Saturday, 17 May 2025
ค้นหา พบ 48160 ที่เกี่ยวข้อง

นักเรียนไทยในจีน วอน ‘ลุงชวน’ ประสานรัฐช่วยกลับไปเรียนต่อ

กลุ่มร้องขอเปิดวีซ่านักเรียน (จีน) นำโดยนางอินถวา ห่อเล และนายกิตติเชษฐ์ เกื้อมา เข้ายื่นหนังสือ ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ประสานรัฐบาลไทย ช่วยเหลือนักเรียน-นักศึกษาไทย ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด สามารถกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน

โดยข้อความในหนังสือระบุว่า เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อนักเรียน-นักศึกษาไทย ที่ต้องกลับไปศึกษาต่อ ณ ประเทศจีนในระดับชั้น มัธยมศึกษา อาชีวะ (ปวช. ปวส.) การเรียนภาษาระยะสั้น จนถึงระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก โดยอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป แม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนในบางช่วงอายุแล้ว แต่ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในเรื่องการให้กลับไปศึกษาต่อได้

ขณะที่ก่อนหน้านี้ได้จัดทำหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่มิได้รับการตอบกลับจากหน่วยงานรัฐบาลไทย ทำให้มีนักเรียน-นักศึกษาไทย ที่ตกค้างไม่สามารถเดินทางกลับไปศึกษาต่อได้จำนวนนับแสนราย

จึงได้ขอความอนุเคราะห์จากประธานสภาผู้แทนราษฎร ช่วยประสานงานทวงถามไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อประสานงานกับทางรัฐบาลจีน และกระทรวงศึกษาธิการจีน เพื่อให้กำหนดมาตรการในการช่วยเหลือให้นักเรียน-นักศึกษาไทย ที่กำลังศึกษาต่อ ณ ประเทศจีนในปัจจุบัน สามารถเดินทางกลับไปศึกษาต่อได้ ซึ่งจะส่งผลเป็นคุณูปการต่อระบบการศึกษาไทย-จีนอย่างราบรื่น จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาและขอความอนุเคราะห์

ทั้งนี้ มีนักเรียนช่วงอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งกำลังเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาและปวช. ซึ่งทางประเทศจีนได้มีวัคซีนสำหรับเด็กที่อายุ 3-18 ปีออกมาแล้ว จึงอยากให้ประสานเพื่อนำมาฉีดให้นักเรียนไทยที่จะต้องเดินทางไปศึกษาต่อ ณ ประเทศจีนด้วย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ก้าวไกล’ ย้ำจุดยืนคว่ำร่างพ.ร.ก. 5 แสนล้าน ไม่ต่อลมหายใจประยุทธ์ ชี้ กู้ซ้ำซาก ใช้ไม่ตรงจุด ไม่ครอบคลุมงบสาธารณสุข และวัคซีนสำหรับประชาชน

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 9 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงจุดยืนของพรรคก้าวไกลในการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ว่าพรรคก้าวไกลเข้าใจถึงสถานการณ์ทางการเงินการคลังของประเทศที่มีช่องว่างให้รัฐบาลนี้ได้กู้เงินเพิ่มเติมได้อีก แต่พรรคก้าวไกลยังคงมีมติเดิมว่าไม่สามารถที่จะเห็นชอบอนุญาตให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มเติมอีก ด้วยเหตุผล 3 ประการ ได้แก่

1.) ล้มเหลว เราเห็นแล้วจากการกู้เงินผ่านพ.ร.ก. 1 ล้านล้านบาท ทั้งในส่วนงบสาธารณสุขที่เบิกจ่ายได้ล่าช้า งบส่วนการเยียวยาประชาชนที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรืองบฟื้นฟูประเทศ 4 แสนล้านบาทที่ไม่เกิดผล

นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า

2.) มักง่าย รัฐบาลต้องการให้สภาพิจารณาอนุญาตให้กู้เงิน 5 แสนล้าน แต่นำเอกสารมาเสนอแค่ 5 แผ่นกับโครงการและแผนงานคร่าวๆ เท่านั้นว่าจะใช้เงินอย่างไร หากรัฐบาลคิดว่าจะเป็นต้องใช้เงินเพื่อการเยียวยาประชาชนให้ถอนพ.ร.ก. ฉบับนี้ออกแล้วทำแผนงานที่ชัดเจนว่าจะใช้เงินอย่างไร ด้วยโครงการอะไร ผ่านหน่วยงานใด มีเป้าหมาย ตัวชี้วัด ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังคืออะไร และทำเป็นพ.ร.บ.กลับสู่สภาด้วยการชี้แจงที่เหมาะสม

นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า

3.) ความเสียหาย การผ่านพ.ร.ก. ฉบับนี้เป็นการต่ออายุ ลมหายใจให้กับรัฐบาลและเป็นการต่อเวลาให้รัฐบาลสร้างความบอบซ้ำให้ประเทศมากขึ้นอีก เราเห็นแล้วผ่านแผนการคลังระยะปานกลางว่างบประมาณในปี 2566 มีแผนการวางไว้ว่าจะตั้งงบประมาณอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาท คาดการณ์การจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 2.46 ล้านล้านบาท ซึ่งต้องกู้เพิ่ม 7.4 แสนล้านบาท หากการบริหารจัดการ 5 แสนล้านล้มเหลวอีก โอกาสที่จะจัดเก็บรายได้ตามแผนที่วางเอาไว้ก็จะพลาดเป้าอีกและจะต้องกู้เพิ่มอีก รัฐบาลต้องไปแก้ตราสังข์ที่มัดตนเองไว้จากเพดานเงินกู้ที่ตั้งไว้ที่ 60% ของจีดีพี เพื่อให้สามารถกู้ได้เกินเพดาน มิหนำซ้ำหากการจัดหาวัคซีนที่จะเป็นโดสที่ 3 และ

4.) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดสายพันธุ์ใหม่ทำได้ล้มเหลว เราอาจมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่อีก รัฐบาลก็ต้องกลับมาขอกู้เงินอีกครั้ง ทางออกของประเทศไทยตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยุดการบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สื่อมะกันแฉไม่แคร์ FC! เผยมหาเศรษฐีสหรัฐฯ ทั้ง เจฟฟ์ เบโซส์, อีลอน มัสก์, วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยเลี่ยงไม่ยอมจ่ายภาษีมาแล้วทั้งนั้น

สำนักข่าวอิสระของสหรัฐ ProPublica ได้ออกมาแฉข้อมูลลับที่ได้จากข้อมูลของกรมสรรพากรสหรัฐอเมริกา พบว่า อภิมหาเศรษฐีเบอร์ต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นเจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ก่อตั้ง Amazon, อีลอน มัสก์ CEO ของ Tesla หรือแม้แต่พ่อมดการเงินอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ จอร์จ โซรอส เสียภาษีน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับรายได้จำนวนมหาศาล หรือบางปีก็ไม่เสียภาษีให้คนอเมริกันเลยแม้แต่เหรียญเดียว

โดยยกตัวอย่างกรณี เจฟฟ์ เบโซส์ เคยแจงบัญชีขาดทุน และไม่จ่ายภาษีให้รัฐบาลกลางเลยในปี 2007 และ 2011 อีลอน มัสก์ แจ้งเลี่ยงการจ่ายภาษีลักษณะเดียวกันในปี 2008 เจ้าพ่อสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง ไมเคิล บลูมเบิร์ก ก็เคยแจ้งไม่จ่ายภาษีเมื่อไม่นานมานี้ ยิ่งคนระดับมัจจุราชการเงินโลกอย่าง จอร์จ โซรอส เคยยื่นแจ้งไม่เสียภาษีให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 3 ปีติดต่อกัน

ProPublica ยังเปิดเผยอีกว่า จากข้อมูลภายในของกรมสรรพากรสหรัฐฯย้อนหลัง 15 ปี ที่ไม่ได้มีแต่ประวัติรายได้ และการเสียภาษีเท่านั้น แต่ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจของการบริหารจัดการเงินในกระเป๋าของอภิมหาเศรษฐีระดับบนๆ ของประเทศ เช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ บิล เกตฟส์ หรือ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น เปิดบริษัทในต่างประเทศ หรือแม้แต่กำไร-ขาดทุนจากการเล่นพนัน

ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เห็นว่ามหาเศรษฐีเหล่านี้ สามารถหาช่องโหว่ในระบบจัดเก็บภาษีของรัฐบาลกลาง ที่ทำให้พวกเขาสามารถยักย้ายถ่ายเทความมั่งคั่ง ไปสู่สินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ผ่านการลงทุนในหุ้น หรือเปิดบริษัทในประเทศที่เอื้อประโยชน์ด้านภาษีที่ทำให้พวกเขารวยขึ้น และรวยขึ้น แต่จ่ายภาษีน้อยลง หรือแทบไม่จำเป็นต้องจ่ายเลยก็ทำได้

ซึ่งช่องโหว่ และข้อได้เปรียบทางกฎหมายภาษีนี้ เป็นสิ่งที่คนทำงานกินเงินเดือน หาเช้ากินค่ำทั่วไปทำไม่ได้ และกลายเป็นผู้ที่ต้องเสียภาษีให้รัฐบาลทุกเม็ด จากรายได้ที่มีอยู่อย่างจำกัดในแต่ละเดือน ซึ่งตรงกันข้ามกับกลุ่มชนชั้นนำ ที่รายได้ยิ่งมาก กลับยิ่งเสียภาษีน้อยลง ซึ่งไม่สมดุลกับรายได้อันมหาศาลของพวกเขา

หากจะเทียบให้เห็นภาพชัด ในสหรัฐฯ ครอบครัวชั้นกลางที่มีรายได้ประมาณ 70,000 เหรียญต่อปี จะต้องจ่ายภาษีประมาณ 14% หรือหากเป็นคู่สมรสที่มีรายได้รวมกันตั้งแต่ 628,300 เหรียญต่อปีขึ้นไป ต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 37% ซึ่งโครงสร้างการจัดเก็บภาษีก็ควรออกแบบมาเพื่อลดช่องว่างทางสังคม ผู้ที่มีรายได้มาก ก็ต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงขึ้น

แต่สำหรับอภิมหาเศรษฐีติดอันดับ Top 25 ของสหรัฐฯ แม้ในแต่ละปีจะจ่ายภาษีในจำนวนมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปก็จริง แต่เป็นสัดส่วนที่ไม่สมดุลกับรายได้อย่างฐานภาษีทั่วไป เช่น อีลอน มัสก์ จ่ายภาษีในอัตรา 3.27% เจฟฟ์ เบโซส์ จ่ายที่ 0.98% ส่วนวอร์เรน บัฟเฟตต์ มาเหนือสุด จ่ายเพียง 0.1% เท่านั้น

เมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มประเทศ G7 ได้บรรลุข้อตกลงในการตั้งเกณฑ์การจัดเก็บอัตราภาษีรายได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทที่มีสาขา และมีรายได้จากต่างประเทศ ต้องจัดเก็บขั้นต่ำที่ 15% เท่ากันหมดทั่วโลก เพื่ออุดช่องโหว่ในจุดนี้ ที่อภิมหาเศรษฐีนิยมไปเปิดบริษัทโฮลดิ้ง นำเงินไปลงทุนในประเทศดินแดนภาษีต่ำ หรือที่เรียกว่า Tax Haven เพื่อหลบเลี่ยงภาษี

ซึ่งรัฐบาลของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก G7 ก็หวังว่าข้อตกลงภาษีใหม่นี้จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีจากกลุ่มอภิมหาเศรษฐีร่ำรวยได้มากขึ้น ในอัตราที่พวกเขาควรที่จะต้องจ่ายอยู่แล้ว เพื่อความเท่าเทียมกันกับคนธรรมดาทั่วไป

แต่จากข้อมูลภาษีที่เปิดเผยผ่านสำนักข่าว ProPublica ก็เกิดคำถามขึ้นมากมายถึงต้นตอแหล่งข่าว เรื่องฐานข้อมูลภาษีที่ย้อนหลังถึง15 ปี ที่ถือว่าเป็นเอกสารลับของทางราชการ ซึ่งทางกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้ระบุไว้ว่า การเปิดเผยข้อมูลภาษีส่วนบุคคลถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

 

อ้างอิง : https://www.propublica.org/article/the-secret-irs-files-trove-of-never-before-seen-records-reveal-how-the-wealthiest-avoid-income-tax

https://www.straitstimes.com/business/economy/elon-musk-jeff-bezos-other-us-billionaires-paid-little-or-no-income-tax-report


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เอกชนรับแรงงานขาดแคลนหนัก ชงรัฐช่วยแก้ด่วน

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ กำลังขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก โดยมีความต้องการแรงงานอย่างน้อย 400,000 ราย โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมทั้งอุตสาหกรรมประมง ซึ่งภาคเอกชนต้องการให้รัฐเปิดนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในไทยอย่างถูกกฎหมาย ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู ระหว่างรัฐบาลไทยกับประเทศต้นทางเพิ่มขึ้น และต้องผ่านการคัดกรองตรวจสุขภาพ และตรวจโควิด-19 ตามหลักสาธารณสุขด้วย

นายสุพันธุ์ กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ในวันที่ 9 มิ.ย. นี้ จะหารือถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยภายหลังจากที่รัฐบาลเร่งมาตรการนำเข้าวัคซีนและฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่จะส่งผลต่อการเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวม 

ส่วนผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพ.ค. 64 พบว่า อยู่ที่ระดับ 82.3 ปรับตัวลดลงจากระดับ 84.3 ในเดือนเม.ย. 64 และต่ำที่สุดในรอบ 11 เดือน นับตั้งแต่ก.ค. 63 เป็นค่าดัชนีปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 ยังไม่คลี่คลายและยังเกิดคลัสเตอร์ใหม่ๆ โดยเฉพาะในโรงงาน

“บิ๊กป้อม” สั่ง หน่วยมั่นคง ตอบโต้ Fake News ช่วงโควิด-19  ป้องกันปชช. สับสนตามนโยบายนายกฯ เอาผิดตามกม.ทันที ไม่ละเว้นพร้อมสนับสนุนภารกิจ ศบค.

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งไปยังฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบ ในการตอบโต้ข่าวปลอม หรือเฟคนิวส์ สืบเนื่องจากในสถานการณ์ โควิด-19 ของประเทศในปัจจุบัน ยังมีความวิกฤติ และประชาชนจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการของศบค. โดยเคร่งครัด เพื่อให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชน มีความต่อเนื่อง ปลอดภัย และเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีข่าวปลอม (Fake News) ในโซเชียล และสื่อต่างๆ  ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ขาดความเชื่อมั่น และส่งผลกระทบต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามมาตรการ ของศบค. และเป็นอุปสรรคต่อแผนงานในอนาคต ของรัฐบาล ดังนั้นวันนี้ พล.อ.ประวิตร จึงได้ กำชับไปยังฝ่ายความมั่นคง, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้บูรณาการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Fake News) จะต้องดำเนินคดีตามกม. อย่างเด็ดขาด รวดเร็ว และให้กรมประชาสัมพันธ์ เร่งสร้างความเข้าใจ ผ่านทุกช่องทางให้ประชาชนได้รับทราบข่าวสารที่ถูกต้อง อย่างรวดเร็วต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top