Saturday, 17 May 2025
ค้นหา พบ 48149 ที่เกี่ยวข้อง

EA-กฟผ. ผนึกกำลัง ดึงจุดแข็งร่วมพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานอัจฉริยะ โดยเฉพาะด้านยานยนต์ไฟฟ้าและการพัฒนาระบบซื้อขายพลังงานไฟฟ้า ภายใต้โครงการ “Smart Energy EGAT X EA” รับเทรนด์พลังงานสะอาด

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ. และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ได้ลงนาม MOU โครงการความร่วมมือด้านพลังงานอัจฉริยะ “Smart Energy EGAT X EA” เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพลังงานใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศ โดยบริษัท EA ถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานของประเทศไทย ทั้งทางด้านการผลิตพลังงานสะอาด ด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ระบบแบตเตอรี่ และระบบ Platform ซื้อขายพลังงานไฟฟ้า จึงนับได้ว่าเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนที่จะนำเอาจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายมาร่วมมือกัน ในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ตอบสนองต่อเทรนด์พลังงานสะอาดที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ ภายในปี 2564 บริษัท EA และ กฟผ. ตั้งเป้าที่จะมีโครงการนำร่องในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า เพื่อร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้แก่คนไทยร่วมกันอีกด้วย

สำหรับความร่วมมือมีรายละเอียด ดังนี้ ด้านยานยนต์ไฟฟ้า บริษัท EA จะศึกษาและพัฒนาโครงการปรับเปลี่ยนกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น รถบรรทุกขนส่งเชิงพาณิชย์ต่างๆ ในส่วนของ กฟผ. จะร่วมศึกษาและพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบรวดเร็ว (Ultra Fast Charging Station) ภายใต้ EleX by EGAT เพื่อรองรับการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าในลักษณะ Fleet ซึ่งสถานีอัดประจุไฟฟ้าถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ในการสนับสนุนให้โครงการปรับเปลี่ยนกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของประเทศไทย สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม และด้านการพัฒนาระบบซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Energy Trading Platform) ทั้ง EA และ กฟผ. จะร่วมกันศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบดังกล่าว ที่เป็นประโยชน์กับโครงสร้าง บริบทและระบบไฟฟ้าของประเทศไทย

ด้าน นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท EA กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้าของประเทศ ให้รองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทางด้านเทคโนโลยี รวมทั้งช่วยส่งเสริมการเติบโตของการผลิตพลังงานหมุนเวียนในประเทศอย่างยั่งยืนและมั่นคง ปัจจุบันบริษัทเปิดให้บริการสถานีอัดประจุแล้วกว่า 400 สถานี รวมทั้งสิ้นกว่า 1,600 หัวชาร์จ ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งระบบธรรมดา หรือ AC Charger ไปจนถึงระบบชาร์จเร็วและทันสมัยที่สุด หรือ DC Super-Fast Charge ที่ใช้เวลาเพียง 15-20 นาที

สมโภชน์ อาหุนัย

รวมทั้งยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการด้วยการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันระบบออนไลน์ในการจอง จ่าย และชาร์จในคราวเดียวกัน เตรียมพร้อมรองรับกับโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตที่กำลังเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า 100% และบริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท EA ก็มีความพร้อมรองรับการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า โดยสามารถทำการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ได้หลายประเภท เช่น รถบัส รถบรรทุก รถตู้ กำลังผลิตประมาณ 3,000-5,000 คันต่อปี คาดว่าแล้วเสร็จและเริ่มดําเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางปี 2564 โดยนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ในการควบคุมการผลิตทุกขั้นตอน พร้อมทั้งมีกระบวนการทดสอบที่ได้มาตรฐานการขับเคลื่อนที่ทันสมัยและครบวงจร

นอกจากนั้นบริษัท EA ยังดำเนินธุรกิจหลักด้านพลังงานหมุนเวียน จึงมีความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างเสถียรภาพในระบบไฟฟ้า ด้วยการพัฒนาระบบ Trading Platform มาใช้ทำการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานที่ลูกค้าสามารถซื้อพลังงานจากผู้ผลิตได้โดยตรง มี AI ช่วยในการทำนายและเทรดได้แบบอัตโนมัติ และใช้เทคโนโลยี Block Chain เข้ามาจัดการ จึงมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยสูง ซึ่งในระยะถัดไปบริษัทมีแผนที่จะนำระบบนี้มาใช้กับพลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน สถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และมิเตอร์ไฟฟ้า เพื่อสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ อันจะช่วยนำไปสู่การมีระบบการผลิต จำหน่าย และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“บิ๊กเล็ก” แบะท่า “พปชร.” ประชุมใหญ่จ.ขอนแก่น ทำได้ กำชับ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เตรียมจัดประชุมใหญ่พรรค ที่จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 20 มิ.ย.นี้ ว่าจะประชุมได้หรือไม่ ทางจังหวัดทราบดีอยู่แล้วถึงวิธีปฏิบัติ รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งจังหวัดขอนแก่น ไม่ได้เป็นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่สีแดง สามารถดำเนินการได้ ในทางความมั่นคงไม่ได้มีปัญหาอะไร ที่ผ่านมาเราจะห่วงเฉพาะในพื้นที่สีแดงหรือแดงเข้ม 

เมื่อถามว่าหากพรรคพปชร.ประชุม อาจจะทำให้เป็นตัวอย่างให้พรรคการเมืองอื่นๆ สามารถประชุมในจังหวัดต่างๆได้ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ทำได้ถ้าดำเนินการถูกต้องตามข้อจำกัดของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)

เมื่อถามว่าการที่พรรคการเมืองจะใช้สถานที่ต่างจังหวัดประชุมจะต้องมาขอที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ก่อนหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเขาทราบดีว่าหลักเกณฑ์ของศบค.อะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ อะไรที่เป็นข้อห้ามหรือข้อกำหนดที่ผ่อนคลายได้ ดังนั้นถ้าคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาแล้วเห็นว่าสามารถดำเนินการได้ก็อนุญาติได้เลย แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เขาไม่แน่ใจเขาก็จะหารือมาที่ศบค. 

“เลขาฯ สมช.” แจง ปลดล็อก “เอกชน-อปท.” จัดหาวัคซีน ต้องสั่งจากหน่วยงานรัฐ-สอดคล้องแนวทางกระจายวัคซีน เผย อยากให้อปท.จัดคนฉีดจากรัฐมากกว่า ห่วงใช้งบจัดซื้อย้ำ ต้องผ่านกก.โรคติดต่อจังหวัดพิจารณาด้วย

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์ถึงประกาศศบค.เรื่องแนวทางบริหารจัดการวัคซีน ป้องกันโรคโควิด-19 ที่ปลดล็อกให้องค์กรเอกชนและท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีนได้ ว่าจากการที่ผู้ตรวจการแผ่นดินทำข้อเสนอแนะมาที่ศบค.อยากให้ศบค.กำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการเกี่ยวกับวัคซีน จึงเรียนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รับทราบ และได้ออกเป็นประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ในทันที

ผู้สื่อข่าวถามว่าการสั่งซื้อจะต้องซื้อจากหน่วยงานรัฐที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ไม่สามารถซื้อโดยตรงกับบริษัทผู้ผลิตได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ในระยะนี้ขอให้เป็นแบบนี้ไปก่อน เนื่องจากวัคซีนมีปริมาณจำกัดซึ่งแต่ละประเทศผู้ผลิต กำหนดเงื่อนไขจำหน่ายให้คือ จำหน่ายให้หนึ่งประเทศหนึ่งสัญญา สมมุติว่าถ้าทั้งรัฐและเอกชนต้องการซื้อจะต้องแบ่งปริมาณกันก็จะมีข้อจำกัดมากขึ้น โดยเนื้อหาประกาศมีสามส่วนสำคัญ คือ

1.) กำหนดหน่วยงานที่สามารถนำเข้ามาในราชอาณาจักร ได้แก่ กรมควบคุมโรค สถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การเภสัช องค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทยและราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่สามารถนำเข้ามาได้ รวมทั้งหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไป 

2.) ให้เอกชนและรพ.เอกชน สามารถสั่งซื้อจากหน่วยงานที่กล่าวข้างต้น ไม่สามารถซื้อโดยตรงจากบริษัทได้  

3.) องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ดูกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง แผนงานงบประมาณ แผนกระจายวัคซีนของ ศบค.เนื่องจากอปท.ต้องใช้เงินแผ่นดิน จึงใช้งบประมาณให้คุ้มค่ามากที่สุด และสอดคล้องกับแผนวัคซีนที่กำหนดแนวทางไว้และส่วนที่เพิ่มเติม คือ ทุกส่วนงานทั้งเอกชน และรพ.เอกชน หรือหน่วยงานใดก็ตาม ต้องประสานบูรณาการกับหมอพร้อม เนื่องจากแพลตฟอร์มหมอพร้อม จะเป็นแพลตฟอร์มสุดท้ายที่ควบคุมข้อมูลของประชาชนทั้งคนไทยและต่างชาติที่ฉีดวัคซีนให้เป็นระบบเดียวกัน 

เมื่อถามว่าในส่วนอปท.ต้องกำหนดวงเงินในการใช้จ่ายหรือไม่ เพราะอปท.แต่ละท้องที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐไม่เท่ากัน ถ้านำมาใช้กับวัคซีนทั้งหมดอาจไม่พอกับการบริหารงานด้านอื่น พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า นี่คือคำตอบ สิ่งที่ถามเป็นคำตอบในตัวอยู่แล้ว เพราะศบค.เป็นห่วงแบบนั้น เนื่องจากศักยภาพด้านงบประมาณของท้องถิ่นที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ หากเป็นไปได้อยากให้อปท. ทำหน้าที่แค่สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการจัดประชาชนเข้ามาฉีดวัคซีน ตามที่ศบค.หรือกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า อปท.ควรให้ศบค.พิจารณาว่าจะจัดซื้อได้จำนวนเท่าไหร่ โดยดูจากรายได้เงินอุดหนุนของรัฐด้วยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ย้ำว่าต้องดูกฎหมาย ดูแผนงานที่ศบค.แจกจ่ายให้ซึ่งเราพิจารณาอย่างเหมาะสมแล้ว โดยดูจากสัดส่วนของประชาชน จังหวัดใหญ่ประชากรมากก็ได้มาก พิจารณาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดจังหวัดใดที่มีการแพร่ระบาดสูงและรุนแรงจะได้รับสัดส่วนที่เติมเข้าไป และพิจารณากลุ่มจังหวัดเศรษฐกิจ ที่ต้องเตรียมความพร้อมด้านเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดก็จะได้รับเพิ่มเติมอีกส่วนแต่ไม่ได้หมายความว่าอปท.ทุกแห่งจะซื้อได้ ต้องดูหลักเกณฑ์แนวทางนี้ และการดำเนินการจะพิจารณามาตามลำดับ ตั้งแต่ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการ เป็นประธาน จากนั้นนำเข้าศบค.พิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ว่าประกาศออกไปแล้วอปท.สามารถซื้อได้เองทันที

เมื่อถามกรณีที่เอกชนหรือสถานพยาบาลเอกชน ที่จะซื้อวัคซีนจากหน่วยงานตามที่รัฐกำหนดจะต้องรายงานจำนวนที่จัดซื้อให้กับศบค. ด้วยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ต้อง เพราะหน่วยงานรัฐที่จะสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร ส่วนใหญ่จะหารือกับศบค.ว่าจะสั่งวัคซีนชนิดนี้ จำนวนเท่าไหร่ เพื่อแจกจ่ายให้ใครบ้าง 

เมื่อถามว่าจำนวนที่จะให้เอกชนหรือหน่วยงานซื้อได้ กำหนดช่วงเวลาของการจัดซื้อในช่วงเวลาใด พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ได้กำหนด เพราะยิ่งได้ฉีดมากขึ้นเร็วขึ้นยิ่งดี แต่เราจะดูปริมาณที่มา ขณะนี้รัฐบาลเตรียมวัคซีนให้ประชาชน 100 ล้านโดส สำหรับ 50 ล้านคน คนไทยมีประมาณ 67 ล้านคน ต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยประมาณ 2.6 ล้านคน รวมประมาณ 70 ล้านคน การที่เตรียมไว้สำหรับ 50 ล้านคน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ถ้าสามารถฉีดให้ได้มากกว่านี้ก็ดี 

แต่ปัจจุบันยังไม่ทราบจำนวนทั้งหมดของคนไทยที่ต้องการฉีดวัคซีนว่ามีเท่าไหร่ ยังไม่สามารถประเมินได้ ดังนั้นถ้าสั่งวัคซีนเข้ามาในปริมาณที่มากเกินไปอาจเกิดปัญหาภายหลังไม่มีคนมาฉีดแล้ววัคซีนเหลือ ขอให้เห็นใจเวลานี้จะคิดเผื่อไปถึงอนาคตก็ลำบาก แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจจะถูกตำหนิว่าทำไมทำอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้คิดถึงปัจจุบันและอยากให้คิดว่าเมื่อเดือนกันยายน หรือตุลาคม สถานการณ์ดีขึ้นจะมีคนให้ฉีดอีกกี่คน สรุปคือเราต้องเตรียมไว้จำนวนหนึ่งที่คิดว่ามากพอและเป็นไปได้

เมื่อถามว่ามีรายงานหรือยังว่าวัคซีนที่จะเข้ามาจำหน่ายให้กับองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ จะมาประมาณเดือนใด พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า เบื้องต้นจะมาประมาณ 3-5 ล้านโดส ของโมเดอร์นา และชิโนฟาร์ม ที่ติดต่อเข้ามา แต่ยังไม่ทราบว่าจะมาในเดือนใด ต้องรอหลังจากประกาศนี้ไปแล้ว จะมีการติดต่อจริงจังอย่างไร

“ไทยไม่ทน” จี้ฝ่ายค้านลาออก หยุดเป็นเครื่องมือระบอบประยุทธ์ ด้าน “สุทิน” รับไปคุยพรรคร่วมฝ่ายค้าน หวั่นปิ้งปลาประชดแมวเข้าทางรัฐบาล

คณะไทยไม่ทนสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย นำโดย นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชนพฤษภา 35 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น และนางพะเยาว์ อัคฮาด ยื่นหนังสือต่อนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เพื่อขอให้ฝ่ายค้านเสียสละลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) 

โดยนายวีระ กล่าวว่า ด้วยคณะไทยไม่ทนสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย เป็นกลุ่มประชาชนที่ไม่ต้องการให้ระบอบเผด็จการกบฏอยู่สืบทอดอำนาจอีกต่อไป ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม บริหารประเทศอย่างล้มเหลวทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม อีกทั้งยังมีพฤติกรรมอวดเก่ง ตระบัดสัตย์ จนพาประเทศไปสู่ความวิบัติล่มจม หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไปความพินาศจะทวียิ่งขึ้น จึงเรียกร้องต่อประธานวิปฝ่ายค้าน และพรรคร่วมฝ่ายค้าน 2 ข้อ คือ

1.) หากพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่สามารถถ่วงดุล หรือไม่สามารถตรวจสอบการบริหารงานของเผด็จการกบฏที่ทำงานไม่เป็น และไม่สามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ควรรีบลาออกเพื่อมาอยู่กับฝ่ายประชาชน และ

2.) หากไม่สามารถหยุดพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 5 แสนล้านบาท และหยุดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ในการแก้ปัญหาโควิด-19 ซึ่งมีความล้มเหลว อีกทั้งพรรคฝ่ายค้านยังถูกข่มขู่ว่าอาจจะมีการยุบสภาแสดงถึงการไม่ให้คุณค่าแก่พรรคฝ่ายค้าน จึงควรลาออกมาให้หมด

ขณะที่ นายจตุพร กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้พรรคฝ่ายค้านออกมาต่อสู้ร่วมกับประชาชน อย่าอยู่เป็นเครื่องมือให้ให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เพราะวันนี้มีการข่มขู่ส.ส.ในหลายรูปแบบ ทั้งการขู่ยุบสภา ขู่ลาออก เพื่อเปิดทางให้ตัวเองได้กลับมาใหม่ และจะมีการซื้อขายนักการเมืองเปิดตลาดซื้องูเห่า เพื่ออ้างความชอบธรรมให้ตัวเองได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบ นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่ปล่อยให้รัฐบาลเผด็จการได้ออกไปแบบดีๆ เพื่อที่จะกลับมาเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองอีกครั้ง และแม้ว่าการทำหน้าของประธานวิปฝ่ายค้าน จะทำหน้าที่ได้ดีแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งรัฐบาลเผด็จการได้ เพราะมีพวกมากลากไปไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ดังนั้น หากพรรคร่วมฝ่ายค้านยังอยู่ต่อไปก็มีแต่จะสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลเผด็จการ

“ผมไม่เห็นประโยชน์ในการดำรงอยู่ของฝ่ายค้านยิ่งอยู่ประชาชนจะยิ่งเสื่อมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย จึงอยากให้ฝ่ายค้านลาออกเพื่อร่วมต่อสู้กับประชาชนจะทรงคุณค่ากว่า และฝ่ายค้านจะได้กลับมาบริหารประเทศต่อไปในอนาคต แต่หากยังให้ระบอบประยุทธ์ดำรงอยู่ และมีอำนาจต่อไป ความเสื่อมจะยิ่งเกิด ระบอบประยุทธ์ไม่สามารถแก้ปัญหาของชาติได้ ซึ่งการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงทุกฝ่ายต้องเสียสละ” นายจตุพร กล่าว

ด้าน นายสุทิน กล่าวภายหลังรับหนังสือ ว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือกับฝ่ายค้านต่อไป แต่ส่วนตัวเข้าใจเจตนา และความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองของกลุ่มไทยไม่ทนฯ ซึ่งฝ่ายค้านมีจุดร่วมไม่ต่างกัน ที่อยากให้รัฐบาลบริหารบ้านเมืองคำนึงถึงความต้องการหรือความเดือดร้อนประชาชน ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องรักษาระบบรัฐสภาไว้ แต่ที่กลุ่มไทยไม่ทนฯ ดำเนินการ เพราะเห็นว่าระบบรัฐสภาที่มีฝ่ายค้านอยู่ด้วยกำลังจะเสื่อมไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ 

“ยอมรับว่าการทำงานของฝ่ายค้าน 2 ปีที่ผ่านมา ยังไม่สามารถหยุดยั้งความคิด วิถีทางที่รัฐบาลดำเนินมาที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ถ้ามองอีกนัยหนึ่งคือฝ่ายค้านยังไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลได้ ด้วยปัจจัยแรก คือ บางครั้งการตรวจสอบรัฐบาลไปจบที่กระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระ แต่หลายครั้งเราท้อแท้ อีกปัจจัยหนึ่งคือการใช้เสียงข้างมากไม่คำนึงถึงประชาชน หลายครั้งเราทำงานได้ดี แต่ไม่ได้จบบนหลักเหตุผล เจอเสียงข้างมากลากไป ดังนั้น มาตรการหนึ่งที่จะกดดันรัฐบาล คือการที่ให้ฝ่ายค้านลาออกจากระบบรัฐสภาก็เป็นวิธีที่มีเหตุผล ถ้าเราสามารถทำวิธีนี้แล้วรัฐบาลเปลี่ยนความคิด และหันมาคำนึงถึงประชาชนเรายินดีลงทุน ดังนั้น ส่วนตัวคิดว่าถ้าลาออกแล้วได้ผลเราก็พร้อม แต่ถ้าลาออกแล้วรัฐบาลไม่แยแส ไม่สนใจเหมือนในอดีตที่เคยเกิดขึ้น เราจะเสียโอกาสหรือไม่ เหมือนปิ้งปลาย่างให้แมวหรือไม่” นายสุทิน กล่าว

"รวมพลัง ส่งใจช่วยเหลือคนพิการ" ดารา, ผู้ใหญ่ใจบุญ รวบรวมอุปกรณ์ช่วยคนพิการ ส่งต่อ "ผู้นำคนพิการ"

วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทยและตำแหน่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้านแรงงาน พร้อมด้วยนายณัฐวุฒิ เหมือนเพชร (จิตอาสา) เข้าพบ "คุณเขตต์ ฐานทัพ" ดารา นักแสดง ชื่อดัง เพื่อนำงาน "ถักตะกร้า" ฝีมือ "กลุ่มพัฒนาอาชีพคนพิการแม่สำ" ต.แม่สำ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ไปจำหน่ายใน "CD OUTLET" แพลตฟอร์มรายแรกในประเทศไทย ที่เป็นช่องทางให้คนพิการนำสินค้ามาจำหน่ายได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อเป็นการ "คืนความดี สู่สังคมแบ่งปัน" และให้โอกาสกับคนพิการ คนชรา และผู้ด้อยโอกาส ให้มีช่องทางในการจำหน่ายสินค้าที่ทันยุคทันสมัยกับในสถานการณ์โลกปัจจุบัน

อีกทั้ง ยังได้ร่วมกันมอบอุปกรณ์ช่วยเหลือคนพิการ เช่น รถวีลแชร์ วอร์คเกอร์ 4 ขา แพมเพริต เพื่อนำไปส่งมอบต่อให้กับ "นายสายันต์ ดีเลิศ" นายกสมาคม ส่งเสริมอาชีพและช่วยเหลือรถเข็นเพื่อคนพิการ (ปทุมธานี) นำไปแยกชิ้นส่วน ถอดเก็บเป็นอะไหล่ใช้ทดแทน ซ่อมบำรุง รถวีลแชร์มือ 2 ที่ได้รับบริจาคมาจากประเทศญี่ปุ่น และเมื่อสามารถใช้งานได้ตามปกติทางสมาคมฯ ก็จะส่งมอบต่อให้กับคนพิการ คนชรา คนเจ็บไข้ได้ป่วย ที่มีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ อย่างสมบูรณ์ต่อไป

สุดท้ายนี้ "นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล" นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทยได้กล่าวขอบพระคุณ "พี่เขตต์ ฐานทัพ, คุณณัฐวุฒิ เหมือนเพชร, นายวีระ ลาเสือ (น้าหม่อม), คุณมานพ, คุณสุธาทิพย์ อยู่เมือง ที่ได้มอบโอกาสแบ่งปันช่วยเหลือสังคม "คนพิการ" ให้น่าอยู่สืบไป 
#คนละไม้_คนละมือ
#คนพิการยุคใหม่_หัวใจเดียวกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top