Tuesday, 8 July 2025
NEWS FEED

ประธานวุฒิสภาพร้อมคณะลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม และติดตามการให้ความช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบาง

(7 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ประธานวุฒิสภา พร้อมด้วย นางวราภัสร์ ไพพรรณรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการผู้ด้อยโอกาส และ ความหลากหลายทางสังคม วุฒิสภา นำคณะ ลงพื้นที่ โรงเรียนบ้านจะรังตาดง มิตรภาพที่ 175 บ้านจารังตาดง หมู่ที่ 2 ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม และติดตามการให้ความช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบาง โดยมี นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา นางฉลวย พงศ์สุวรรณ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดยะลา นายอำเภอรามัน ส่วนราชการจังหวัด อำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มสตรี อ.รามัน และส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ

โอกาสนี้ ทางประธานวุฒิสภา ได้มอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.ยะลา  จำนวน 159,000 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นเก้าพันบาทถ้วน) แก่ผู้ว่าราชการ จ.ยะลา  พร้อมทั้ง ได้ร่วมกับ คณะกรรมาธิการ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา นายอำเภอรามัน มอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ยังได้มอบน้ำดื่ม  ไก่ไข่  บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวสาร ให้กับทางโรงเรียนบ้านจะรังตาดง ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย อีกด้วย

นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา  เปิดเผยว่า วันนี้มาใน 2 ฐานะ คือ รองประธานรัฐสภา  และประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชนชาวไทย นำความห่วงใยของ สมาชิกสภาทั้งหลาย รวมทั้งพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เมื่อมีเหตุที่พี่น้องได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย เราก็รวบรวมกันทั้งทรัพย์และเงินทองทั้งสิ่งของต่างๆเท่าที่จะทำได้อย่างรวดเร็วที่สุด นำมา ได้มาเห็นภาพที่ประทับใจมากๆ คือ การฟื้นฟูหลังน้ำลด  พอน้ำมาทุกหน่วยในพื้นที่ ทหาร ตำรวจ ปกครองทั้งหลายได้รวมกันจัดกำลัง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเร่งด่วน พอหลังน้ำลดก็ช่วยกันฟื้นฟูกันอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงความพร้อม ความสามัคคีของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้แทนในพื้นที่ ได้แจ้งไปประสานงานกันตลอดเวลาต้องการอะไรบ้าง เราก็รวบรวมสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วน ส่วนหนึ่ง หน้าที่จริงๆ คือหน้าที่ของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ในพื้นที่  เราเป็นเพียงส่วนเสริมที่เข้ามาหนุนเพื่อนำความห่วงใยมาสู่พี่น้องที่ประสบอุทกภัย เช่นเดียวกันเมื่อครั้งภาคเหนือถูกน้ำท่วม พี่น้องจากชาวใต้ก็ไปช่วยชาวเหนือ อีสาน พอภาคใต้เกิดน้ำท่วมชาวเหนือ อีสาน ชาวภาคกลางก็ระดมกันมา คือความรู้สึกที่ดี ยิ่งมาวันนี้ก็ต้องขอบคุณพื้นที่ทั้งผู้ว่า ฯ ทหาร ตำรวจ ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผอ.โรงเรียน พี่น้องประชาชนทุกท่าน ที่วันนี้ถึงแม้นทุกท่านยากลำบากจากน้ำท่วมยังยิ้มแย้มแจ่มใสมาให้การต้อนรับคณะอย่างอบอุ่นมาก ตื้นตันใจมาก ขอขอบคุณทุกๆ ท่านด้วย

สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา  เมื่อวันที่ 26-30 พฤศจิกายน 2567 มีราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 12,419 ครัวเรือน รวมทั้งสิ้น 45,736 คน  พื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน 16 ตำบล รวมทั้งสิ้น 90 หมู่บ้าน ศูนย์อพยพ จำนวน 33 แห่ง มีผู้อพอพ จำนวน 764 ครัวเรือน 3,093 คน ปัจจุบันได้กลับบ้านทั้งหมดแล้ว

“พิชัย” หารือทูตอังกฤษ เน้นย้ำความสำคัญในการจัดทำ FTA ไทย-UK ร่วมกันในอนาคต สร้างมูลค่าการค้า-การลงทุน เติบโตต่อเนื่อง

(8 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย (นายมาร์ค กุดดิ้ง) เพื่อหารือประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน รวมถึงการพิจารณา ความเป็นไปได้ในการจัดทำ FTA ไทยกับ UK เพื่อขยายการค้าการลงทุนระหว่างกัน สอดคล้องกับนโยบายการเร่งสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย

นายพิชัยฯ เปิดเผยว่า ได้หารือกับ นายมาร์ค กุดดิ้ง เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย โดยสองประเทศได้เน้นย้ำความมุ่งมั่นที่จะขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนร่วมกัน ผ่านกลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า (Joint Economic and Trade Committee: JETCO) ไทย - สหราชอาณาจักร (UK) ในระดับรัฐมนตรี เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการดำเนินธุรกิจ อำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน โดยเร่งรัดการดำเนินการร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะภายใต้กรอบการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น (Enhanced Trade Partnership: ETP) ผ่านกิจกรรมความร่วมมือทางเศรษฐกิจครอบคลุมสาขาที่สองประเทศมีศักยภาพและทรัพยากรที่ส่งเสริมกัน เช่น การเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม การลงทุน การท่องเที่ยว และสุขภาพ  ซึ่งตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันกับ นายดักลาส อเล็กซานเดอร์ รัฐมนตรีการค้าของสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 18 ก.ย.67 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมคอร์ทยาร์ด บาย แมริออท กรุงเทพฯ โดยทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะจัดการประชุม JETCO ไทย – UK ครั้งที่ 2 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานร่วมกันในปี 2568 ซึ่งเป็นโอกาสดีในการเฉลิมฉลองครบ 170 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันด้วย

โอกาสนี้ นายพิชัยฯ เปิดเผยว่า ไทยได้เน้นย้ำกับ UK ถึงความสำคัญของการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้นดังกล่าวว่า จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการพิจารณาเจรจา FTA ระหว่างกันในอนาคต ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่รัฐบาลไทยผลักดันและให้ความสำคัญกับการทูตพาณิชย์เชิงรุก โดยเห็นว่า หากสองฝ่ายสามารถจัดทำ FTA ร่วมกันได้ จะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้มูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งภาคธุรกิจของทั้งไทยและ UK ต่างก็สนับสนุนการเริ่มเจรจาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งขยายการค้าระหว่างกัน

นายพิชัยฯ กล่าวเสริมว่า ได้ขอบคุณ UK ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพิจารณารับไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) รวมทั้งใช้โอกาสนี้แจ้ง UK ให้ทราบว่า กระทรวงพาณิชย์ยินดีอำนวยความสะดวกและสนับสนุนการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศในไทยให้เป็นไปอย่างสะดวกและราบรื่นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือบริการเป้าหมายที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน เช่น อุปกรณ์ประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ระบบจัดเก็บข้อมูล (Data Center) ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 

ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ต.ค.) สหราชอาณาจักรเป็นคู่ค้าอันดับ 22 ของไทยในตลาดโลก และเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทยในภูมิภาคยุโรป (รองจากสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์) โดยมีมูลค่าการค้ารวมระหว่างกัน 5,535.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 1,372.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าการส่งออกสินค้ารวม 3,454.13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ไก่แปรรูป เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล อัญมณีและเครื่องประดับ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขณะที่มีมูลค่าการนำเข้ารวม 2,081.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ เครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา และผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม

ป้ายรถเมล์ ถูกเทปูนจนมิด เหลือแต่เก้าอี้ ชี้!! ผลงาน ‘สำนักการโยธา กทม.’

(7 ธ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘สนามข่าวเมืองปราการ’ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า …

‘ไม่คุยกันอีกแล้ว รื้ออันไหนทำใหม่ดีล่ะ 7-11 ตรง ซ.เทพรัตนโมลี 21 ถ.หลวงแพ่ง’ 

พร้อมกับแนบภาพป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง ที่ระบุว่า อยู่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อชื่อดัง ซอยเทพรัตนโมลี 21 ถนนหลวงแพ่ง เป็นภาพที่กำลังก่อสร้างทางเดินเท้าใหม่ ทำให้มีการเทปูนทับพื้นเดิม ส่งผลให้ความสูงของพื้นปูนนั้น ขึ้นมาอยู่เทียบเท่ากับที่พักนั่งรอรถเมล์ของเดิม จนชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากนั้น

ลักษณะงานเป็นการปรับปรุงผิวจราจรและทางเท้า ท่อระบายน้ำ ฝาระบายทั้งระบบ แต่ภาพที่ได้เห็นไม่มีการรื้อศาลาที่พักผู้โดยสารออก กลับเทคอนกรีตทับไปเลย จากเก้าอี้นั่งปกติกลายเป็นเก้าอี้ไว้สำหรับนั่งพับเพียบตามมารยาทไทย

ในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างก็เหมือนเดิมตามสไตล์ กทม. ข้อมูลในระบบแจ้งว่าใช้วิธีประมูลงานแบบอีบิดดิ้ง แต่มีผู้ซื้อซอง ยื่นซอง เสนอราคา แค่เจ้าเดียวแล้วก็คว้างานไป

ชื่อโครงการปรับปรุงถนนหลวงแพ่ง ช่วงจากสำนักงานประปาสาขาสุวรรณภูมิ ถึงคลองพระยาเพชร พื้นที่เขตลาดกระบัง-กทม.

งบประมาณ 177,677,660 บาท

เลขที่โครงการ 66119124096

งานนี้ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขด่วน!!

‘พล.ต.ท.เรวัช’ เผย!! ‘ท่านพีระพันธุ์’ ตั้งให้เป็นประธานสอบทุจริต ลั่น!! ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ใครถูกก็ว่าไปตามถูก ไม่มียกเว้น

(7 ธ.ค. 67) พลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และ อดีตรักษาการผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ตำรวจมือปราบผู้ซื่อสัตย์และเที่ยงตรง ได้โพสต์คลิป โดยมีใจความว่า ...

ผมได้รับการติดต่อจาก ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ติดต่อทาบทามมาขอให้ผมเป็นประธาน 

สอบสวนเกี่ยวกับการไม่ชอบมาพากลของการ จัดซื้อจัดจ้าง ของหน่วยงานในสังกัดดูแลของท่าน

สืบเนื่องมาจากในการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จะจ้างบริษัทมาขนถ่านหิน เงินงบประมาณ 7,250 ล้าน แล้วมันจัดซื้อจัดจ้างกันยังไงไม่รู้ ไปจัดวิธีพิเศษ จัดวิธีพิเศษไม่มีการประมูลแข่งขันกันอะไรกัน 

ผมก็ยินดีทําเพื่อประเทศชาติ แล้วมันจะทําให้ผลประโยชน์ตกแก่ประชาชน จะได้ประหยัดงบประมาณ อาจจะทําให้ค่าไฟฟ้าถูกลง

ผมยินดี และเต็มใจ ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวอาทิตย์หน้าคงจะเซ็นแต่งตั้งให้ผมเป็นประธานตรวจสอบ

แต่ผมก็กราบเรียนท่านว่า ถ้าตั้งผมแล้วเนี่ยอย่าให้ใครมาขอนะ ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิดนะ ใครถูกก็ว่าไปตามถูกนะ

ใครผิดก็ต้องรับกรรมไปนะ

ผมไม่ไปสนใจทั้งนั้น ว่าใคร จะเป็นอะไรยังไง ถ้าผิดก็ต้องว่าตามผิด ถูกก็ว่าตามถูก ท่านบอกท่านตัดสินใจเลือกผมเพราะรู้ว่าผมเป็นคนไม่ยอมใคร ถูกก็ถูกผิดก็ผิด

มันก็เป็นนิสัยของผมมาตั้งแต่ผมยังเป็นดํารงตําแหน่งแค่เป็นสารวัตร

ตอนนั้นเป็นสารวัตรตลาดไร่เก่าปี 2537 มันก็มีการจัดประมูลงานของแขวงการทางที่แขวงการทางที่ชายทะเล ผู้รับเหมามากันหลายร้อยเลยต่างคนต่างขนอาวุธยุทธภัณฑ์กันมาข่มขู่กัน มาล็อกงาน ล็อกกันไม่ให้บริษัทอื่น มาซื้อซองเข้าประมูลได้

ผมเห็นคนมันมาผิดปกติ ผมก็เอากําลังตํารวจไปปิดล้อม ตรวจค้น ผมจับหมด ได้ข้าวหลามเนี่ย!! ใช้คําว่าเป็นร้อยกระบอกครับ เป็นเข่งนะครับ ผมไม่ยอม แล้วผมก็อยู่ในที่ประมูลด้วย ประมูลแข่งกันไปผลประโยชน์ตกแก่แผ่นดิน

อย่ามาล็อกกัน จับดําเนินคดีหมดนะครับ

ถือว่าพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาติ

หลังจากนั้น นายช่างมันรู้กัน มันไม่กล้ามาประมูลกันในเขตผมเลยนะครับ ไม่กล้ามาประกวดงาน ในเขตผมเลยนะครับ

อีกครั้งหนึ่งผมมาเป็นผู้กํากับที่บ้านโป่ง ก็มีการประมูลงานกัน ของกรมชลประทาน

ผมจับดําเนินคดีหมดครับ ผมไม่ยอมหรอกครับ 

เอาแฟร์แฟร์กัน!!

‘ท็อปนิวส์’ แจง!! ถูกแอบอ้าง นำโลโก้ไปใช้ ลั่น!! จะดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าว ให้ถึงที่สุด

(7 ธ.ค. 67) ‘ท็อปนิวส์’ ชี้แจงกรณีมีบุคคลการทำคลิปข่าวปลอม อ้างเป็นสำนักข่าวท็อปนิวส์ และโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ‘สมชาย ชอบชาย’ ซึ่งได้ลอกเลียนแบบ แบนเนอร์ข่าวและนำโลโก้ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต สร้างความเข้าใจผิดให้แก่ประชาชนและทำให้สำนักข่าวท็อปนิวส์ได้รับความเสียหาย

‘ท็อปนิวส์’ ยืนยันว่า การเผยแพร่ดังกล่าว ‘ไม่เกี่ยวข้อง’ กับ ท็อปนิวส์ แต่อย่างใด 
ในการนี้ ท็อปนิวส์ จึงขอประกาศให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลดังกล่าวหยุดการกระทำที่ทำให้ ท็อปนิวส์ ได้รับความเสียหายในทุกรูปแบบ โดยการนำ ชื่อท็อปนิวส์ ไปใช้ แล้วเผยแพร่ข้อความให้เกิดความเข้าใจผิดต่อ ท็อปนิวส์ เราจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด

ทั้งนี้ แฟนข่าว TOP News สามารถติดตามข่าวสารจากช่อง Facebook ทางการของเรา ดังนี้

TOP News : https://www.facebook.com/TopNewsLiveThailand

TOP News Online : https://www.facebook.com/topnewslive2021

TOP News Live : https://www.facebook.com/TopNewsLiveOfficial

สมุทรปราการ-แน่นวัด!! แต่งตั้ง 'พระครูจาบ' เจ้าอาวาสวัดหนามแดง รูปที่ 8 คณะศิษย์ยานุศิษย์ถวายมุทิตาสักการะ

เมื่อวันที่ (6 ธ.ค.67) ที่ผ่านมา ทางคณะพระภิกษุสงฆ์วัดหนามแดง พร้อมด้วย คณะกรรมการไวยาวัจกร อุบาสก อุบาสิกา คณะศิษย์ยานุศิษย์ คณะครู เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ข้าราชการตำรวจ คณะเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรปราการ และเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัดสมุทรปราการตลอดจนพี่น้องประชาชนจำนวนมาก 

ร่วมในพิธีแห่และร่วมถวายมุทิตาสักการะแด่ท่าน พระครูวิทูรกิจจาทร (บุญเลิศ ปญฺญาธโร แก้วน้ำค้าง ) (พระครูจาบ) น.ธ.เอก ป.บส. พธ.บ. พธ.ม. โดยได้รับตราตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนามแดง รูปที่ 8 โดยคณะสงฆ์วัดหนามแดงได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานเพื่อน้อมอุทิศให้แด่อดีตเจ้าอาวาส ณ.อุโบสถวัดหนามแดง ต.บางแก้ว อ.บางพลี สมุทรปราการ 

โดยได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณ พระเทพวชิโรดม เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย คณะสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ร่วมประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถา อาทิ พระวชิรธรรมวิธาน เจ้าคณะอำเภอบางบ่อ เจ้าอาวาสวัดสุคันธาวาส พระมงคลธรรมธัช เจ้าคณะอำเภอบางเสาธง เจ้าอาวาสวัดศิริเสาธง พระศรีรัตนเมธี เจ้าคณะอำเภอบางพลี เจ้าอาวาสวัดกิ่งแก้ว พระวชิรกิจสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นต้น

ทั้งนี้ภายในพิธีถวายมุทิตาสักการะมี นายวันชัย คงเกษม อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส เป็นผู้อ่านสารตราตั้งเจ้าอาวาส ในการดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนามแดง มีนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน บริษัท ห้างร้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางแก้ว สภ.บางพลี คณะครู นักเรียนโรงเรียนในเขตพื้นที่วัดหนามแดง และใกล้เคียง คณะศิษยานุศิษย์ และคณะสงฆ์วัดหนามแดง ร่วมเป็นสักขีพยานในการประกาศแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดหนามแดง รูปที่ 8 คือท่านพระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) เจ้าอาวาสวัดหนามแดงองค์ปัจจุบัน

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ถิ่นทุรกันดาร 4 จังหวัด มอบรถเข็นวีลแชร์พร้อมค่าพาหนะแก่ผู้พิการด้อยโอกาสในส่วนภูมิภาค จังหวัดสระแก้ว อุตรดิตถ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช พร้อมมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์

ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า  ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์พร้อมค่าพาหนะ คนละ 500 บาท แก่ผู้พิการด้อยโอกาสในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว อุตรดิตถ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช รวมจำนวน 400 คัน ในโครงการ ป่อเต็กตึ๊ง สงเคราะห์สังคม รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น 1,160,000 บาท เพื่อบรรเทาความยากลำบากในการดำรงชีวิต และเพื่อให้ผู้พิการสามารถช่วยเหลือตนเองได้ และในโอกาสเดียวกันนี้ ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มูลนิธิฯ ยังได้มอบจักรยานใน “โครงการ จักรยานเพื่อน้องสัญจร” ให้กับโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ รวม 5 แห่ง รวมจักรยานจำนวน 100 คัน อุปกรณ์กีฬา จำนวน 5 ชุด หน้ากากอนามัย 2,500 ชิ้น 

พร้อมค่าพาหนะโรงเรียนละ 2,000 บาท คิดเป็นมูลค่า 165,950 บาท เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเรียนที่ประสบปัญหาการเดินทางมาโรงเรียน แบ่งเบาภาระผู้ปกครอง เสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร การแบ่งปัน และการดูแลสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินงานทั้งสองโครงการในครั้งนี้ทั้งสิ้น 1,325,950 บาท (หนึ่งล้านสามแสนสองหมื่นห้าพันเก้าร้อยห้าสิบบาทถ้วน)โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิฯ /สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน 'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต'

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และเฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

‘หมอยง’ โพสต์เฟซ!! ย้อนดู 5 ปี โควิด 19 ความสับสนของข้อมูล ในสื่อสังคมออนไลน์

(7 ธ.ค. 67) ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ แพทย์อาวุโส นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ และหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับโควิด 19 โดยมีใจความว่า ...

ย้อนดู 5 ปี โควิด 19 ความสับสนของข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์

ความสับสนของสื่อข้อมูลออนไลน์ ที่เกี่ยวกับโรคระบาด โควิด 19 เป็นบทเรียนที่สำคัญ ถึงแม้ทุกวันนี้ ก็ยังมีปัญหาอยู่ตลอด

การปล่อยข่าวร้าย ของโควิด 19 เช่นพบสายพันธุ์ใหม่ที่น่ากลัว หรือความรุนแรงของโรคต่าง ๆ นานา ทั้งที่เป็นข่าวที่ไม่จริง และแหล่งที่ออกมา จากผู้ที่หวังดีและหวังร้าย บางคนออกข่าวทุกวัน บางคนไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เลย ทำให้เกิดความตระหนก ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเช่นนั้น

ในทุกวันนี้ ยังมีคนโทรมาปรึกษา และส่งมาให้ดู เช่น ใน Line หรือสื่อออนไลน์ ว่าโควิด 19 สายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์ B.1.1.7 ซึ่งมีอาการรุนแรง และให้ระวังช่วงปีใหม่ ผมอ่านดูแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะสายพันธุ์ของไวรัส จะเรียงจากอักษร A B C D และต่อมาก็ใช้อักษร 2 ตัว ซึ่งสายพันธุ์ปัจจุบันนี้เป็นสายพันธุ์ L และ K แล้ว เมื่อเห็นสายพันธุ์ B ก็แสดงว่าเป็นสายพันธุ์เมื่อ 2564 หรือสายพันธุ์อังกฤษ หรือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เอาข่าวเมื่อ 3 ปีที่แล้ว มาวน มาปล่อย ใหม่ ซึ่งเป็นคนละกาลเวลากัน และมีการส่งต่อกันอย่างรวดเร็ว 

ดังนั้นจะเห็นได้เลยว่า การให้ข่าวหรืออะไรก็ตามแต่ จะต้องมีวันที่กำกับด้วย ผมเองยึดมั่นในเหตุการณ์และวันที่กำกับเสมอ เพราะความถูกต้องของวันนี้ อาจจะไม่ถูกต้องในปีต่อไป เช่นบอกว่าอัตราตายสูง 1% เป็นตัวเลขของเมื่อ 3-4 ปีก่อน ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตน่าจะเป็น หนึ่งในหมื่นของผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ และเป็น กลุ่ม 708 หรือมากกว่า จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย

เช่นเดียวกัน บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในศาสตร์หรือสาขาเชี่ยวชาญในโรคดังกล่าว หรือเป็นเพียงอ่านหนังสือได้ ก็ให้ข้อมูลทางสื่อออนไลน์แทนที่จะใช้ความจริง แต่ใช้ความเห็น ทำให้มีความปั่นป่วน โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับวัคซีนในยุคแรก เมื่อเวลาผ่านไปก็เห็นได้ชัด การรับสื่อต่างๆในขณะนี้ ก็ต้องตระหนักด้วย และการส่งต่อก็มีความสำคัญ

ยง ภู่วรวรรณ
ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์
ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬา
6 ธันวาคม 2567

พาณิชย์ลุยสางปัญหานอมินี เดินหน้าบังคับใช้กฎหมายเข้ม สร้างความเป็นธรรมผู้ประกอบการไทย เตรียมเรียกประชุมใหญ่ 9 ธ.ค.นี้

 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ห่วงใยในปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) ในประเทศไทย โดยส่วนหนึ่งเป็นขบวนการที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายและอาชญากรรมทางออนไลน์ หลอกลวงภาคธุรกิจและประชาชน ได้แต่งตั้งให้ตนเป็นประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อกำหนดนโยบายและมาตรการที่จำเป็นเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งตนได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ขึ้นมา 2 คณะ ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (NOMINEE) และคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทยและแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศโดยมีท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนภินทร ศรีสรรพางค์) เป็นประธาน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยในวันที่ 9 ธันวาคม จะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ครั้งที่ 2/2567 เพื่อเร่งออกมาตรการที่จะส่งผลให้การแก้ไขปัญหาเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว

รมว. พาณิชย์ กล่าวว่า ล่าสุด 2 หน่วยงาน คือ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้เปิดปฏิบัติการตรวจค้น 46 จุดทั่วประเทศ เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล 442 บริษัท ทุนจดทะเบียนรวม 1,189 ล้านบาท ความเสียหายรวมกว่า 3,600 ล้านบาทโดยผู้กระทำความผิดได้ร่วมกันจดทะเบียนนิติบุคคลเพื่ออำพรางการประกอบธุรกิจต่างๆ อาทิ ร้านค้า ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต ธุรกิจนำเที่ยว โกดัง/คลังสินค้า ร้านรับแลกเงินตราต่างประเทศ/เงินดิจิทัล และถือครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย และหลายนิติบุคคลไม่มีการดำเนินกิจการอยู่จริง และมีการจดทะเบียนนิติบุคคลเพื่อเปิดบัญชีม้านิติบุคคล รับโอนเงินจากแก๊งมิจฉาชีพในคดีอาชญากรรมออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์ และการฟอกเงิน 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ CIB ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) การป้องกันและปราบปรามปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคล และการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) เชื่อมต่อระบบข้อมูลนิติบุคคลกับระบบข้อมูลกลางของตำรวจสอบสวนกลาง (Big Data) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลในการป้องกันปราบปรามนิติบุคคลต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) และเปิดใช้บัญชีม้านิติบุคคลเพื่อมุ่งปราบปรามปัญหา ‘นอมินี’ และ ‘บัญชีม้านิติบุคคล’ ให้หมดสิ้นไปตามนโยบายของรัฐบาลซึ่งการปฏิบัติการข้างต้นเป็นผลมาจากการลงนามฯ และร่วมกันดำเนินการจนเห็นผลเป็นรูปธรรม

นายพิชัย เสริมว่า ตนได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มความเข้มงวดด้านการจดทะเบียนธุรกิจอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันปัญหาบัญชีม้านิติบุคคลที่อาจจะเกิดขึ้นและปิดโอกาสไม่ให้มิจฉาชีพนำความน่าเชื่อถือจากการจดทะเบียนนิติบุคคลไปใช้หลอกลวงประชาชน รวมถึงติดตามตรวจสอบนิติบุคคลที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงในการเป็นนอมินี และร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้อย่างทันท่วงที ลดปัญหาทางสังคม และลดการทำลายเศรษฐกิจในประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม

ผบ.ตร.ชื่นชมตำรวจดี 'ผู้กองวัลลภ' สายตรวจใจดี สภ.หนองใหญ่ 8 ปี สละเงินส่วนตัวช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ ภ.2 ยกย่อง 'ทำดีมีรางวัล'

(7 ธ.ค.67) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (รรท.ผบช.ภ.2) เปิดเผยถึงกรณี สื่อมวลชน และโซเชียลมีเดีย ชื่นชม ร.ต.อ.วัลลภ ทัศนาธนพงษ์ รอง สว.(ป.) สภ.หนองใหญ่ หัวหน้าสายตรวจตำบลคลองพลู สภ.หนองใหญ่ จว.ชลบุรี ใช้เงินส่วนตัวซื้อสิ่งของแบ่งปันผู้ป่วยยากจนในพื้นที่ ขณะออกตรวจความเรียบร้อยเป็นประจำตลอด 8 ปี โดยมีรอยยิ้มและความสุขใจของชาวบ้านเป็นสิ่งตอบแทน ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( ผบ.ตร. ) ฝากข้อความชื่นชมในการทำความดี เป็นตำรวจที่ต้องเชิดชู ยกย่อง 

“ผบ.ตร.ฝากข้อความ ชื่นชม ร.ต.อ.วัลลภฯ เป็นตำรวจทำดี ที่ควรถือเป็นแบบอย่าง และให้การสนับสนุน โดยในส่วนของตำรวจภูธรภาค 2 จะเชิญ ร.ต.อ.วัลลภฯ มามอบรางวัล 'ทำดีมีรางวัล' ชื่นชมในความมีหัวใจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่เสียสละเงินส่วนตัวเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ประชาชน เป็นตำรวจสายตรวจที่ไม่เพียงแต่ตรวจตราระวังภัยอาชญากรรม ยังสอดส่องดูแลความเป็นอยู่ สุข ทุกข์ ใส่ใจทุกความเดือดร้อนของประชาชน สร้างความรัก ความศรัทธาจากประชาชน โดยจะช่วยสนับสนุนการทำความดีต่อไปด้วย” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

รรท.ผบช.ภ.2 กล่าวด้วยว่า เมื่อวานนี้ (6 ธันวาคม 2567) พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ได้เดินทางไปที่ สภ.หนองใหญ่ พบกับ พ.ต.อ.กฤษณ์ มาสุข ผกก.สภ.หนองใหญ่ และได้พูดคุยสอบถาม ร.ต.อ.วัลลภฯ ถึงการออกตรวจและไปช่วยเหลือดูแลประชาชน พร้อมชื่นชม และมอบเงินรางวัล จำนวน 10,000 บาท และกำลังพูดคุยหารือกับคณะ กต.ตร. ของจังหวัด เพื่อนำสิ่งของไปร่วมช่วยเหลือเข้าร่วมโครงการของ ร.ต.อ.วัลลภฯ ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top