่พึงประสงค์ได้ ย้ำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ลดการแพร่ระบาด

ที่ศบค. ทำเนียบรัฐบาล นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสรุปภาพรวมเรื่องการฉีดวัคซีนว่า เรื่องวัคซีนเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเป็นอย่างมาก นับจากที่มีการฉีดวัคซีนในวงกว้าง จึงทำให้โอกาสที่จะเจออาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ปรากฏขึ้นหรืออาจจะมีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ ดังนั้นต่อจากนี้จะมีการรายงานภาพรวมสัปดาห์ละครั้ง 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า จากที่เราได้ฉีดวัคซีนกันไปตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ จำนวนวัคซีนที่จัดสรร ซิโนแวค 4,982,313 โดส อัตราเซเนก้า 1,774,180 โดส รวมทั้งสิ้นการจัดสรรวัคซีนสองชนิด 6,756,493 โดส ซึ่งถ้าแยกจำนวนการฉีดวัคซีนเพื่อแยกดูว่าในวงกว้างปูพรมในวันที่ 7-8 มิถุนายน ในส่วนของการฉีด วันนี้ที่เพิ่มขึ้นมา 472,128 โดส สะสมตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน เป็นจำนวน 888,975 โดส ดังนั้นจะเห็นว่าเราสามารถฉีดได้วันละเกินวันละ 400,000 โดส ทั้งนี้ยอดรวมของการฉีดมาตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์คือ 5,107,069 โดส 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า การที่นำตัวเลขนี้มาหยามเนื่องจากเป็นประเด็นที่สำคัญเนื่องจากการฉีดในจำนวนมากๆ นี้เราต้องติดตามในเรื่องของความปลอดภัยจึงได้มีระบบการรายงานอาการไม่พึงประสงค์หลังจากการฉีดวัคซีน ซึ่งคำพูดที่ประชาชนหรือสื่อมวลชนมักใช้กันและเข้าใจง่ายบางครั้งจะพูดถึงคำว่า แพ้วัคซีน ผลข้างเคียง ซึ่งคำเหล่านี้ในทางวิชาการจะมีการแจกแจงแยกความหมายที่ชัดเจนเพราะว่ามีความสำคัญต่อการดูแล ประชาชนหลังการฉีดวัคซีนที่แตกต่างกัน

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ระบบเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ เราทำให้มีความไวถึงแม้จะเป็นอาการเล็กๆ น้อยๆ ที่จะสามารถติดตาม รายงานมาได้ ก็จะรวบรวมไว้ แต่ถ้าอาการไม่รุนแรง สามารถหายได้เองก็ไม่จำเป็นจะต้องไปติดตามดูข้อมูลลึกๆ แต่ถ้าเข้าขายอาการที่รุนแรงหรือเสียชีวิต ก็จำเป็นที่จะต้องมาดูในรายละเอียดว่าสาเหตุการเสียชีวิต สาเหตุของอาการเหล่านั้นคืออะไร ในบางส่วนอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงอาจจะเป็นแค่ปฏิกิริยาของร่างกาย ซึ่งนั่นจะมีอีกคำหนึ่งที่ใช้กันคือผลข้างเคียง เป็นปฏิกิริยาของร่างกายเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย วัคซีนก็เป็นสิ่งแปลกปลอมหนึ่งที่เข้าไปในร่างกายเพื่อวัตถุประสงค์จะไปก่อประโยชน์ในการกระตุ้นให้ร่างกายรู้จักว่าเวลาที่มีสารกระตุ้นแบบนี้ เป็นสารที่เราจำลองมาจากตัวเชื้อ เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน เวลามีเชื้อโรคมาจริงๆ ภูมิคุ้มกันเหล่านี้จะเป็นเสมือนทหารคุ้มกัน ป้องกันที่จะไปต่อสู้เอาชนะ ทำให้ลดการเสียชีวิต ลดการป่วย ลดการติดเชื้อ ส่งผลไปถึงหยุดการแพร่กระจาย หรือลดการแพร่กระจาย ทำให้การแพร่ระบาดหยุดไปได้ 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ในกรณีที่ปรากฏในสื่อที่เห็นชัด และผู้คนสนใจคือเรื่องของการเสียชีวิต ตามที่รายงานมาแล้วจำนวน 28 ราย ซึ่งต้องเรียนว่าไม่ใช่ว่าจะเป็นผลจากวัคซีน ตามหลักการของเราเมื่อมีเหตุรุนแรง จะต้องมีการหาสาเหตุให้ชัดเจน โดยระบบเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ ในระดับพื้นที่จะมีการรวบรวมข้อมูล รายงานสถานการณ์ว่าเกิดเหตุอะไรบ้างในเบื้องต้นได้ในระดับจังหวัด โดยมีการจัดตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญในระดับเขต เพราะเมื่อมีการฉีดวัคซีนในวงกว้างมากๆ หากมีอาการที่เข้าข่ายผู้เชี่ยวชาญก็ต้องดูสาเหตุว่าเป็นอย่างไร ดูความเชื่อมโยงเกี่ยวข้อง กลับวัคซีนหรือไม่ เพราะบางกรณีอาจจะเกี่ยวข้อง แต่บางกรณี อาจจะไม่เกี่ยวข้องจึงต้องให้เวลาในการเก็บข้อมูล ดังนั้นการจะรู้สาเหตุที่แท้จริง ที่ชัดเจนขอเรียนว่า ต้องมีกระบวนการที่ดูในเรื่องการดูแลรักษา การส่งตรวจในโรงพยาบาล การผ่าชันสูตรหลังเสียชีวิต สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมาก ซึ่งนอกจากดูรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ต้องผ่าชิ้นเนื้อ ส่งตรวจเพื่ออธิบายสาเหตุนั้นก็มีความสำคัญเช่นกัน

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ตัวอย่างกรณีของจังหวัดปทุมธานีจะเห็นว่ามีผู้เสียชีวิตหลังการฉีดวัคซีนแต่เมื่อมีการตรวจชนะสูตรแล้วพบว่ามีการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุคนละเรื่องกับวัคซีน เพราะฉะนั้นกรณีเหล่านั้นเป็นการเสียชีวิต เป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง แต่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นสาเหตุ ที่มาจากวัคซีน ดังนั้น 28 รายที่รายงานเข้ามา 12 รายมีการสรุป สาเหตุชัดเจนแล้วว่าทุกรายมีสาเหตุของการเสียชีวิตที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัคซีน ขอให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของวัคซีน และจะติดตามเรื่องเหล่านี้มานำเสนอให้ทราบเป็นระยะ เพื่อให้เกิดความมั่นใจแล้วทุกคนได้ประโยชน์จากการฉีดวัคซีนในวงกว้าง เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และทำให้หยุดการระบาดได้ในที่สุด

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า โดยทั่วไปโรคประจำตัว โดยรวมๆ แล้วฉีดได้เกือบทุกโรคหากในวันที่ฉีดมีสุขภาพแข็งแรงดีไม่ได้มีอาการอ่อนเพลียหรือไม่มีอาการกำเริบของโรค หลายคนอาจมีความกังวลใจแต่ถ้าได้ปรึกษากับแพทย์ประจำก็สามารถขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ ดังนั้นถ้าไม่ได้มีอาการกำเริบของโรค ควบคุมไม่ได้ ก็สามารถฉีดวัคซีนได้โดยที่ไม่ต้องเลื่อนวันนัด

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า หลังฉีดวัคซีนแล้วหากมีอาการไมเกรน ปวดศีรษะก็ใช้การประเมินของตัวเองได้ ถ้าปวดเล็กน้อยอาจจะทานยาพาราเซตามอล แก้ปวดแล้วพักผ่อน ก็จะดีขึ้นแต่ถ้าดูไม่ดีขึ้น หรือปวดรุนแรงตั้งแต่ต้น หรือดูว่ามีความกังวลว่าอาจจะเป็นมาก ก็สามารถติดต่อแพทย์ได้โดยที่ไม่ควรจะรอ

รมว.ยุติธรรม เผย ปปส.ภาค 6 สนธิกำลังตำรวจลงพื้นที่กวาดล้างยาเสพติดหมู่บ้านชุมแสง ได้ผู้เสพ 6 ราย เตรียมขยายผลจับเอเย่นต์ ยันรัฐบาลให้ความสำคัญ วอนช่วยเป็นหูเป็นตา พบเบาะแสแจ้งสายด่วน 1386

จากกรณีมีประชาชนในพื้นที่อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เกรงกลัวจะได้รับความเดือดร้อน หลังมีการนัดหมายซื้อขายยาเสพติดในพื้นที่สวนยางของตัวเอง จึงเขียนป้ายประชดเกี่ยวกับการซื้อขายยาเสพติด เพราะเคยร้องเรียนผ่านหน่วยที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานแต่เรื่องยังเงียบนั้น 

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานกรณีดังกล่าวจากเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 6 (ปปส.ภาค 6) ซึ่งจากการตรวจสอบฐานข้อมูลร้องเรียนพบว่า วันที่ 29 มกราคม 2564 ประชาชนในพื้นที่หมู่ 9 บ้านชุมแสง ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ร้องเรียนว่ามีการซื้อขายเสพยาเสพติดกันทั่วไป และยังสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ให้การสนับสนุนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดยาเสพติด และมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีฐานะร่ำรวยขึ้นอย่างผิดปกติ รวมทั้งมีผู้เกี่ยวข้องเคยต้องโทษคดียาเสพติดและถูกจำคุก ปัจจุบันพ้นโทษออกมาแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 ตรวจสอบพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐตามผู้ร้องเรียนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่พบการกระทำผิดใดๆ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับทราบถึงปัญหา และกำลังดำเนินการแก้ไขให้มีความรวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน ซึ่งหลังเกิดเรื่องร้องเรียนเจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 พร้อมชุดสายตรวจ สภ.แก่งโสภาได้เข้าตรวจสอบในพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยนำตู้แดงไปติดที่บริเวณพื้นที่จุดเสี่ยงในหมู่บ้าน และเมื่อคืนวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้ดำเนินการกวาดล้างในพื้นที่ จนสามารถจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้ 6 ราย พร้อมเตรียมขยายผลไปยังเอเย่นต์ที่ค้ายาในพื้นที่ต่อไป 

“ผมยืนยันว่ารัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติดมาโดยตลอด เราทำงานเชิงรุกในด้านยาเสพติดทุกมิติ เช่น การตัดวงจรยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด รวมถึงกวาดล้างสกัดกั้นยาเสพติดจากแนวชายแดนที่จะใช้ชายแดนไทยเป็นทางผ่านไปประเทศอื่นๆ เวลานี้ยาเสพติดมีต้นทุนต่ำการผลิตจึงมีจำนวนมากขึ้น ทำให้มีการลักลอบขนยาเสพติดเพิ่มไปด้วย ผมอยากให้ทุกฝ่ายช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่หากพบเจอผู้ค้ายาเสพติดหรือมีข้อมูลให้แจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง” นายสมศักดิ์ กล่าว 

นายสมศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ในปีงบประมาณที่ผ่านมา สำนักงาน ปปส.ภาค 6 ร่วมกับศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด ได้จัดทำโครงการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน นำร่องในพื้นที่ 6 จังหวัด (ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ) จำนวน 6,009 หมู่บ้าน/ชุมชน ผลจากการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด ได้จำนวน 8,465 คดี  ยึดทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 97 คดี มูลค่าทรัพย์สินที่ยึด/อายัด จำนวน 13,110,879 บาท และนำผู้เสพเข้าสู่การบำบัดรักษายาเสพติดได้จำนวน 6,851 ราย นอกจากนี้กรมการปกครอง ได้ดำเนินการสำรวจความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน ผลการสำรวจปรากฏข้อมูลว่าหมู่บ้าน/ชุมชน เป้าหมายของโครงการมีการเปลี่ยนแปลงสถานะจากมีปัญหายาเสพติดเป็นไม่มีปัญหายาเสพติด ร้อยละ 50.8 และภาคประชาชนพึงพอใจโครงการดังกล่าวร้อยละ 99

ผบ.ทสส. ประชุมร่วม ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด-แปซิฟิกทผ่านระบบ VTC พร้อมกระชับความสัมพันธ์ทางทหาร การฝึกร่วมผสม Cobra Gold

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่กองบัญชาการกองทัพไทย จัดการประชุมทางไกลผ่านระบบ VTC เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางทหาร ระหว่าง พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) กับ พลร.อ John C. Aquilino (จอห์น อากีลีโน) ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก ห้องประชุม CAS 63 กองบัญชาการกองทัพไทย ถนนแจ้งวัฒนะ

การประชุมฯ ครั้งนี้เป็นการแนะนำตัวเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ พร้อมทั้งเป็นการกระชับความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพสหรัฐอเมริกาในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)

ทั้งสองกองทัพมีความร่วมมือทางทหารกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ทั้งในด้านการฝึกร่วม ผสม โดยเฉพาะการฝึก Cobra Gold ซึ่งเป็นการฝึกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค รวมถึงด้านการศึกษา การแลกเปลี่ยนข่าวกรอง การแลกเปลี่ยนการเยือน และ ความร่วมมือตามข้อตกลงว่าด้วยการจัดหาและบริการต่างๆ

ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กล่าวชื่นชมบทบาทของกองทัพสหรัฐอเมริกาในการสนับสนุนส่งเสริม และการรักษาความมั่นคงเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศในภูมิภาค พร้อมทั้งได้กล่าวขอบคุณ พลเรือเอก John C. Aquilino (จอห์น อากีลีโน) ที่ได้ร่วมสนทนากันในครั้งนี้ พร้อมทั้งยืนยันว่าความร่วมมือระหว่างกองทัพสองประเทศจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศ เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติร่วมกันต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top