ไขข้อข้องใจ ‘ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ มุมมองอีกด้านที่คนไทยทุกคนต้องรู้

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ตำแหน่ง อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ….

ที่ผ่านมา สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกโจมตี ใส่ร้าย บิดเบือนเป็นอย่างมาก และทำเป็นกระบวนการ ไม่มีอะไรที่จะสยบความบิดเบือน การใส่ร้ายป้ายสีได้ดีเท่าการเอาความจริงเข้ามานำเสนอ เพื่อจะได้ทุบกะลาให้แตกออกมา และเมื่อความจริงปรากฏ ก็จะทำให้คนตาสว่างและเข้าใจในข้อเท็จจริงได้

สถาบันพระมหากษัตริย์ : ความจริงที่ถูกบิดเบือน
ผศ.ดร.อานนท์ ได้กล่าวว่า ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมชอบใส่ร้ายเรื่องเงินทอง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องของความบาดใจ เพราะบางคนที่ไม่มีก็จะอิจฉาคนที่มีมากกว่า ก็เลยรู้สึกว่า เรื่องที่โดนบิดเบือนเยอะที่สุดก็คือ เรื่อง ‘ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ กับ ‘ภาษีกู’ ที่เป็นประเด็นหลัก

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ต้นกำเนิดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มาจาก ‘เงินถุงแดง’ ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงค้าขาย และเอาเงินเก็บไว้ที่ข้างพระแท่นบรรทม จึงเรียกว่า ‘พระคลังข้างที่’ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านได้มีการลงทุนปล่อยกู้ คนก็เอาที่ดินมาจำนอง ที่ดินงาม ๆ ในกรุงเทพฯ เยอะแยะมากมาย ถูกจำนองและถูกยึด เพราะว่าไม่ใช้หนี้ และได้มีการลงทุนในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ทรงลงทุนในปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งหุ้นปูนซิเมนต์ไทย พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านทรงถือหุ้นอยู่ประมาณ 25% และหุ้นปูนซีเมนต์ไทย เป็นหุ้นที่มีมูลค่าเกินกว่า 100 เท่า นับตั้งแต่วันที่เข้าตลาด เพราะฉะนั้น ลองคิดดูว่า มันงอกเงยขึ้นมากี่เท่า ที่ดินแปลงงาม ๆ ในกรุงเทพฯ บวกกับหุ้นปูนซีเมนต์ไทย หรือหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยก็ตาม จึงทำให้ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์งอกเงยจากการลงทุนขึ้นมามากมาย

ทรัพย์สินส่วนพระองค์ 
ทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นของราชวงศ์จักรี หมายความว่าจะสืบทอดต่อไปกับพระเจ้าแผ่นดินในอนาคต คนละส่วนกับทรัพย์สินของแผ่นดิน เพราะทรัพย์สินของแผ่นดิน อยู่ที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ หรือกระทรวงการคลัง แยกขาดจากกัน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน จากจตุสดมภ์ 4 เวียง วัง คลัง นา และเปลี่ยนเป็น 12 กระทรวง

กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก
เมื่อถามว่า พระเจ้าแผ่นดินจะร่ำรวยไม่ได้หรือ ในเมื่อบรรพบุรุษค้าขายมาเก่ง เก็บเงินเก่ง ลงทุนเก่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าการที่พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์ จริง ๆ ก็เป็นของที่เป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง คือ สามารถพระราชทานช่วยเหลือประชาชนได้ในยามที่ประชาชนเดือดร้อนลำบาก ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ทรงซื้อเครื่องช่วยหายใจไปเป็นหลายร้อยเครื่อง ถ้าไม่มีเครื่องช่วยหายใจที่ซื้อพระราชทานให้ โควิดจะมีคนตายมากกว่านี้

พระตำหนักที่เยอรมัน
นั่นก็เป็นเงินส่วนพระองค์ ที่ทรงซื้อไว้ตั้งแต่ยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ซื้อไว้ตอนที่ถูกมาก ในเมืองทุทซิง ซึ่งอยู่ในทำเลดีมาก และติดกับทะเลสาบ และส่งเสียภาษีที่ดินอย่างถูกต้องมาโดยตลอด แต่ระบบเยอรมันนั่น เป็นระบบที่แปลก คือ ปีภาษีจะครบทุก 4 ปี คราวนี้พอ 3 ปี ยังไม่ได้จ่าย ก็เลยมีคนบอกว่า ท่านไม่จ่ายภาษี จริง ๆ คือมันยังไม่ครบกำหนดที่จะต้องจ่าย นี่คือพวกหาเรื่อง ก็พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์ตกทอด เนื่องจากราชสกุลมหิดล มีทรัพย์สินส่วนพระองค์ค่อนข้างเยอะ เพราะสมเด็จพระศรีสวรินธราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นพระมเหสีที่ประหยัด ขยัน อดออม และฉลาดในการค้าขาย ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้ทอผ้าขายในพระราชวังสวนดุสิต และโปรดทรงทำนา และโปรดทำโรงสีข้าว ยกตัวอย่างเช่น หมู่บ้านสัมมากรทั้งหมู่บ้าน เป็นที่ดินของสมเด็จพระพันวัสสาฯ เป็นที่นาเก่าของสมเด็จพระพันวัสสาฯ และสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ทรงเห็นว่า อยากให้ประชาชน คนที่มีสัมมาชีพ ได้มีสัมมาการอยู่อาศัย จึงได้พระราชทานมาจัดสรรเป็น ‘หมู่บ้านสัมมากร’ เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งนั้น 

เปลี่ยนแปลงเพื่อประชาชน 
พระองค์ท่านทรงเปลี่ยนหลายอย่าง อย่างที่ 1 คือ พระราชทานทรัพย์สินที่ดินจำนวนมากให้กับหน่วยราชการ เช่นตรงซอยมหาดเล็กหลวง 1-3 ตรงราชดำริ มูลค่านับแสนล้าน ทรงพระราชทานให้วชิราวุธวิทยาลัย ค่ายนเรศวรของตำรวจตระเวนชายแดน ก็คือ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน กระทั่งสำนักข่าวกรองแห่งชาติ หรือว่ากรมตำรวจที่วังปารุสก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ดินพระราชทานจำนวนมากมายมหาศาล ที่เดิมเป็นที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และหน่วยราชการไปขอใช้ ท่านก็ทรงพระราชทานโฉนดให้หน่วยราชการนั้น อย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และหน่วยราชการอื่น ๆ กระทรวงศึกษาธิการ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ทั้งกองก็ตั้งอยู่บริเวณพระราชวังสวนดุสิต เพราะพระราชทานที่ดินให้ และอย่างทรัพย์สินแปลงใหญ่ ที่สุดในกรุงเทพฯ ตอนนี้ ก็กลายเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เหมือนกัน นั่นก็คือ สนามม้านางเลิ้ง

แก้กฎหมายให้พระมหากษัตริย์ต้องเสียภาษี
ทรงแก้กฎหมายให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ต้องเสียภาษีเหมือนกับทรัพย์สินประชาชน เพราะว่า พ.ร.บ. ทรัพย์สิน 2491 ยกเว้นภาษี พระองค์ท่านทรงไม่เห็นด้วย แต่นั่นก็เป็น พ.ร.บ. ที่ทำไว้ตั้งแต่สมัย นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งแต่ละปีก็ทรงเสียภาษีเป็นจำนวนมาก

ในหลวงและพระราชินี ทรงไม่รับเงินปี 
ทรงไม่รับเงินปี ซึ่ง ‘เงินปี’ ถือว่าเป็นเรื่องซีเรียส เป็นเงินที่ทุกประเทศทั่วโลก จัดถวายพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ให้ทรงใช้เป็นการส่วนพระองค์ จะทรงใช้ทำอะไรก็ได้ พระเจ้าอยู่หัวเมื่อครองราชย์ ท่านก็ทรงไม่รับ และพระราชทานคืนให้รัฐบาล ซึ่งรัฐบาลจะเอาไปใช้ทำอะไร ตนก็ไม่อาจทราบ

หน่วยงานราชการในพระองค์
รัชกาลนี้มีการเปลี่ยนแปลง คือ มีการรวมหน่วยงานที่อารักขาทั้งหมด เข้ามาเป็นหน่วยงานเดียวกัน เช่น เดิมทีอาจจะอยู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่กองทัพบก อยู่กองทัพเรือ อยู่กองทัพอากาศ และมีนาย 2 คน คือ นายที่ต้นสังกัด กับการมาถวายอารักขาเป็นราชองครักษ์ ปรากฏว่ามีปัญหาขาด Unity of Command เอกภาพในการบังคับบัญชา พระเจ้าอยู่หัวท่านจึงโปรดให้รวมหน่วยงานทั้งหมดที่เคยกระจัดกระจาย ขึ้นมาเป็นหน่วยงานเดียวกัน ชื่อว่า ‘หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘นผ.ปพ.รอ.’ ซึ่งขึ้นตรงกับพระเจ้าอยู่หัว และมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด รองผู้บัญชาการ คือ สมเด็จพระนางเจ้า พระราชินี และเสนาธิการ คือ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา

คราวนี้ นผ.ปพ.รอ. ก็โอนเงินเดือนจากสังกัดต่าง ๆ ที่เดิมทีประจำอยู่กรมตำรวจฯ อยู่กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ก็เป็นเงินเดือนของราชการเดิม ในหน่วยราชการในพระองค์ มีข้าราชการประมาณ 14,000 คน ในหน่วยงาน 3 หน่วยงาน คือ ‘สำนักพระราชวัง’ ถามว่า ประเทศไม่มีสำนักพระราชวังได้หรือไม่ คำตอบคือ ‘ไม่ได้’ ทุกประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ ก็มีสำนักพระราชวัง ทำหน้าที่คอยประสานระหว่างรัฐบาลกับพระเจ้าแผ่นดิน และ นผ.ปพ.รอ. ทำหน้าที่เป็นรอยัลการ์ด (Royal guard) ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกมีเช่นนี้หมด

ยกตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ใช้เงินประมาณ 30,000 ล้านเหรียญต่อปี ในการอารักขาประธานาธิบดีคนเดียว ซึ่งประเทศไทยใช้อยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมาก และ 8,000 ล้านนี้ รวมสำนักพระราชวังแล้ว สำนักงานองคมนตรี หน่วยราชการในพระองค์ 3 หน่วย ได้งบรวมกัน ประมาณ 8,000 ล้าน และเป็นค่าจ้างเงินเดือน เดือนละประมาณ 7,900 ล้านบาทด้วยซ้ำ ซึ่งน้อยมาก แต่งานเยอะ เงินที่จะจ้างไม่พอ อัตรากำลังไม่พอ พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงใช้เงินส่วนพระองค์ ที่เรียกว่า ‘ททน.’ ที่ย่อมาจาก ‘ท้ายที่นั่ง’ ทรงจ้างข้าราชการรับใช้ส่วนพระองค์เอง ด้วยเงินส่วนพระองค์ ในการดูแล เช่น หากสำนักพระราชวังต้องการที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ ก็ต้องขอพระราชทานเงินส่วนพระองค์ เพราะทุกอย่างเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาษีประชาชนเลย

โครงการพระราชดำริกับงบประมาณ 30,000 ล้านบาท
โครงการพระราชดำริ เป็นโครงการที่พระเจ้าแผ่นดินทรงริเริ่ม เพราะว่าถ้ารอราชการมันช้า เมื่อทำเสร็จแล้ว จึงกลับไปโอนเป็นของราชการเหมือนเดิม ยกตัวอย่างเช่น ขุนด่านปราการชล ป้องกันน้ำท่วมจังหวัดนครนายก สร้างโดยพระราชดำริ คนได้รับงบสร้าง คือ กรมชลประทาน ค่าดูแลเขื่อน 1 ปี สมมุติ 50 ล้านบาท กรมชลประทานเป็นคนจัด พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้จัด แต่คนที่เอามาใส่ร้าย ก็เอางบเหล่านี้มารวมกัน ทั้ง ๆ ที่ถามว่า เขื่อนเป็นประโยชน์กับใคร เป็นประโยชน์กับพระเจ้าอยู่หัวหรือ คำตอบคือ เขื่อนนั้นเป็นประโยชน์กับประชาชน เพียงแค่เป็นพระราชดำริ ก็เอาเงินมารวม ที่บอกว่า โครงการพระราชดำริ 30,000 กว่าล้านบาทนั้น จึงไม่ใช่ เพราะมีพระราชดำริว่า โครงการพระราชดำริ เมื่อทำเสร็จแล้ว ให้หน่วยราชการเป็นคนดูแล เป็นงานประจำ ท่านเป็นคนริเริ่ม และหน่วยงานราชการเป็นคนรับสนองพระบรมราชโองการ แต่หน่วยงานราชการทุกที่จะทำได้ดีหมดหรือไม่ ตนก็ไม่เชื่อ

งบประมาณแผ่นดินกับสถาบันพระมหากษัตริย์
เงินที่ประชาชนถวาย ทรงทำบัญชีแยกไว้ต่างหากเป็นกอง ๆ แยกเงินออก ไม่ได้นำไปใช้ส่วนพระองค์ เงินที่เป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เองก็มีเป็นจำนวนมาก เช่น โครงการราชทัณฑ์ปันสุข เป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งนั้น คราวนี้ เงินที่พระราชทานให้กับโรงพยาบาลศิริราช เป็นเงินที่ประชาชนร่วมเรียนทูลเกล้าถวาย ตอนงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้หลายร้อยล้าน ทรงพระราชทานให้กับโรงพยาบาลศิริราช และมีเงินที่ประชาชนทูลเกล้าถวาย โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยแล้ว แต่ว่าประชาชนถวายมา เพื่อวัตถุประสงค์อะไร ก็ทรงแยกเงินเป็นกอง ๆ และทรงใช้ตามวัตถุประสงค์ ตามที่ประชาชนถวาย

ผศ.ดร.อานนท์ กล่าวต่อว่า การที่พระเจ้าแผ่นดินร่ำรวย ถือเป็นเรื่องดี เพราะ ทำให้ทรงมีพระราชทรัพย์ที่จะช่วยเหลือประชาชน ในกรณีที่ประชาชนเดือดร้อน ถ้าพระเจ้าแผ่นดินเป็นยาจกยากจน จะช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าจะเข้าใจได้ ลองไปดูสิว่า มหาเศรษฐีเมืองไทยคนไหน ที่มีทรัพย์สินประมาณเท่ากับพระองค์ท่าน แล้วทำบุญช่วยเหลือประชาชนได้เท่ากับพระองค์ท่าน ตนกล้าท้าได้เลยว่าไม่มี