Sunday, 19 May 2024
ภาษีกู

ไขข้อข้องใจ ‘ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ มุมมองอีกด้านที่คนไทยทุกคนต้องรู้

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ตำแหน่ง อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ….

ที่ผ่านมา สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกโจมตี ใส่ร้าย บิดเบือนเป็นอย่างมาก และทำเป็นกระบวนการ ไม่มีอะไรที่จะสยบความบิดเบือน การใส่ร้ายป้ายสีได้ดีเท่าการเอาความจริงเข้ามานำเสนอ เพื่อจะได้ทุบกะลาให้แตกออกมา และเมื่อความจริงปรากฏ ก็จะทำให้คนตาสว่างและเข้าใจในข้อเท็จจริงได้

สถาบันพระมหากษัตริย์ : ความจริงที่ถูกบิดเบือน
ผศ.ดร.อานนท์ ได้กล่าวว่า ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมชอบใส่ร้ายเรื่องเงินทอง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องของความบาดใจ เพราะบางคนที่ไม่มีก็จะอิจฉาคนที่มีมากกว่า ก็เลยรู้สึกว่า เรื่องที่โดนบิดเบือนเยอะที่สุดก็คือ เรื่อง ‘ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ กับ ‘ภาษีกู’ ที่เป็นประเด็นหลัก

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ต้นกำเนิดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มาจาก ‘เงินถุงแดง’ ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงค้าขาย และเอาเงินเก็บไว้ที่ข้างพระแท่นบรรทม จึงเรียกว่า ‘พระคลังข้างที่’ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านได้มีการลงทุนปล่อยกู้ คนก็เอาที่ดินมาจำนอง ที่ดินงาม ๆ ในกรุงเทพฯ เยอะแยะมากมาย ถูกจำนองและถูกยึด เพราะว่าไม่ใช้หนี้ และได้มีการลงทุนในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ทรงลงทุนในปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งหุ้นปูนซิเมนต์ไทย พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านทรงถือหุ้นอยู่ประมาณ 25% และหุ้นปูนซีเมนต์ไทย เป็นหุ้นที่มีมูลค่าเกินกว่า 100 เท่า นับตั้งแต่วันที่เข้าตลาด เพราะฉะนั้น ลองคิดดูว่า มันงอกเงยขึ้นมากี่เท่า ที่ดินแปลงงาม ๆ ในกรุงเทพฯ บวกกับหุ้นปูนซีเมนต์ไทย หรือหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยก็ตาม จึงทำให้ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์งอกเงยจากการลงทุนขึ้นมามากมาย

ทรัพย์สินส่วนพระองค์ 
ทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นของราชวงศ์จักรี หมายความว่าจะสืบทอดต่อไปกับพระเจ้าแผ่นดินในอนาคต คนละส่วนกับทรัพย์สินของแผ่นดิน เพราะทรัพย์สินของแผ่นดิน อยู่ที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ หรือกระทรวงการคลัง แยกขาดจากกัน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน จากจตุสดมภ์ 4 เวียง วัง คลัง นา และเปลี่ยนเป็น 12 กระทรวง

กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก
เมื่อถามว่า พระเจ้าแผ่นดินจะร่ำรวยไม่ได้หรือ ในเมื่อบรรพบุรุษค้าขายมาเก่ง เก็บเงินเก่ง ลงทุนเก่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าการที่พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์ จริง ๆ ก็เป็นของที่เป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง คือ สามารถพระราชทานช่วยเหลือประชาชนได้ในยามที่ประชาชนเดือดร้อนลำบาก ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ทรงซื้อเครื่องช่วยหายใจไปเป็นหลายร้อยเครื่อง ถ้าไม่มีเครื่องช่วยหายใจที่ซื้อพระราชทานให้ โควิดจะมีคนตายมากกว่านี้

พระตำหนักที่เยอรมัน
นั่นก็เป็นเงินส่วนพระองค์ ที่ทรงซื้อไว้ตั้งแต่ยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ซื้อไว้ตอนที่ถูกมาก ในเมืองทุทซิง ซึ่งอยู่ในทำเลดีมาก และติดกับทะเลสาบ และส่งเสียภาษีที่ดินอย่างถูกต้องมาโดยตลอด แต่ระบบเยอรมันนั่น เป็นระบบที่แปลก คือ ปีภาษีจะครบทุก 4 ปี คราวนี้พอ 3 ปี ยังไม่ได้จ่าย ก็เลยมีคนบอกว่า ท่านไม่จ่ายภาษี จริง ๆ คือมันยังไม่ครบกำหนดที่จะต้องจ่าย นี่คือพวกหาเรื่อง ก็พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์ตกทอด เนื่องจากราชสกุลมหิดล มีทรัพย์สินส่วนพระองค์ค่อนข้างเยอะ เพราะสมเด็จพระศรีสวรินธราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นพระมเหสีที่ประหยัด ขยัน อดออม และฉลาดในการค้าขาย ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้ทอผ้าขายในพระราชวังสวนดุสิต และโปรดทรงทำนา และโปรดทำโรงสีข้าว ยกตัวอย่างเช่น หมู่บ้านสัมมากรทั้งหมู่บ้าน เป็นที่ดินของสมเด็จพระพันวัสสาฯ เป็นที่นาเก่าของสมเด็จพระพันวัสสาฯ และสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ทรงเห็นว่า อยากให้ประชาชน คนที่มีสัมมาชีพ ได้มีสัมมาการอยู่อาศัย จึงได้พระราชทานมาจัดสรรเป็น ‘หมู่บ้านสัมมากร’ เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งนั้น 

เปลี่ยนแปลงเพื่อประชาชน 
พระองค์ท่านทรงเปลี่ยนหลายอย่าง อย่างที่ 1 คือ พระราชทานทรัพย์สินที่ดินจำนวนมากให้กับหน่วยราชการ เช่นตรงซอยมหาดเล็กหลวง 1-3 ตรงราชดำริ มูลค่านับแสนล้าน ทรงพระราชทานให้วชิราวุธวิทยาลัย ค่ายนเรศวรของตำรวจตระเวนชายแดน ก็คือ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน กระทั่งสำนักข่าวกรองแห่งชาติ หรือว่ากรมตำรวจที่วังปารุสก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ดินพระราชทานจำนวนมากมายมหาศาล ที่เดิมเป็นที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และหน่วยราชการไปขอใช้ ท่านก็ทรงพระราชทานโฉนดให้หน่วยราชการนั้น อย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และหน่วยราชการอื่น ๆ กระทรวงศึกษาธิการ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ทั้งกองก็ตั้งอยู่บริเวณพระราชวังสวนดุสิต เพราะพระราชทานที่ดินให้ และอย่างทรัพย์สินแปลงใหญ่ ที่สุดในกรุงเทพฯ ตอนนี้ ก็กลายเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เหมือนกัน นั่นก็คือ สนามม้านางเลิ้ง

แก้กฎหมายให้พระมหากษัตริย์ต้องเสียภาษี
ทรงแก้กฎหมายให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ต้องเสียภาษีเหมือนกับทรัพย์สินประชาชน เพราะว่า พ.ร.บ. ทรัพย์สิน 2491 ยกเว้นภาษี พระองค์ท่านทรงไม่เห็นด้วย แต่นั่นก็เป็น พ.ร.บ. ที่ทำไว้ตั้งแต่สมัย นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งแต่ละปีก็ทรงเสียภาษีเป็นจำนวนมาก

'อดีตคนไทยในสวิตเซอร์แลนด์' แชร์ความจริงเรื่องภาษี ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ แม้เสียภาษีปีละ 1.2 ล้านบาท

ไม่นานมานี้ นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้แชร์คลิปวิดีโอ TikTok บัญชี @user4986690179211 ซึ่งเป็นอดีตคนไทยในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องของ ‘ภาษี’ ขณะที่ตนได้อาศัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงรัฐสวัสดิการต่างๆ ที่ล้วนได้มาจากการเสียภาษีในมูลค่าที่สูง และไม่อยากให้คนไทยต้องมาด้อยค่าประเทศของตัวเองเวลาพูดถึงสวัสดิการต่างๆ โดยระบุว่า...

“เคยได้ยินวลี ‘ภาษีกู’ ไหม? วันนี้จะมาเล่าให้ฟัง สำหรับคําว่า ‘ภาษีกู’ ที่สมควรจะพูดจริงๆ สำหรับดิฉันที่ไปอยู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มา 5 ปีกว่า อยากจะบอกพวกคุณว่า คําว่า ‘ภาษีกู’ เนี่ย ที่เมืองไทยเสียน้อยมาก

“พวกคุณรู้ไหม? ว่าที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดิฉันกับสามีต้องเสียภาษี หากตีเป็นเงินไทย รวมแล้วต้องเสียภาษีปีหนึ่งล้านสอง

“ยิ่งไปกว่านั้น หากดิฉันจะไปจับปลาหลังบ้าน (สวิตเซอร์แลนด์) เพราะหลังบ้านติดน้ำ แต่ดันตกไม่ได้ เพราะมีตํารวจน้ำคอยขับเรือตรวจ สามีดิฉันยังบอกเลยว่า “อย่าทํานะ เขาปรับเธอนะ” แต่ที่เมืองไทยแค่คิดจะทอดแห หว่านแหตรงไหนก็ทําได้เลย ถ้าไม่ใช่พื้นที่ส่วนบุคคล เนี่ย!! สิ่งนี้คือ ภาษีเรา!!

ที่คุณเห็นว่าประเทศเขาเจริญดูสะอาดหูสะอาดตา มันมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งนั้นแหละ แต่คุณจะจ่ายไหวกันไหม? อย่างเรื่องขยะ ตอนที่ดิฉันอยู่รัฐซูริก ต้องซื้อถุงขยะเป็นม้วนๆ คุณจะมาใส่ถุงก๊อปแก๊ปไปทิ้งไม่ได้นะ เขาจับคุณได้เลยนะ คุณต้องซื้อถุงที่เขาใช้สําหรับทิ้งขยะ ซึ่งตรงส่วนนี้เราต้องจ่ายเงินนะ แล้วม้วนหนึ่งมันมีราคาที่แพงมาก คุณไหวไหม?

“อ้อ!! แล้วก่อนที่ดิฉันจะย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศไทยในช่วง 2 ปีหลังมานี้ ก็มีบิลมาที่บ้าน เก็บค่าฟังวิทยุของดิฉันกับสามี หัวละ 300 ฟรังก์สวิสฯ หากตีเป็นเงินไทยก็ประมาณหมื่นกว่าบาท หรือคิดเป็นรายวัน จะตกวันละ 30 กว่าบาท ซึ่งดิฉันได้โทรไปถามว่า ดิฉันไม่ได้ฟังวิทยุนะ แต่เขาดันตอบว่าวิทยุมันก็มีอยู่ในรถของคุณ อ้าว!! ดิฉันจึงถามเขากลับไปว่า ถ้าดิฉันฟังไม่รู้เรื่อง ทําไมดิฉันต้องจ่าย? เขาจึงถามกลับมาว่า “เธอใช้อินเตอร์เน็ตไหม?” ดิฉันจึงตอบกลับว่า “ใช้ ซึ่งดิฉันก็จ่ายรายเดือนแยกต่างหากอยู่แล้ว” เขาเลยบอกว่า “อ๋อ… เพราะเธอได้รับข่าวสารจากตรงนี้ด้วย เลยต้องจ่าย” เมื่อถามว่าแล้วถ้าดิฉันไม่จ่ายล่ะ เขาตอบกลับมาว่า “ก็จะมีบิลเรียกเก็บเงินมาอีก และมันก็จะเพิ่มจํานวนเงินขึ้นไปอีกเรื่อยๆ และหากยังไม่จ่ายอีกก็จะเจอหมายเรียก”

“นี่คือ ภาษีที่ดิฉันต้องจ่าย ทุกอย่างที่คุณเห็นว่าสวยงาม มันมีราคาที่ต้องจ่ายหมดทุกอย่าง ดังนั้น ดิฉันไม่อยากให้คนไทยต้องด้อยค่าประเทศตัวเองให้มันมากนัก ดิฉันบอกเลยว่าที่ดิฉันไปอยู่มันก็เจริญจริงๆ แต่เขาก็เก็บเงินกับทุกอย่างเลยเหมือนกัน”

หลังจากที่คนไทยคนดังกล่าวได้เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับภาษีเสร็จ ก็ได้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นพร้อมกับตั้งคำถามว่า “ต้องเสียภาษีเยอะๆ ถึงจะมีสิทธิ์พูด ‘ภาษีกู’ ได้งั้นเหรอ? จะเสียบาทสองบาท มันก็ภาษีเราทั้งนั้นแหละ” เจ้าของคลิปคนไทยจึงได้ตอบกลับคอมเมนต์นั้นว่า…

“คุณพูดเหมือนกับว่า คุณไม่เคยได้อะไรจากประเทศนี้เลย (ไทย) คุณคิดว่าที่โรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการจ้างหมอ จ้างพยาบาล หรือแม้แต่ค่ายา คุณคิดว่าเขามาทํางานให้ฟรีเหรอ? อย่างถนนหนทางที่เขามาทําเป็นถนนลาดยาง หรือตอนที่คุณซื้อรถ คุณก็เสียภาษีนะ คุณเสียภาษีรายปี ใช่ นั่นคือภาษีของคุณ แต่คุณก็ไม่ได้ใช้ทางเดินควายขับรถนี่… 

“รัฐบาลก็เหมือนนักธุรกิจที่ต้องหาเงิน อันนี้ที่ดิฉันเปรียบเทียบให้ฟัง ดิฉันพูดถึงเมืองนอก ว่าระบบกลไกของรัฐบาลเขาเป็นอย่างไร ทำไมเขาถึงมีเงินมาให้ประชาชนในประเทศเขาใช้ตอนเกษียณ เพราะเขาหักคุณไปเท่าไหร่ อันนั้นก็ต้องจ่าย อันนี้ก็ต้องจ่าย ซึ่งตรงนี้ดิฉันเปรียบเทียบให้ฟัง แต่ถ้าฟังแล้วมันไม่เข้าหู ดิฉันก็ต้องขอโทษด้วย”

ต่อมาได้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นอีกเป็นจำนวนมาก โดยระบุว่า “ผิดประเด็นแล้ว ภาษีที่เขาว่า คือภาษีที่เสียไปกับ…ทั้งทางตรงและทางอ้อม” เจ้าของคลิปจึงได้ตอบกลับคอมเมนต์นั้นว่า…

“คุณไปดูกราฟอะไรมา คุณเสียภาษีเท่าไหร่? ขอถามหน่อย แล้วสิ่งที่คุณได้ไป มันไม่คุ้มเหรอ? แล้วคุณเสียภาษีปีหนึ่งเท่าไหร่? อย่างถ้าคุณเป็นเกษตรกร ภาษีมันก็ไม่ได้เยอะมากมายขนาดนั้น หรืออย่างชาวนาถ้าไปลงทะเบียนข้าวนาปี รัฐฯ เขาก็ยังช่วย แล้วภาษีที่คุณทํางาน คุณเสียเท่าไหร่? เวลาคุณหรือครอบครัวคุณจะไปรักษาตัว คุณเสียครั้งละเท่าไหร่ คุณจ่ายไปเท่าไหร่? คุณถือแค่บัตรประชาชนที่มีเลข 13 หลัก ที่แสดงตัวตนว่าคุณเป็นคนไทย แล้วคุณได้รับการรักษา คุณยังคิดว่ามันไม่ดีพออีกเหรอ? 

“ดิฉันไม่ได้เป็นคนคลั่ง แต่อยากให้ลองพิจารณาตัวเองว่า ทุกวันนี้คุณเสียภาษีไปเท่าไหร่ แล้วได้กลับคืนมาเท่าไหร่” เจ้าของคลิปกล่าวทิ้งท้าย

‘ลอรี่’ ตีแสกหน้า!! นักสร้างคอนเทนต์ชอบชู “สภาล่มใช้เงินเท่าไร?” แต่พอฝั่งตนทำล่มถี่ มูลค่าเสียหายกว่า 45.9 ลบ.กลับไม่พูด

(5 ส.ค. 66) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ลอรี่ - พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ’ ในหัวข้อ ‘ปชช. ต้องตาสว่าง.. #ใครทำสภาล่ม 🎃’

“สภาล่มใช้เงินเท่าไหร่?” คอนเทนต์เอาหล่อ แต่พฤติกรรมที่ทำไว้สวนทาง ตามกมลสันดาน (DNA) แบบฉบับพรรคก้าวไกล... เมื่อ สส.พรรคท่านนึงออกมาทวงความเป็นธรรม ว่าสภาล่มวันที่ 4 ส.ค. 66 ทำให้มีค่าเสียหาย (เชิงโน้มน้าวให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ สส./สว. ฝั่งอื่น) 

ในฐานะที่ตัวผมนั้นเคลื่อนไหวกับภาค ปชช.เสนอเรื่องแก้สภาล่มมาโดยตลอด… ขอตีแสกหน้าด้วยข้อเท็จจริง ดังนี้…

1.) ความเป็นจริง การประชุมของรัฐสภา 4 ส.ค. 66 ‘ไม่ได้ล่ม’ แต่เป็นประธานสภาใช้สิทธิปิดประชุมตามข้อบังคับการประชุม ต้องศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อนทำคอนเทนต์ เพราะอาจพาพี่น้องที่แชร์เป็นหมื่นให้เข้าใจข้อมูลอย่างบิดเบือน

2.) พรรคที่คุณอาศัยอยู่นั่นเอง เป็นเหตุปัจจัยทำให้สภาล่มนับครั้งไม่ถ้วนในสมัยประชุมที่ 25 (จำนวนล่มทั้งหมดราว 20-22ครั้ง) ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่เป็นฝ่ายค้าน

ช่วงแรกผมนับถือเพราะมีสปิริตรักษาองค์ประชุม แต่พอกฎหมายฝั่งตัวเองโดนโหวตตกไป ท่าทีของก้าวไกลก็เปลี่ยน และเล่นเกมการเมืองเก่าๆ ทำให้สภาล่มเหมือนพรรคที่คุณด่าเค้า… พรรคคุณแสดงตนครั้งละ 5 คน จาก สส.ตัวเอง 51 คนแบบนี้ ผมนับได้ไม่ต่ำกว่าครึ่ง ตีไปกลมๆ 11 ครั้ง (อาจมากกว่าหรือน้อยกว่านี้นิดหน่อย) ค่าเสียหาย 4.18 ล้านบาท/ครั้ง รวมมูลค่าเสียหายกว่า 45.9 ล้านบาท

สุดท้ายฝากบอกท่านโรจน์ อย่าไปแซว สว. เค้าเลยครับ ว่ามาแค่ 49 คน

เพราะ สส.พรรคคุณสมัยที่แล้วอาการหนักกว่า จนต้องอุทานดังๆ

“ว้าย มา 5 คน!!”

'พงศ์พล' ไม่ติด 'รองอ๋อง' เบิก 1.3 ล้านบาททัวร์สิงคโปร์ แค่ถาม "นอนหลับสบายดีมั้ย บนภาระภาษีพี่น้องคนไทย?"

(18 ก.ย. 66) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษก พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'หรูหราภาษีหลวง' ระบุว่า ...

ท่านรองจองที่พัก '12,500 ต่อคืน'

ตามเอกสารส่งสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนฯ วันที่ 11 ก.ย. 66 ... ปรากฏการเบิกงบทั้งสิ้น 1.3 ล้านบาท เพื่อให้รองประธานสภา และ สส. 6 คน ไปดูงานสิงคโปร์ ในเรื่องที่ไม่มีวาระเร่งด่วนอย่างใด เช่น ดูระบบสารสนเทศ ส่องระบบแรงงาน ชมสิ่งแวดล้อมสิงคโปร์ ... เอาง่ายๆ ก็คือ ไปเที่ยว

เอาล่ะไม่เป็นไร เค้าอาจจะอยากพักผ่อนสันทนาการ ตามประสานักการเมืองใหญ่ ... จุดสำคัญที่ผิดสังเกต และเพิกเฉยไม่ได้คือ ค่าใช้จ่ายเกินจริงของทริป เช่น...

>> ที่พักหรู 4 คืน "คืนละ 1.25 หมื่น" รวมเป็น 5หมื่นบาทต่อคน
ทั้งๆ ที่โรงแรมคืนละ 1-2 พัน ก็อยู่ได้สบายใจกลางเมืองสิงคโปร์
เงินจำนวนนี้คนไทยทั่วไปไม่มีฐานะ เค้าสามารถเช่าที่ซุกหัวนอนได้ทั้งปี

>> ตั๋วเครื่องบินหรู 51,250 บาท ต่อคน
ทั้งที่บินไปใกล้ๆ แค่สิงคโปร์ ราคาตั๋วธรรมดาทั่วไปอยู่ที่ 4 พัน
(คนทั่วไปสามารถบินไปกลับ ได้เป็น 10 รอบ)

นี่คือความเท่าเทียมแบบไหน ... พูลวิลล่า ปาร์ตี้ จิบไวน์พรีเมี่ยมบนเครื่องบิน วิวดีที่เซ็นโตซ่า 

พวกคุณนอนหลับสบายดีมั้ย ... บนภาระภาษีพี่น้องคนไทย?

‘อี้’ จี้สำนึก ‘หมออ๋อง’ ผลาญภาษีพาพวกบินหรู   สงสัย!! หรือจะเป็นเทคนิค ‘ก้าวไกล’ ขับพ้นพรรค  

(18 ก.ย. 66) ดร​.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์ ​กล่าว​ถึง​กรณี​นาย​ปดิพัทธ์​ สันติ​ภาดา​ รอง​ประ​ธา​นสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ได้เดินทางไปดูงานที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมี สส.พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยและคณะรวม 12 คนติดตามไปด้วย ในช่วงระหว่างวันที่ 21-25 ก.ย.66 โดยศึกษาดูงานด้านระบบสารสนเทศการประชุมของรัฐสภาแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์, การบริหารจัดการแรงงานของคนไทยในสาธารณรัฐสิงคโปร์ และการจัดการทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดย นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้อนุมัติการเดินทางเมื่อวันที่ 12 ก.ย.66 และเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้อนุมัติงบประมาณเป็นเงินจำนวน 1,379,250 บาท

แบ่งเป็น...ค่าใช้จ่ายในการเดินทางการและระบุงบประมาณอื่นที่เบิกจ่ายสำหรับ สส. 1 คน ๆ อยู่ที่คนละ 114,650 บาท แบ่งเป็น ค่าบัตรโดยสารเครื่องบินไป-กลับ 51,250 บาท, ค่าเบี้ยเลี้ยง 4 วัน ๆ ละ 3,100 บาท รวม 12,400 บาท, ค่าที่พัก (พักเดี่ยว) 4 คืน ๆ ละ 12,500 บาท รวม 50,000 บาท และค่าจัดทำหนังสือเดินทาง 1,000 บาท ส่วนของนายปดิพัทธ์ มียอดค่า​ใช้​จ่ายรวม 494,650 บาท โดยได้สิทธิ์ค่าตั๋วเครื่องบิน, ค่าเบี้ยเลี้ยง และค่าที่พัก เท่ากับ สส.คนอื่น แต่มียอดเพิ่มเติมในส่วนของค่ารับรอง 200,000 บาท ค่ายานพหนะ 150,000 บาท และค่าของที่ระลึก 30,000 บาท อยู่ในรายการของนายปดิพัทธ์

สังคมตั้งคำถามว่าสภาจำเป็นไหมที่จะต้องไปดูงานในช่วงเวลานี้ เป็น​ภารกิจที่คุ้มค่​าภาษี​ประชาชน​หรือไม่ โดย​ถือว่าเป็​นการผลาญงบประมาณแผ่นดินในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นปีงบประมาณ​ (30 กันยายน​) โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็น​การ​ตั้งเรื่องอนุมัติอย่างเร่งรีบไม่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการแผนและงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร​อยากตั้งคำถามว่า ‘คนจนมีสิทธิ์​ไหมครับ’ กับการที่ผู้แทนพาพรรคพวกตัวเอง บินหรูอยู่​สบาย ด้วยภาษีจากน้ำตาประชาชน​ ที่ทำงานหนักหาเงินด้วยความทุกข์ยาก​แสนสาหัส โดยตนจะคอยติดตามผลลัพธ์​ของการไปดูงานเช่นเดียวกับ​การใช้งบประมาณ​ของรัฐบาล​ด้วย

นอกจากนี้​พี่น้อง​ประชาชน​ตั้งข้อสังเกตไว้หรืออาจจะเพราะ​ต้องเตรียมลาออกเพื่อย้ายไปพรรคอื่นที่ ‘เตี๊ยม’ กันไว้ระหว่าง  2 พรรคคือ ให้ก้าวไกลใช้เทคนิคขับหมออ๋องไปอยู่พรรคเล็กพรรคหนึ่ง เพื่อสามารถดำรงตำแหน่ง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้และก้าวไกล​สามารถได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านได้ เป็น​จริงหรือไม่ อาจเข้าข่ายฮั้วกันหรือไม่ต้องติดตามต่อ เชื่อว่างานนี่จบไม่สวยแน่นอน

'พงศ์พล' สวน!! 'รองอ๋อง' อย่าอ้างระเบียบทำให้จองตั๋วโลว์คอสไม่ได้ ชี้!! ‘การบินไทย’ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจแล้ว ระเบียบดังกล่าวไม่เข้าข่าย

(18 ก.ย.66) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษก พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกรณี 'หมออ๋อง' บินหรูทัวร์สิงคโปร์ ว่า...

อย่าอ้างการบินไทย..ท่านรองจองตั๋วโลว์คอสได้ ทำไมไม่ทำ? ✈️

จากประเด็นรองประธานสภา และคณะสส. เตรียมใช้เงินรัฐ ดูงานหรู ณ ประเทศสิงคโปร์.. จัดตั๋วเครื่องบินราคา 51,250บาท, ค่าโรงแรมคืนละ 1.25หมื่น และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการดูงานครั้งนี้ ที่แพงหูฉี่เกินมาตรฐาน มูลค่าล้านกว่าบาท

รองประธานฯดังกล่าว ให้เหตุผลกับสังคม ใจจริงต้องการเดินทางด้วยตั๋วสายการบินLow Cost ราคาถูก แต่จองไม่ได้ เพราะติดระเบียบ ต้องเดินทางด้วยสายการบินแห่งชาติ เท่านั้น

เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง

หลังศึกษาระเบียบวาระสภา และปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐวิสาหกิจมาดีแล้ว

⬛ วันนี้ ‘การบินไทย’ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจแล้ว หลังเข้าการฟื้นฟูกิจการ เมื่อไม่ใช่รัฐวิสาหกิจแล้ว ดังนั้นข้อผูกพันตามระเบียบของรัฐแล้วก็จะหยุดไปไม่เกิดขึ้น จึงหลุดสถานะ 'สายการบินแห่งชาติ' โดยนิตินัย 

ระเบียบดังกล่าวนี้ จึงไม่สามารถบังคับให้บุคลากรซื้อเฉพาะตั๋วการบินไทยได้..

⬛ คอนเฟิร์มว่า คณะรองประธานฯ สามารถจองเที่ยวบิน low cost ราคาถูก เดินทางได้อย่างแน่นอน ..คำถามคือทำไม่ไม่ทำ?

ส่วนคนมองว่า ‘การบินไทย’ ยังคงเป็นสายการบินแห่งชาติ นั้นเป็นเพียง Perception ภาพจำของคนไทย ในเชิงพฤตินัยเท่านั้นเอง

'รองประธาน สทท.' เทียบทริปดูงานสิงค์โปร์ 'หมออ๋อง' กับคณะ สว. พบ!! ราคาต่างกันลิบ และไม่มีการนั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจ

(19 ก.ย. 66) นายสุรวัช อัครวรมาศ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Surawat Akaraworamat’ ข้อความว่า…

ระเบียบดูงานที่ต้องทำความเข้าใจ เมื่อ 18 กย.ปีที่ผ่านมา ผมได้พาคณะของกรรมาธิการท่องเที่ยวของวุฒิสภา ไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ (ดูจริง) นำโดย ปธ.กมธ งบประมาณต่อคณะท่านละ สามหมื่นบาท รวมภาษี VAT ไม่ผิดครับ 30,000 บาท 2 คืน ดูงานไปวันอาทิตย์กลับคืนอังคาร ประมาณ 12 ท่าน #ท่าน สว.ไม่ได้นั่งชั้นธุรกิจ ขอให้ข้อมูลเพิ่มจากข่าวที่ต้องใช้เงินหนึ่งล้านสามแสนกว่า กับจำนวนคนที่ใกล้เคียงกัน ภาษี…กู ระเบียบในการนั่งเครื่องต้องใช้ การบินไทย เว้นแต่ สามารถพิสูจน์ได้ว่าสายการบินอื่นมีราคาถูกว่าการบินไทย 25% เท่ากับใช้ได้ครับ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top