Saturday, 14 June 2025
WORLD

รู้จัก ‘ROSOBORONEXPORT’ บริษัทส่งออก-นำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่เพียงผู้เดียวแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย

‘อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ’ เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้อย่างมากมายให้แก่ประเทศซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ โดย 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2019-2023) ข้อมูลจาก STOCKHOLM INTERNATIONAL PEACE RESEARCH INSTITUTE (SIPRI) ระบุว่า ประเทศที่ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์มากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดถึง 41.7% รองลงมาคือ ฝรั่งเศส มีส่วนแบ่งตลาด 10.9% และตามมาเป็นอันดับ 3 ได้แก่ สหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 10.5% น้อยกว่าฝรั่งเศสเล็กน้อย ด้วยเหตุสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจึงทำให้รัสเซียถูกมาตรการลงโทษ (Sanctions) ต่าง ๆ นานา ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียลดลง

สำหรับสหพันธรัฐรัสเซียแล้ว มีบริษัทที่ส่งออก/นำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียว คือ ‘ROSOBORONEXPORT’ ซึ่งเดิมก่อตั้งขึ้นเป็น ROSOBORONEXPORT Federal State Unitary Enterprise (FSUE) ในปี 2000 โดยรัฐกฤษฎีกาของประธานาธิบดีแห่งรัสเซียและมีหน้าที่ในการดำเนินนโยบายของรัฐในด้านความร่วมมือทางเทคนิคการทหารระหว่างรัสเซียและต่างประเทศ ในปี 2007 บริษัทได้รับการจดทะเบียนเป็น ROSOBORONEXPORT Open (OJSC) บริษัทมหาชนจำกัด ต่อมาในปี 2011 Rostekhnologii (ปัจจุบันคือ Rostec) อันเป็นวิสาหกิจหลักของรัฐที่มีลักษณะเป็นบริษัท Holding ได้เข้าซื้อหุ้นของ ROSOBORONEXPORT OJSC 100% 

‘ROSOBORONEXPORT’ เป็นหน่วยงานสืบทอดกิจการอาวุธยุทโธปกรณ์ของอดีตสหภาพโซเวียต หรือสหพันธรัฐรัสเซียในปัจจุบัน เป็นหน่วยงานกลางของรัฐที่ดูแลรับผิดชอบในด้านเทคโนโลยีทางการทหารได้รับการก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 เมื่อมีการก่อตั้งแผนกวิศวกรรมทั่วไปภายในกระทรวงการค้าภายในและต่างประเทศของสหภาพโซเวียตตามการตัดสินใจของรัฐบาลโซเวียตในขณะนั้น ด้วยการขยายตัวของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ จึงมีการจัดตั้งหน่วยงานส่งออกเฉพาะทางใหม่ ๆ ขึ้นหลายแห่ง 

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 สหภาพโซเวียตมีบริษัทตัวกลางของรัฐ 2 แห่ง ได้แก่ Rosvooruzhenie และ Promexport และเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2000 บริษัทที่เป็นของรัฐทั้งสองแห่งก็ได้ควบรวมกิจการกันโดยรัฐกฤษฎีกาที่ 1834 ของประธานาธิบดีรัสเซีย โดยจัดตั้ง ‘ROSOBORONEXPORT Unitary’ ขึ้นเพื่อเป็นหน่วยงานกลางของรัฐเพียงแห่งเดียวสำหรับการส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซีย

19 มกราคม ค.ศ. 2007 Vladimir Putin ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ได้ลงนามในรัฐกฤษฎีกากำหนดให้บริษัท ROSOBORONEXPORT รับผิดชอบการส่งออกอาวุธทั้งหมด ทำให้สถานะอย่างเป็นทางการของ ROSOBORONEXPORT คือบริษัทส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียวของสหพันธรัฐรัสเซีย ถือเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในตลาดอาวุธระหว่างประเทศ ด้วยสถานะตัวแทนของรัฐทำให้บริษัทมีโอกาสพิเศษในการขยายและเสริมสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในระยะยาวกับพันธมิตรต่างประเทศ ปัจจุบัน ลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นลูกค้าชั้นนำของ ROSOBORONEXPORT ได้แก่ จีน อินเดีย อัลจีเรีย ซีเรีย เวียดนาม เวเนซุเอลา และอิรัก ฯลฯ

เมื่อ ROSOBORONEXPORT เป็นบริษัทส่งออกและนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์แต่เพียงผู้เดียวของสหพันธรัฐรัสเซีย จึงทำให้บริษัทผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ของสหพันธรัฐรัสเซียไม่ต้องจัดการด้านการตลาดต่างประเทศด้วยตัวเอง ซ้ำตลาดในประเทศเองก็มีเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหพันธรัฐรัสเซียเท่านั้น ทั้งยังไม่ต้องวุ่นวายเรื่องใบอนุญาตส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์เหมือนเช่นประเทศตะวันตกอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกาต้องขออนุญาตกระทรวงต่างประเทศ และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ระบุไว้ในรายการกำหนดต้องขออนุญาตจำหน่ายต่อรัฐสภาสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น การขายเครื่องบินรบ แม้ว่าบริษัทผู้ผลิตต้องการที่จะขายเครื่องบินรบมากเพียงใดก็ตาม แต่คำสั่งซื้อต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาสหรัฐฯ ก่อน จึงจะดำเนินการต่อไปจนแล้วเสร็จได้ ทั้งนี้ไทยเรามีหน่วยงานที่มีภารกิจใกล้เคียงในลักษณะนี้คือ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) แต่ สทป. ยังคงทำหน้าที่ในทางวิชาการคือ การศึกษา วิจัย และพัฒนา อาวุธยุทโธปกรณ์ มากกว่าการทำตลาดต่างประเทศเช่นเดียวกับ ROSOBORONEXPORT

‘ประเทศไทย’ ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่สั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหพันธรัฐรัสเซีย โดย ROSOBORONEXPORT หลายรายการ อาทิ กองทัพบก ซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบ Mi-17V-5 เครื่องยิงจรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่า 9K38 Igla อาวุธปืนเล็กยาวแบบ AK-104 (อาสาสมัครทหารพราน) กองทัพอากาศ ซื้อเครื่องบินแบบ Sukhoi Superjet ส่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบ Ka-32 เป็นต้น 

อันที่จริงแล้วตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคสงครามเย็น ไทยเราได้รับความช่วยเหลือทางทหารเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาลจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้เป็นหนึ่งในประเทศพันธมิตรต่อต้านสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน จนกระทั่งความพ่ายแพ้ของรัฐบาลต่าง ๆ ในประเทศเพื่อนบ้านของเรา ทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้ พร้อมกับตัดความช่วยเหลือทางทหารต่อประเทศไทย จนกระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์ตามความช่วยเหลือทางทหารจากรัฐบาลสหรัฐฯ หมดอายุสิ้นสภาพทหารใช้งาน กองทัพไทยจึงจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศต่าง ๆ 

ทั้งนี้สิ่งซึ่งกองทัพไทยจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความเข้าใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ การบริหารความสมดุลอย่างเหมาะสมในการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ จากสองฟากฝ่ายซึ่งแบ่งข้างอย่างชัดเจนในปัจจุบัน เพื่อให้ไทยมีดุลยภาพทางทหารที่เหมาะสมที่สุดตามบริบทที่สมควรจะเป็นต่อไป

ยอดขาย ‘BYD’ มาแรงแซง ‘Honda-Nissan’ ขยับสู่อันดับ 7 ของโลก วัดจากจำนวนที่ขายได้

(23 ส.ค. 67) เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า ยอดขาย ‘บีวายดี’ (BYD) ของจีน แซงหน้า Honda Motor และ Nissan Motor จนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 7 ของโลกตามจำนวนรถยนต์ที่ขายได้ในไตรมาส 3 ขับเคลื่อนด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดของบริษัท ตามข้อมูลจากผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทวิจัย MarkLines

สำหรับยอดขายรถยนต์ใหม่ของ BYD เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 980,000 คันในไตรมาสนี้ แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำส่วนใหญ่ รวมถึง Toyota Motor และ Volkswagen Group จะประสบภาวะยอดลดลงก็ตาม โดยยอดขายของ BYD ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากยอดขายต่างประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณสามเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 105,000 คัน

ทั้งนี้ BYD เคยอยู่อันดับที่ 10 ของโลกในช่วงไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว ด้วยยอดขาย 700,000 คัน นับตั้งแต่นั้นมา BYD ได้แซงหน้า Nissan และ Suzuki Motor และเอาชนะ Honda ในฐานะรายไตรมาสเป็นครั้งแรกในไตรมาสล่าสุด

มีเพียงผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายเดียวที่ยังคงมียอดขายมากกว่า BYD คือ ‘Toyota’ ซึ่งนำอันดับโลกในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ด้วยยอดขาย 2.63 ล้านคัน ขณะที่ ‘Big Three’ (General Motors, Stellantis, Ford Motor) ในสหรัฐก็ยังคงนำหน้า แต่ BYD กำลังไล่ตามรถ Ford Motor อย่างรวดเร็ว

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดของ BYD ได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ยอดขายในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ตรงกันข้าม ผู้เล่นชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีความแข็งแกร่งในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน กำลังมียอดขายตามหลัง โดยยอดขายของ Honda ในจีนลดลง 40% ในเดือนมิถุนายน ผู้ผลิตรถยนต์วางแผนลดกำลังการผลิตในประเทศลงประมาณ 30% แม้กระทั่งในไทยซึ่งบริษัทญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 80% อีกทั้ง Susuki ก็กำลังยุติการผลิต ในขณะที่ Honda กำลังลดกำลังการผลิตลงครึ่งหนึ่ง

‘จีน’ ยักษ์ใหญ่ประเทศผลิตรถยนต์ ส่งออกรถยนต์ 2.79 ล้านคันในช่วงครึ่งแรกของเดือนมกราคม-มิถุนายน มากกว่าญี่ปุ่น 780,000 คัน โดย BYD ได้เปิดโรงงานประกอบรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งแรกในต่างประเทศที่ไทย พร้อมแผนสร้างฮับเพิ่มเติมในฮังการีและบราซิล นอกจากนี้ยังกำลังพิจารณาการผลิตรถในเม็กซิโกด้วย

'เวียดนาม' เอาจริง!! รุกสร้างแบรนด์แข่งไทย ยกระดับ 'ทุเรียน' เป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ

(23 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สื่อเวียดนามอ้างอิงคำกล่าวของเล มินห์ ฮวน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม ระบุว่า เวียดนามควรผลักดันให้ทุเรียนขึ้นแท่นเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ ด้วยการกำหนดมาตรฐานคุณภาพและสร้างแบรนด์เพื่อแข่งขันกับผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น ไทย และมาเลเซีย

เล มินห์ ฮวนเผยว่า การผลักดันให้ทุเรียนเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาตินั้น จำเป็นต้องอาศัยนโยบายการเกษตรที่ครอบคลุมและต้องมีการให้ความรู้แก่เกษตรกรและภาคธุรกิจ สิ่งนี้มีความสำคัญเนื่องจากปัจจุบันเวียดนามตามหลังไทยและมาเลเซียในการส่งออกผลไม้ไปยังจีน ขณะที่การผลิตในเวียดนามยังกระจัดกระจายและมีขนาดเล็ก

สินค้าแต่ละชนิดจะต้องผ่านเกณฑ์หลายประการเพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติ เช่น ขนาดการผลิต ขีดความสามารถการแข่งขันด้านการส่งออก การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และศักยภาพในการครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา 

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นคาดว่า การส่งออกทุเรียนของเวียดนามจะสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.2 แสนล้านบาท) ภายในสิ้นปีนี้ เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยในปัจจุบัน

ทั้งนี้ เวียดนามทำรายได้จากการส่งออกทุเรียนอยู่ที่ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.84 หมื่นล้านบาท) ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม โดยจีนเป็นผู้นำเข้าทุเรียนเวียดนามรายใหญ่ที่สุด

‘สี จิ้นผิง’ ยกย่อง ‘ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง’ สร้างสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน พร้อมเดินหน้า-ต่อยอด ‘สร้างสันติ-ความเจริญรุ่งเรือง’ ร่วมกันของทุกฝ่าย

(23 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวยกย่อง ‘คุณูปการอันโดดเด่น’ ของ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้นำที่ล่วงลับ และเรียกร้องการเดินหน้าสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีนที่ริเริ่มโดยเติ้ง เสี่ยวผิง เนื่องในวาระครบรอบ 120 ปี วันคล้ายวันเกิดของเติ้งเสี่ยวผิง เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา

สี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ซึ่งร่วมการประชุมเนื่องในวาระข้างต้น กล่าวว่าจีนต้องศึกษาและประยุกต์ใช้ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping Theory) อย่างละเอียดต่อไป

เติ้ง เสี่ยวผิงสร้างคุณูปการโดดเด่นแก่พรรคฯ ประชาชน ประเทศ ชาติ และโลก ซึ่งความสำเร็จของเติ้ง เสี่ยวผิงถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์และจะเป็นแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่อยู่เสมอ

เติ้ง เสี่ยวผิงเป็นแกนหลักของคณะผู้นำส่วนกลางรุ่นที่ 2 ของพรรคฯ หัวหน้าสถาปนิกของการปฏิรูปสังคมนิยม การเปิดกว้าง และการสร้างความทันสมัยของจีน และผู้บุกเบิกสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน ขณะเดียวกันเติ้ง เสี่ยวผิงยังเป็นนักสากลนิยมที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสร้างคุณูปการสำคัญแก่สันติภาพและการพัฒนาของโลก

"สหายเติ้ง เสี่ยวผิงได้ใช้ชีวิตที่น่ายกย่อง ต่อสู้ดิ้นรน และไม่ธรรมดา" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่าหลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเป็นห้วงยามแห่งความวุ่นวายนานนับทศวรรษที่สิ้นสุดปี 1976 เติ้ง เสี่ยวผิงได้นำพรรคฯ และประชาชนบรรลุการเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์ของจีน

เติ้ง เสี่ยวผิงผลักดันจีนบรรลุความก้าวหน้าใหม่ในการปรับใช้ลัทธิมาร์กซ์ให้เข้ากับบริบทของจีน บุกเบิกการสร้างความทันสมัยของสังคมนิยม และกำหนดวิถีทางอันถูกต้องสำหรับการรวมชาติอย่างสมบูรณ์ โดยความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของเติ้ง เสี่ยวผิงมีความครอบคลุมและความแปลกใหม่ ซึ่งส่งผลลัพธ์อันลึกซึ้งและยั่งยืนต่อทั้งจีนและโลก

"เราจะจดจำความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่และเคารพแนวทางการปฏิวัติอันสง่างามของเขาตลอดไป" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่ามรดกทางปัญญาอันสลักสำคัญที่สุดจากเติ้ง เสี่ยวผิงคือทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง และเรียกร้องการศึกษาและประยุกต์ใช้ทฤษฎีดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโลกความเป็นจริง

"วิธีการอันดีที่สุดในการเชิดชูเกียรติของเติ้ง เสี่ยวผิงคือเดินหน้ากิจการสังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีนที่เขาริเริ่มไว้" สีจิ้นผิงกล่าว และเรียกร้องการปฏิรูปอย่างครอบคลุมลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อเสริมแรงและคุ้มครองการสร้างความทันสมัยของจีนอย่างต่อเนื่อง

สีจิ้นผิงกล่าวกระตุ้นการเร่งสร้างเศรษฐกิจอันทันสมัย การพึ่งพาตนเองเพิ่มขึ้นในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการพัฒนาวัฒนธรรมสังคมนิยมขั้นสูง รวมถึงพยายามบรรลุความก้าวหน้าที่โดดเด่นและมีแก่นสารยิ่งขึ้นในการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของทุกฝ่าย

สีจิ้นผิงกล่าวว่าการบรรลุการรวมชาติอย่างสมบูรณ์ของจีนเป็นความปรารถนาของเหมา เจ๋อตง เติ้ง เสี่ยวผิง และสมาชิกนักปฏิวัติรุ่นเก่าคนอื่น ๆ มาเนิ่นนานแล้ว พร้อมเรียกร้องความพยายามส่งเสริมการพัฒนาอย่างสันติของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวัน และการคัดค้าน ‘เอกราชไต้หวัน’ อย่างหนักแน่น เพื่อคุ้มครองอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน

‘คนงานเหมือง’ ขุดพบ ‘เพชรดิบ’ หนัก 2,492 กะรัตในบอตสวานา ขึ้นแท่นใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก คาด!! ตีมูลค่าอยู่ที่ 1,381 ลบ.

(23 ส.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คนงานเหมืองในประเทศบอตสวานา ขุดพบ ‘โคตรเพชร’ น้ำหนัก 2,492 กะรัต (เพชรดิบ) ที่เหมืองเพชรในเมืองคาโรเว ของบริษัท ‘ลูคารา ไดมอนด์’ (Lucara Diamond) ตั้งอยู่ห่างจากกรุงกาโบโรเน ไปทางเหนือราว 500 กม.

สำหรับบอตสวานาเป็นประเทศผู้ผลิตเพชรอันดับ 1 ของโลก โดยผลิตมากถึง 20% ของเพชรทั้งหมด โดยเพชรก้อนนี้ถือเป็นเพชรใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก ที่เคยถูกขุดพบ รองจากเพชรคัลลินัน (Cullinan diamond) น้ำหนัก 3,106 กะรัต ซึ่งพบที่ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อปี 2448 และถูกตัดแบ่งเป็น 9 ส่วน และหลายเม็ดถูกประดับอยู่บนมงกุฎของกษัตริย์อังกฤษ

ทั้งนี้ เพชรก้อนนี้ยังเป็นเพชรขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยขุดพบในบอตสวานาด้วย โดยสถิติเดิมอยู่ที่ 1,758 กะรัต ขุดพบจากเหมืองแห่งเดียวกันนี้เมื่อปี 2562

ทางด้าน วิลเลียม แลมบ์ ประธานบริษัท ลูคารา ไดเมนด์ กล่าวว่า นี่เป็นหนึ่งในเพชรขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยถูกขุดพบ โดยเพรชก้อนนี้ถูกตรวจพบด้วยเทคโนโลยี เมก้า ไดมอนด์ รีคัฟเวอรี เอ็กซ์เรย์ ซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2560 เพื่อจำแนกเพชรมูลค่าสูง ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายระหว่างการบดแร่

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการให้รายละเอียดเกี่ยวกับคุณภาพ หรือมูลค่าของเพชรก้อนนี้

แต่ทางด้านหนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียล ไทม์ส ของสหราชอาณาจักร อ้างคำพูดของแหล่งข่าวใกล้ชิดกับบริษัท ลูคารา ว่า เพชรก้อนนี้มีมูลค่าโดยประเมินอยู่ที่ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,381 ล้านบาท)

‘Neuralink’ ปลูกถ่ายชิปสมองให้มนุษย์สำเร็จเป็นรายที่ 2 ให้ผลลัพธ์ถึงขั้นผู้ป่วยออกแบบวัตถุ 3 มิติและเล่นเกมได้

(22 ส.ค.67) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ‘นิวรัลลิงก์’ (Neuralink) บริษัทสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีประสาท ของ ‘อีลอน มัสก์’ (Elon Musk) ประกาศว่า การผ่าตัดปลูกถ่าย ‘ชิปฝังสมองครั้งที่สอง’ ให้กับมนุษย์เป็นไปด้วยดี และผู้ป่วยสามารถออกแบบวัตถุ 3 มิติ และเล่นเกมวิดีโออย่าง Counter-Strike 2 ได้

ยิ่งไปกว่านั้น การผ่าตัดครั้งที่สองนี้ยังประสบความสำเร็จในการหลีกเลี่ยงปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับผู้ทดลองคนแรก อย่าง ‘โนแลนด์ อาร์เบา’ ซึ่งเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ไม่คาดคิดอย่าง เมื่อเส้นใยบางส่วนของอุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมกับเนื้อสมองได้หลุดออก

“เพื่อลดความเสี่ยงของเส้นใยอุปกรณ์หลุดจากเนื้อสมองของผู้ป่วยคนที่สอง เราได้นำมาตรการหลายอย่างมาใช้ เช่น การลดการเคลื่อนไหวของสมองระหว่างการผ่าตัด และการลดช่องว่างระหว่างอุปกรณ์ปลูกถ่ายกับผิวสมอง” บริษัทกล่าวในบล็อกโพสต์

นอกจากนี้ ในกรณีของอาร์เบา Neuralink ได้ปรับปรุงซอฟต์แวร์หลังการผ่าตัด ซึ่งช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้น

ทางบริษัทยังกล่าวอีกว่า ตอนนี้กำลังพัฒนาฟังก์ชันใหม่สำหรับอุปกรณ์เชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ชื่อ Link ซึ่งปัจจุบันช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมเคอร์เซอร์บนหน้าจอและอุปกรณ์ดิจิทัลได้ทีละคลิก ในอนาคต พร้อมทั้งระบุด้วยว่า Link จะสามารถถอดรหัสความตั้งใจในการเคลื่อนไหวหลายอย่างพร้อมกัน และจดจำความตั้งใจในการเขียนเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเขียนได้เร็วขึ้น

“ความสามารถเหล่านี้ จะไม่เพียงช่วยฟื้นฟูอิสระทางดิจิทัลสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้แขนขาได้เท่านั้น แต่ยังช่วยฟื้นฟูความสามารถในการสื่อสารสำหรับผู้ที่ไม่สามารถพูดได้ เช่น ผู้ที่มีภาวะทางระบบประสาท” Neuralink เขียน 

ในปัจจุบัน อุปกรณ์ Link ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตทั้งสี่ข้าง และผู้ที่มีภาวะอื่น ๆ ที่การเคลื่อนไหวถูกจำกัดอย่างรุนแรง โดย มัสก์ กล่าวว่า อุปกรณ์ปลูกถ่ายของ Neuralink อาจช่วยเพิ่มความสามารถของคนที่มีสุขภาพดีได้ในอนาคต เช่น ช่วยในการเรียกคืนความทรงจำ 

บล็อก Neuralink ระบุชื่อจริงของผู้ป่วยว่า ‘อเล็กซ์’ และระบุว่าเขาเป็นช่างเทคนิคยานยนต์ที่เคยประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บไขสันหลัง เขาออกจากสถาบันระบบประสาท Barrow Neurological Institute ในเมืองฟินิกซ์ รัฐแอริโซนาในสหรัฐฯ เพียงหนึ่งวันหลังจากได้รับการผ่าตัด โดยอเล็กซ์สามารถใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบตัวยึดสำหรับเครื่องชาร์จ Neuralink แบบกำหนดเองได้แล้ว

มัสก์ หวังว่า จะสามารถปลูกถ่ายอุปกรณ์ให้กับผู้ป่วยเพิ่มเติมได้หลายคนภายในสิ้นปี โดยผู้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา Prime ของ Neuralink ซึ่งเป็นการทดลองอุปกรณ์ทางการแพทย์

'ซาอุฯ' เตรียมใช้เรือไฟฟ้าเหินน้ำ Candela ใน NEOM อีกหนึ่งแพลตฟอร์มด้านขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนฯ เป็นศูนย์

(22 ส.ค.67) TNN Tech รายงานว่า ซาอุดีอาระเบีย เผยแผนการใช้เรือขนส่ง จากบริษัทผู้ผลิตเรือในสวีเดนอย่าง 'แคนเดลา' (Candela) ซึ่งพัฒนาเรือเฟอร์รี่โดยสารแบบไฮโดรฟอยล์ (Hidrofoil) พลังงานไฟฟ้ารุ่น พี-สิบสอง (P-12) ที่ได้ฉายาว่า 'เรือบินได้' เพื่อเตรียมรับส่งผู้โดยสารในเมืองอัจฉริยะ ภายใต้โครงการยักษ์ใหญ่ นีออม (NEOM)

โดยซาอุดีอาระเบีย ได้ซื้อเรือเฟอร์รี่ไฟฟ้า P-12 รุ่นใหม่ของบริษัทแคนเดลาจำนวน 8 ลำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเรือไฟฟ้าของแคนเดลาจะใช้ปีกใต้น้ำช่วยยกตัวเรือขึ้นจากผิวน้ำขณะแล่น เพื่อลดการลาก และช่วยให้เรือแล่นด้วยความเร็วสูงเหนือผิวน้ำ จนดูเผินๆ แล้วเหมือนกับว่า เรือกำลังบินได้ 

ตัวเรือออกแบบให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ราว 12-30 คน ขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ขับเคลื่อนไฟฟ้า ซี-พอด (C-Pod) 2 ชุด และแบตเตอรี่ขนาด 63 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) จำนวน 4 ก้อน ทำความเร็วสูงสุด 30 นอต หรือราว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และแล่นได้ไกลสุดที่ระยะทาง 40 ไมล์ทะเล หรือราว 74 กิโลเมตร ที่ความเร็ว 25 นอต หรือ 46 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สำหรับปีกใต้น้ำ เป็นปีกคาร์บอนไฟเบอร์ 3 ปีก ซึ่งควบคุมด้วยเซ็นเซอร์ ที่สามารถปรับมุมของปีก เพื่อให้แล่นได้อย่างราบรื่น โดยเคลมว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนน้อย เมื่อเทียบกับการใช้งานเรือเฟอร์รี่โดยสารแบบเดิมๆ เหมาะสำหรับการล่องเรือชายฝั่ง โดยจะนำไปให้บริการทั่วชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศซาอุดีอาระเบีย

ทั้งนี้บริษัทผู้พัฒนาเรือแคนเดลา ระบุว่า เรือเฟอร์รี่ไฟฟ้า P-12 ได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างระบบขนส่งทางน้ำที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ อีกทั้งการใช้ปีกแบบไฮโดรฟอยล์ ที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อยกเรือขึ้นจากน้ำโดยอัตโนมัติ ทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น และทำให้เรือสามารถเดินทางเร็วขึ้นและไกลขึ้น โดยสำหรับโครงการสั่งซื้อเรือดังกล่าว คาดว่าจะเริ่มส่งมอบได้ในปี 2025 และต้นปี 2026 นี้

‘ชาวอินโดฯ’ ประท้วง!! หลังรัฐบาลพลิกคำตัดสินศาล รธน. ส่อเจตนาเอื้อประโยชน์ต่อพรรครัฐบาลผสมของ ‘โจโกวี’

เมื่อวานนี้ (21 ส.ค.67) ชาวอินโดนีเซียจำนวนมากออกมารวมตัวกันประท้วงรัฐบาลที่พยายามพลิกคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีคำวินิจฉัยเปิดโอกาสให้คู่แข่งจากพรรคการเมืองเล็ก ๆ เข้ามาร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยได้

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญของอินโดนีเซียวินิจฉัยว่า พรรคการเมืองไม่จำเป็นต้องมีผู้แทนอย่างน้อย 20% ในสภานิติบัญญัติระดับภูมิภาคของตนจึงจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งในสนามที่ใหญ่ขึ้นได้

คำวินิจฉัยดังกล่าวหมายความว่า พรรคเล็กที่มีฐานเสียงไม่มากจะมีโอกาสในการแข่งขันทางการเมืองกับพรรคใหญ่ที่มีอิทธิพลได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังคำวินิจฉัยดังกล่าว รัฐสภากลับยื่นร่างกฎหมายผ่านญัตติฉุกเฉินเพื่อพลิกคำตัดสินดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดการประณามอย่างกว้างขวาง เพราะเกรงว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญ

ผู้ประท้วงรวมตัวกันนอกรัฐสภาในกรุงจาการ์ตา รวมถึงเมืองใหญ่ ๆ อื่น ๆ เช่น ปาดัง บันดุง และยอกยาการ์ตา คาดว่ากฎหมายฉบับเร่งด่วนที่จะพลิกคำตัดสินบางส่วนของศาลจะผ่านสภาในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ส.ค.

กฎหมายดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองในรัฐบาลผสมของประธานาธิบดี โจโก วิโดโด หรือ ‘โจโกวี’ ที่กำลังจะลงจากตำแหน่ง รวมถึง ปราโบโว สุเบียนโต ว่าที่ประธานาธิบดีที่กำลังจะขึ้นตำแหน่งในเดือน ต.ค. นี้

ถ้าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถูกพลิก จะทำให้ อานีส บาสวีดัน อดีตผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย และเป็นผู้ที่มักวิจารณ์รัฐบาล จะไม่สามารถลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการกรุงจาการ์ตาได้

รัฐบาลอินโดนีเซียยังพยายามหาทางยกเลิกการตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะคงอายุขั้นต่ำผู้สมัครรับเลือกตั้งไว้ที่ 30 ปี เพราะจะทำให้ กาเอซาง ปังงาเรพ ลูกชายวัย 29 ปีของวิโดโดลงเลือกตั้งระดับภูมิภาคในชวาตอนกลางไม่ได้

ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า การงัดอำนาจกันระหว่างศาลรัฐธรรมนูญของประเทศ กับรัฐสภาอินโดนีเซีย ซึ่งเต็มไปด้วยอิทธิพลของผู้สนับสนุนวิโดโด อาจก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม วิโดโดได้พยายามลดความสำคัญของข้อพิพาทนี้ลง โดยกล่าวว่า การแก้ไขคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่รัฐบาล ‘การตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ’

ผู้ประท้วงคนหนึ่งที่ชื่อ โจโก อันวาร์ กล่าวว่า ผู้นำของประเทศดูเหมือนจะตั้งใจที่จะรักษาอำนาจของตนเองเอาไว้ ‘ในที่สุด เราจะกลายเป็นเพียงกลุ่มวัตถุที่ไร้อำนาจ แม้ว่าเราจะเป็นผู้มอบอำนาจให้กับพวกเขาก็ตาม ... เราต้องออกมาเดินขบวนบนท้องถนน เราไม่มีทางเลือกอื่น’

ตีตี อังไกรนี นักวิเคราะห์การเลือกตั้งจากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย กล่าวว่า การที่รัฐสภาตัดสินใจเพิกถอนคำตัดสินของศาลถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ‘นี่คือการขโมยรัฐธรรมนูญ’

'สเวน โกรัน อีริคส์สัน' กล่าวอำลาหลังใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต พร้อมขอบคุณทุกคนที่อยู่เคียงข้างมาตลอดทุกช่วงเวลา

(22 ส.ค. 67) สยามสปอร์ต รายงานว่า 'สเวน โกรัน อีริคส์สัน' ตำนานกุนซือชาวสวีดิช ส่งข้อความสุดท้ายเพื่อเป็นการสั่งลาทุก ๆ คน หลังเจ้าตัวป่วยหนักเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

อีริคส์สัน มีโอกาสได้กุมบังเหียนหลายสโมสรได้แก่ โกเตเบิร์ก, เบนฟิก้า, โรม่า, ฟิออเรนติน่า, ซามพ์โดเรีย, ลาซิโอ, แมนฯ ซิตี้ และ เลสเตอร์ รวมทั้งยังได้ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษด้วย

หลังจากวางมือจากการกุมบังเหียน อีริคส์สัน ก็เงียบหายไปจากวงการลูกหนัง แต่เมื่อไม่นานมานี้เจ้าตัวตกเป็นข่าวใหญ่หลังออกมายอมรับว่าถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน

ตำนานกุนซือวัย 76 ปี ซึ่งเพิ่งจะสานฝันให้เป็นจริงในการคุม ลิเวอร์พูล ทีมรักในเกมการกุศลพบ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เมื่อช่วงต้นปีนี้ เปิดใจผ่านสารคดีที่ชื่อว่า ‘Sven’ ทางช่อง Amazon Prime เพื่อเป็นการสั่งลาหลังรู้ตัวว่าใกล้ถึงเวลาที่จะจากโลกนี้ไป

"ผมหวังว่าพวกคุณจะจดจำผมในฐานะคนที่มองโลกในแง่ดีซึ่งพยายามทำทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้ ไม่มีอะไรต้องเสียใจ ยิ้มเข้าไว้ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทั้งโค้ช, นักเตะ, แฟนบอล มันช่างน่าเหลือเชื่อ ดูแลตัวเองและดูแลชีวิตของคุณ ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ลาก่อน" อีริคส์สัน ระบุ

สำหรับสารคดี SVEN จะออกอากาศทาง Amazon Prime ในวันที่ 23 ส.ค. นี้

‘นายกฯ จีน’ ส่งสารยินดี 'อุ๊งอิ๊ง' รับตำแหน่งนายกฯ คนใหม่ ลั่น!! พร้อมทำงานสานต่อมิตรภาพดั้งเดิมที่มีอนาคตร่วมกัน

เมื่อวันที่ 19 ส.ค.67 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘หลี่เฉียง’ นายกรัฐมนตรีจีน ส่งสารแสดงความยินดีกับ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ สำหรับการเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย

โดย หลี่เฉียง ระบุว่า จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านฉันมิตรที่ใกล้ชิดและประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน โดยตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษก่อน ความสัมพันธ์จีน-ไทย ยังคงพัฒนาอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ไม่ว่าภูมิทัศน์ระหว่างประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หลี่เฉียง เผยความพร้อมทำงานร่วมกับแพทองธาร เพื่อสานต่อมิตรภาพดั้งเดิม ‘จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ และผลักดันผลสำเร็จในการสร้างประชาคมจีน-ไทย ที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อนำพาผลประโยชน์มาสู่ประชาชนของทั้งสองประเทศยิ่งขึ้น ขณะปี 2025 จะตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทย

‘โรนัลโด’ ทุบสถิติโลกหลังเปิดช่องยูทูบ UR·Cristiano ยอดผู้ติดตามทะลุ 1 ล้านซับ ทำเวลาเร็วสุด 90 นาที

เมื่อวานนี้ (21 ส.ค.67) ‘โรนัลโด’ นักเตะที่มียอดฟอลโลเวอร์ในอินสตาแกรมสูงที่สุดในโลกกว่า 636 ล้านฟอลโลเวอร์ ตัดสินใจเปิดช่องยูทูบในชื่อ ‘UR’ ที่เจ้าตัวเผยว่า จะมีการสัมภาษณ์แขกรับเชิญที่หลากหลาย และจะมี ‘จอร์จิน่า โรดริเกซ’ แฟนสาวของเขาเข้ามาร่วม

“ในช่องทางใหม่นี้ คริสเตียโน่ จะแบ่งปันคอนเทนต์ลูกหนังที่เขาลุ่มหลงเช่นเดียวกับความสนใจด้านอื่น ๆ ทั้งครอบครัว โภชนาการ การเตรียมความพร้อม การฟื้นร่างกาย การศึกษา และธุรกิจ ช่องทางนี้คุณจะได้เห็น คริสเตียโน่ สนทนากับแขกในหัวข้อต่าง ๆ”

ด้าน โรนัลโด้ ได้เปิดใจว่า “ผมมีความสุขที่ได้ทำโปรเจกต์นี้ มันอยู่ในใจของผมมานานแล้ว และสุดท้ายเราก็มีโอกาสทำให้มันเป็นจริง”

อย่างไรก็ตาม สำหรับช่อง UR · Cristiano ได้โพสต์วิดีโอลงในช่องยูทูบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีทำลายสถิติโลก คนติดตาม 1 ล้านคนเร็วสุดด้วยเวลา 90 นาทีด้วย และหลังจากผ่านไป 3 ชั่วโมง ยอดผู้ติดตามก็ปาไปแล้ว 3.5 ล้านคน

'WHO' ชี้!! การระบาด 'ฝีดาษลิง' ไม่รุนแรงแบบ 'โควิด-19' เหตุ!! เจ้าหน้าที่รู้วิธีการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค

(21 ส.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ฮานส์ คลูก ผู้อำนวยการภาคพื้นยุโรปขององค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์ด่วนยืนยันว่า 'ไวรัสฝีดาษลิง' หรือ 'Mpox' นั้น ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใหม่หรือเก่า ไม่ได้รุนแรงเหมือนกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่รู้วิธีการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค

องค์การอนามัยโลก กล่าวต่ออีกว่า ทุกฝ่ายจะเลือกวางระบบเพื่อควบคุมและกำจัดโรคฝีดาษลิงทั่วโลก หรือโลกจะเข้าสู่วัฏจักรแห่งความตื่นตระหนกอีกครั้ง วิธีการตอบสนองในปัจจุบันและอนาคตจะเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับยุโรปและทั้งโลก

โรคฝีดาษวานรเป็นการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดแผลเป็นหนอง และมีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ มักมีอาการไม่รุนแรง แต่สามารถเสียชีวิตได้ การระบาดของไวรัสฝีดาษลิง สายพันธุ์ เคลด1บี ทำให้เกิดความกังวลทั่วโลก เนื่องจากแพร่ระบาดได้ง่ายมากผ่านการสัมผัสใกล้ชิดตามปกติ ซึ่งผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ ได้รับการยืนยันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในสวีเดน และเชื่อมโยงกับการระบาดที่เพิ่มมากขึ้นในแอฟริกา ซึ่งเป็นสัญญาณแรกของการระบาดนอกทวีปแอฟริกา

โรคฝีดาษลิงติดต่อกันผ่านการสัมผัสทางกายภาพใกล้ชิด รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ แต่ต่างจากโรคระบาดทั่วโลกครั้งก่อน ๆ อย่างเช่นโควิด-19 ที่ไม่มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าฝีดาษลิงสามารถแพร่กระจายทางอากาศได้ง่าย

ขณะนี้มีรายงานว่า มีผู้ป่วยฝีดาษลิงสายพันธุ์ เคลด 2 รายใหม่ประมาณ 100 รายในยุโรปเป็นประจำทุกเดือน และชี้ว่า การมุ่งเน้นไปที่สายพันธุ์ใหม่ เคลด 1 จะช่วยในการต่อสู้กับสายพันธุ์ เคลด 2 ที่มีความรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งแพร่ระบาดไปทั่วโลกตั้งแต่ปี 2565

โดยเมื่อไม่นานนี้ องค์การอนามัยโลกประกาศให้โรคฝีดาษวานรเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปี เนื่องจากโรคฝีดาษลิงสายพันธุ์ใหม่ เคลด 1บี ระบาดอย่างรวดเร็วในแอฟริกา ทำให้มีผู้ติดเชื้อแล้วประมาณ 27,000 ราย และเสียชีวิตมากกว่า 1,100 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกก่อนจะลุกลามระบาดเข้าอีกหลายประเทศ

'สิงคโปร์' แหกกฎ!! เตรียมแจกเงินคนตกงาน 1.5 แสนบาท แต่ต้องรับเงื่อนไข 'อบรมเพิ่มทักษะ' เพื่อกลับสู่ตลาดงานต่อไป

คนตกงานในสิงคโปร์เตรียมเฮ เมื่อ 'ลอเรนซ์ หว่อง' นายกรัฐมนตรีประกาศอัดฉีดงบประมาณก้อนใหม่ ลงในโครงการ SkillsFuture Jobseeker Support เตรียมแจกเงินช่วยเหลือแรงงานที่ว่างงานในประเทศ หลังจากที่เคยคัดค้านว่าเป็นนโยบายประชานิยมที่ส่งเสริมให้คนหวังพึ่งแต่สวัสดิการรัฐจนขาดแรงจูงใจในการหางานทำ

SkillsFuture Jobseeker เป็นโครงการภาครัฐที่สนับสนุนผู้หางาน ด้วยการจัดฝึกอบรม เพิ่มทักษะแรงงาน พร้อมบริการให้คำปรึกษาด้านอาชีพ และจัดหางานให้ ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการนี้คือ ช่วยให้แรงงานยกระดับทักษะด้านอาชีพของตัวเอง เพื่อหางานให้ได้เร็วที่สุด

แต่เมื่อวันอาทิตย์ (18 ส.ค.67) ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ลอเรนซ์ หว่อง ได้ประกาศระหว่างการปราศรัยเนื่องในวันชาติ รัฐบาลสิงคโปร์จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญในการช่วยเหลือผู้ที่กำลังว่างงานในสิงคโปร์ด้วย

โดยโครงการ SkillsFuture ใหม่นี้ รัฐจะให้เงินช่วยเหลือแก่คนงานรายได้น้อย - ปานกลาง ที่ตกงานเป็นค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในค่าครองชีพ ซึ่งเป็นเงินสูงถึง 6,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 1.57 แสนบาท) เป็นระยะเวลาสูงสุดที่ 6 เดือน 

ตัวเลขเงินจำนวนนี้ นักเศรษฐศาสตร์และนักสังคมวิทยามองว่า 'เหมาะสม' สำหรับแรงงานที่มีเหตุต้องว่างงานโดยไม่สมัครใจ และไม่เกินพอดี จนอาจเกิดปัญหาการหวังพึ่งพาสวัสดิการรัฐในระยะยาว หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม

ส่วนเงื่อนไข ก็คือ ผู้ว่างงานต้องลงทะเบียนเข้าโครงการพัฒนาแรงงาน SkillsFuture Jobseeker ตามมาตรฐานของกรมส่งเสริมแรงงานของสิงคโปร์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ย้ำว่า การเข้าฝึกอบรมในโครงการนี้ถือเป็นการลงทุนที่จำเป็นสำหรับแรงงาน เพื่อโอกาสในการได้งานที่ดีกว่าในอนาคต ซึ่งบุคคลที่ผ่านเกณฑ์ประเมินรายเดือน จึงจะมีสิทธิ์รับเงินชดเชยรายได้ 6,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ในระยะเวลา 6 เดือน 

สำหรับการรับเงินช่วยเหลือของแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งต้องปฏิบัติตามขั้นตอนภายใต้เงื่อนไขที่รัดกุมนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านแรงงานครั้งสำคัญของประเทศสิงคโปร์ ที่ไม่เคยมีสวัสดิการสำหรับคนว่างงานมาก่อน เพราะเห็นว่าโครงการดังกล่าวจะส่งเสริมให้ประชาชนขาดความกระตือรือร้น แล้วเลือกที่จะรับสวัสดิการมากกว่าการทำงาน

ทั้งนี้การปฏิเสธแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการสำหรับแรงงาน มีมาตั้งแต่สมัยที่สิงคโปร์แยกตัวจากมาเลเซียในปี 1965 และจัดตั้งรัฐบาลปกครองตนเองภายใต้การนำของ ลี กวนยู ซึ่งประกาศอย่างชัดเจนว่า เขาละทิ้งแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ เพราะรัฐบาลที่ดำเนินนโยบายตามแนวคิดดังกล่าวจะบั่นทอนความสามารถในการพึ่งพาตัวเองของประชาชน และความมุ่งมั่นในการสร้างตัวเพื่อความสำเร็จในชีวิต 

ดังนั้น ผู้นำที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากนายลี กวนยู ตั้งแต่ โก๊ะ จ๊กตง และ ลี เซียนลุง ก็ไม่เคยผลักดันนโยบายด้านสวัสดิการช่วยเหลือผู้ว่างงานเช่นกัน

ทว่า ลอเรนซ์ หว่อง กลับมีความเห็นว่า อาจถึงเวลาแล้วที่สิงคโปร์ต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อช่วยเหลือแรงงาน ในยุคสมัยที่มีความท้าทายทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงยืนยันว่า การรับสวัสดิการรัฐอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ส่งผลดีเชิงบวกต่อแรงจูงใจในการแสวงหางานของแรงงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์ระวังมาโดยตลอด 

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ จึงมองหาทางเลือกอื่น โดยใช้แบบแผน 'Workfare' แทนที่จะใช้คำว่า 'Welfare' ซึ่งหมายถึงสวัสดิการที่รัฐต้องเป็นผู้รับประกันการว่างงาน ที่นำไปสู่ความคาดหวังในการพึ่งพาแต่สวัสดิการรัฐ ซึ่งหมายถึงการใช้ภาษีจากการทำงานของประชาชนคนอื่น

Workfare เป็นแนวทางที่รัฐบาลสิงคโปร์นำมาใช้เป็นครั้งแรกในปี 2005 โดยแรกเริ่มเดิมที เป็นโครงการที่สนับสนุนกองทุนแก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งรัฐจะเติมเงินให้กับกองทุนบำเหน็จบำนาญ แต่มีเงื่อนไขว่าผู้มีรายได้น้อยจะต้องมีงานทำ

แต่สำหรับโครงการล่าสุดนี้ รัฐบาลสิงคโปร์จะพิจารณาจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ว่างงาน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ว่างงานต้องเข้าสู่กระบวนการฝึกอบรมพัฒนาอาชีพ ต้องผ่านคะแนนประเมิน และ ต้องเข้าโปรแกรมจัดหางาน เพื่อกลับสู่ตลาดแรงงานต่อไป 

ลอเรนซ์ หว่อง กล่าวว่า โครงการนี้มีไว้เพื่อสนับสนุนแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง และช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพที่จำเป็นระหว่างเข้าโครงการ แต่คนงานก็ต้องมีส่วนร่วม ด้วยการแสดงรับผิดชอบต่ออนาคตของตนเอง  และพยายามดึงตัวเองขึ้นมาให้ได้

ก็ถือเป็นโครงการแจกเงินอย่างมีวิสัยทัศน์ ตามสไตล์สิงคโปร์จริง ๆ ที่ยึดว่า 'เกิดเป็นคน ต้องทำงาน' และสวัสดิการรัฐมีไว้สำหรับผู้ที่เสียภาษีเท่านั้น

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘ดร.อักษรศรี’ ชี้!! EU ปรับเรทเก็บภาษีรถ EV จากจีน ดูฉาบฉวยและเลือกปฏิบัติ เอื้อค่ายรถฝรั่งผลิตในจีน แต่ยังโหดกับรถค่ายจีน

(21 ส.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กรณี อียูลดภาษีนำเข้า EV ผลิตในจีน 🇨🇳 จากอัตราเดิมที่เคยประกาศไว้ ดูฉาบฉวยก็เหมือนจะดี แต่จริง ๆ แล้วยังคงเป็นการเลือกปฏิบัติกับจีนอยู่ดี ว่า...

รถ EV ที่ผลิตโดยค่ายรถฝรั่ง 🇪🇺 อียูจะลดภาษีให้ตรึมนะ

- ค่ายเทสล่า ลดจาก 20.8% เหลือ 9%
- ค่ายโฟล์คสวาเกน ลดจาก 37.6% เหลือ 21.3%

ส่วนรถ EV ผลิตโดยค่ายรถสัญชาติจีน 🇨🇳 จะได้รับการลดภาษีพอเป็นพิธี 😅
-ค่าย BYD จาก 17.4% เหลือ 17%
-ค่ายรถ Geely จาก 19.9% เหลือ 19.3%
-ค่ายรถ SAIC จาก 37.6% เหลือ 36.3% 

จีนพบ 'ปลาสเตอร์เจียน' หายากใกล้สูญพันธุ์ในแม่น้ำแยงซี ผลจากคำสั่งห้ามทำการประมงอย่างครอบคลุมในพื้นที่นี้

(21 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า หน่วยงานการเกษตรท้องถิ่นของจีนรายงานพบปลาสเตอร์เจียนแยงซี ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองระดับสูงสุดของจีน บริเวณแม่น้ำแยงซีตอนบนในมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน 

หลัวซิ่งกั๋ว หัวหน้าสถานีประมง สังกัดสำนักเกษตรและกิจการชนบทของเมืองสุ่ยฟู่ ระบุว่าคลิปวิดีโอที่บันทึกโดยกลุ่มช่างภาพเผยว่าปลาสเตอร์เจียนแยงซีอยู่ร่วมกับปลาชนิดอื่นๆ ได้อย่างกลมกลืน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกของคำสั่งห้ามทำการประมงอย่างครอบคลุมในพื้นที่นี้

หลัวเสริมว่า เมืองสุ่ยฟู่ได้ติดตามปลา 62 สายพันธุ์ตั้งแต่ปี 2023 ในจำนวนนี้เป็นปลาหายากบางสายพันธุ์ ซึ่งเผยให้เห็นว่าความหลากหลายของปลาหายากและพันธุ์ปลาเฉพาะถิ่นยังคงเพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้

อนึ่ง ปลาสเตอร์เจียนแยงซี หรือที่เรียกว่าปลาสเตอร์เจียนแดบรี เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top