Tuesday, 8 July 2025
NEWS FEED

กองทัพอากาศจัดเที่ยวบินพิเศษ เชิญสิ่งของพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปช่วยเหลือชาวอินเดียที่ติดเชื้อ COVID-19

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดหาเครื่องผลิตออกซิเจนและถังบรรจุก๊าซออกซิเจนพร้อมอุปกรณ์ เพื่อพระราชทานสำหรับช่วยเหลือชาวอินเดียที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ณ สาธารณรัฐอินเดีย

กองทัพอากาศได้จัดเที่ยวบินพิเศษเชิญสิ่งของพระราชทานดังกล่าว โดยจัดเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 19 (A 340-500) จำนวน 1 เครื่อง เพื่อเชิญเครื่องผลิตออกซิเจนและถังบรรจุก๊าซออกซิเจนพร้อมอุปกรณ์พระราชทาน ในการช่วยเหลือชาวอินเดียที่ประสบภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ไปยังสถานเอกอัครรราชทูต ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย กำหนดเดินทางในวันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2564 เวลา 07.00 น. เดินทางไปกลับในวันเดียวกัน (สำรองวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2564)

พร้อมกันนี้ได้รวบรวมสิ่งของช่วยเหลือชาวอินเดียจาก สมาคมอินเดียในประเทศไทย, หอการค้าไทยอินเดียและสมาคมศิษย์เก่าสถาบันเทคโนโลยีอินเดียในประเทศไทย โดยสิ่งของที่ลำเลียงไปช่วยเหลือชาวอินเดียที่ติดเชื้อ COVID-19 ทั้งหมด ประกอบด้วย เครื่องผลิตออกซิเจน 70 เครื่อง ถังออกซิเจน 300 ถัง และอุปกรณ์ควบคุมปริมาณออกซิเจน 200 ชุด

โดยในการเดินทางกลับจะนำข้าราชการของสถานเอกอัครราชทูตที่ติดเชื้อ COVID-19 กลับมารักษาพยาบาลที่ประเทศไทย และรับคนไทยที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทยตามที่ได้รับการประสานจากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้คำแนะนำการปฏิบัติและสนับสนุนแพทย์และพยาบาลในการปฏิบัติภารกิจนี้ด้วย

“ต้องรอด” ตามหา อาสาสมัครที่พร้อมให้การช่วยเหลือ ด้านงานครัว งานประกอบอาหาร งานทำความสะอาด และงานจัดการส่วนอื่น ๆ เพื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของคลัสเตอร์ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียง

“ต้องรอด” ตามหา อาสาสมัครที่พร้อมให้การช่วยเหลือ ด้านงานครัว งานประกอบอาหาร งานทำความสะอาด และงานจัดการส่วนอื่น ๆ เพื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของคลัสเตอร์ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียง

โดยสถานที่ทำงานอยู่นอกพื้นที่ชุมชนที่เกิดการระบาดและมีความปลอดภัยจากมาตรการณ์การป้องกันการติดเชื้อ โดยรายละเอียดต่าง ๆ มีดังนี้

Team Cleaning & Screening

อาสาสมัครทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ : ตรวจสอบ ทำความสะอาดฆ่าเชื้อของที่รับบริจาค รถยนต์เข้ามาบริจาคและรับสิ่งของ ทำความสะอาดพื้นที่และเก็บล้างอุปกรณ์ โดยจะแบ่งเป็น 3 แผนก ดังนี้

1.) ฝ่ายเช็ดทำความสะอาดและฆ่าเชื้อสิ่งของ

2.) ฝ่ายฉีดพ่นฆ่าเชื้อรถยนต์

3.) ฝ่ายทำความสะอาดและเก็บล้างอุปกรณ์

Stock & Store (Fresh & Dry)

อาสาสมัครด้านจัดการสต๊อกวัตถุดิบ : จัดสรรวัตถุดิบทั้งของสดและของแห้ง / ประมาณการณ์วัตถุดิบ / ดูแลไม่ให้วัตถุดิบหมดอายุก่อนการผลิต / จัดเตรียมวัตถุดิบก่อนการปรุง / แจ้งข้อมูลวัตถุดิบที่ต้องการให้กับอาสาสมัครด้านข้อมูล โดยจะแบ่งเป็น 3 แผนก ดังนี้

1.) ฝ่ายคลังอาหารสด

2.) ฝ่ายคลังอาหารแห้ง

3.) ฝ่ายคลังเครื่องอุปโภค

Prepare & Cook

ทีมประกอบอาหาร คอยดูแลจัดการงานครัวทั้งหมด คอยดูแลเรื่องการปรุงอาหารจากวัตถุดิบที่มีอยู่ตามเมนูที่ได้จัดสรรไว้ โดยจะแบ่งเป็น 2 แผนก ดังนี้

1.) ฝ่ายพ่อครัว แม่ครัว

2.) ฝ่ายผู้ช่วยงานครัว

Communication & Information

อาสาสมัครด้านสื่อสารและประสานงาน : คอยให้ข้อมูลและสื่อสารระหว่างผู้ที่เข้ามาบริจาค ผู้ที่เข้ามารับบริจาค และประสานงานด้านรายละเอียดระหว่างการดำเนินงานจากกองอำนวยการไปยังส่วนอื่น ๆ โดยจะแบ่งเป็น 2 แผนก ดังนี้

1.) ฝ่ายประสานงาน

2.) ฝ่ายสื่อสารข้อมูล

Data Collection

อาสาสมัครด้านเก็บข้อมูล : เก็บข้อมูลทั้งหมดเพื่อการบริหารจัดการสัดส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนของที่ได้รับบริจาค ของที่ส่งต่อให้ผู้รับบริจาค ข้อมูลปริมาณคงเหลือของวัตถุดิบและเครื่องมือต่าง ๆ จากอาสาสมัครกลุ่มอื่น ๆ เพื่อส่งต่อให้กับกองอำนวยการ

Headquarter

อาสาสมัครกองอำนวยการ : คอยรับข้อมูลจากอาสาสมัครที่ทำการจัดข้อมูลและอาสาสมัครที่ทำการประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ และคอยบริหารให้ขั้นตอนการทำงานของแผนกต่าง ๆ เป็นไปตามแบบแผนที่วางไว้และคอยแจ้งรายละเอียดที่ต้องการให้กับทีมงานฝ่ายต่าง ๆ ได้รับทราบ โดยจะแบ่งเป็นสามแผนก ดังนี้

1.) ฝ่ายดูแลและสวัสดิการอาสาสมัคร

2.) ฝ่าย ขนส่ง (โลจิสติก) ศูนย์

3.) ฝ่าย คัดกรองและรับสมัครอาสา

 

ทั้งนี้ ทีมงานจะติดต่อกลับหาท่านเมื่อได้กำหนดการ โดยทุกท่านสามารถลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครได้ตาม QR Code ในรูปและที่ Link ด้านล่าง

Link: http://j.mp/6mayarsa

‘หมอเฉลิมชัย’ ตั้ง 3 ข้อสังกตุ ‘โรคประจำตัว-สายพันธุ์อินเดียร้ายแรง-ภูมิต้านทานไม่ขึ้น’ เป็นเหตุ แม้ฉีดวัคซีน Pfizer ครบสองเข็มแล้ว ยังติดเชื้อเสียชีวิต

นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กส่วนตัว Chalermchai Boonyaleepun ระบุว่า...

ต้องค้นหาความจริง !! พบผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฉีดวัคซีน Pfizer ครบสองเข็ม ติดโควิดและเสียชีวิตในอินเดีย ต้องเร่งหาสาเหตุว่า ทำไมถึงติดโควิดได้ แล้วเสียชีวิตจากโควิดจริงหรือไม่

รายงานข่าวจากหลายสำนักข่าว พบว่าผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อของสหรัฐอเมริกาคือ Dr.Rajendra Kapila ซึ่งทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัย Rutgers รัฐ New Jersey

ได้เดินทางไปยังกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย โดยก่อนเดินทาง เขาและภรรยาได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของ Pfizer ครบสองเข็ม การเดินทางเข้าสู่อินเดียนั้น เกิดขึ้นในปลายเดือนมีนาคม 2564 และได้ติดโควิดในวันที่ 8 เมษายน เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงนิวเดลี และในที่สุดวันที่ 28 เมษายนก็เสียชีวิต

โดยไม่ได้มีการเปิดเผยสาเหตุที่ชัดเจน นอกจากมีการระบุว่าเขาได้มีผลตรวจโควิดเป็นบวก

โดยผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ มีโรคประจำตัว เป็นเบาหวาน หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ แล้วก็มีอายุมากถึง 81 ปี ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เสียชีวิตจากโควิดได้ทั้งสิ้น

นอกจากนั้นในอินเดีย มีการเก็บตัวอย่างพบว่า ไวรัสสายพันธุ์อินเดีย B.1.617 มีความครอบคลุมถึง 61% จาก 220 ตัวอย่างใน 361 ตัวอย่าง

ในกรณีนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันระหว่างสื่อตะวันตก และสื่อตะวันออกต่อไป

อย่างไรก็ตาม กล่าวเฉพาะเคสนี้ คิดว่าสาเหตุของการเสียชีวิตมีโอกาสเกิดได้หลายประการดังนี้

1.) เสียชีวิตจากโรคประจำตัวอื่น เช่น หัวใจ หรือเบาหวาน โดยไม่ได้เกี่ยวกับโควิดโดยตรง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นเหตุบังเอิญพ้องกันพอดี

2.) กรณีที่เสียชีวิตจากโควิดจริง อาจจะเป็นเพราะฉีดวัคซีนแล้ว มีภูมิต้านทานขึ้นได้ดี แต่ไม่สามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์อินเดียได้

3.) เสียชีวิตจากโควิดจริง โดยที่ฉีดวัคซีนแล้วภูมิต้านทานไม่ขึ้น ทำให้ไม่มีภูมิต้านทานที่จะต่อสู้กับเชื้อโรค

ส่วนจะเป็นจากกรณีใด คงจะมีรายละเอียดของการวินิจฉัยหาสาเหตุการเสียชีวิตต่อไป

ก็เป็นข้อเตือนใจ ไม่ว่าผลจะออกมาว่าเป็นอย่างไร

การฉีดวัคซีนไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อได้ 100%

การฉีดวัคซีน ภูมิต้านทานไม่ได้ขึ้นครบทุกคน

และการฉีดวัคซีน ควรจะต้องป้องกันตัวเองต่อไปอีกระยะหนึ่งอย่างน้อย จนกว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่หรือจนกว่าโรคจะสงบ


ที่มา : https://www.facebook.com/237959479586026/posts/3823765717672033/

กสร. สร้างการตระหนักรู้และปลุกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการทำงาน 

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน พร้อมสร้างการตระหนักรู้ และปลุกจิตสำนึกให้ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของความปลอดภัยในการทำงาน จัดงานวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ประจำปี 2564 ระลึกโศกนาฏกรรมเคเดอร์สูญเสีย 188 ชีวิต   

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 10 พฤษภาคม เป็นวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ โดยได้มีการจัดงานเป็นประจำทุกปีเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมไฟไหม้รุนแรงที่โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ พุทธมณฑลสาย 4 จังหวัดนครปฐม ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 188 คน และบาดเจ็บกว่า 400 คน กระทรวงแรงงานนำโดย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญในการดูแลด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของพี่น้องแรงงานมาโดยตลอด จึงมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ส่งเสริม สร้างการตระหนักรู้และปลุกจิตสำนึกให้ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของความปลอดภัยในการทำงาน กสร.จึงได้จัดงานวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ประจำปี 2564 ขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 เพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นของภาครัฐในการดูแลแรงงานให้มีความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี รวมทั้งพัฒนาภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย หรือ Safety Thailand เพื่อช่วยกันผลักดันงานความปลอดภัยในการทำงานให้เกิดเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงานขึ้นในสังคมไทย จนนำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงานขององค์กรอย่างยั่งยืน ให้แก่ นายจ้าง ลูกจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ได้เร่งรัดการบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยในการทำงานอย่างเข้มงวด ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งปัจจุบันศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ความปลอดภัยในการทำงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 60 พรรษา ณ อาคาร Smart Job Center กระทรวงแรงงาน เป็นศูนย์การเรียนรู้และสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการทำงานให้แก่ทุกภาคส่วน

อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการจัดงานที่ผ่านมาจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ด้านความปลอดภัยในส่วนกลาง แต่เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรมวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ประจำปี 2564 ซึ่งได้นำระบบสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนการดำเนินการเพื่อเว้นระยะห่างและลดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก ผ่านระบบ Facebook Live กองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (ส่วนแยกตลิ่งชัน) ภายในงานมีกิจกรรม อาทิ การบรรยาย เรื่อง กฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนและการอนุญาตให้บริการเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2564  การอภิปรายถอดบทเรียนกรณีเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานในที่อับอากาศ โดยวิทยากร นาวาเอก เสฏฐศิริ แสงสุวรรณ กรมแพทย์ทหารเรือ และ พ.จ.อ. สุนันท์ ประสมรัตน์ บริษัท พิทยา อินเตอร์เนชั่นแนลเซฟตี้ เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นต้น

เพจไทยคู่ฟ้า แจ้งข่าวดี!! ไทยได้รับสิทธิผลิตยา 'ฟาวิพิราเวียร์' รักษาโควิดแล้ว พร้อมเผยสั่งซื้อวัตถุดิบ 5 แหล่ง จาก 'จีน-อินเดีย'

ข่าวดี! ไทยได้สิทธิผลิตยาฟาวิพิราเวียร์แล้ว

อันที่จริงประเทศไทยมีเทคโนโลยีและความสามารถในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์เพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แต่ที่ผ่านมาต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะติดปัญหาเรื่องสิทธิในการผลิต

ล่าสุดกรมทรัพย์สินทางปัญญามีคำสั่งปฏิเสธคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรยาฟาวิพิราเวียร์ ด้วยเหตุผลที่ว่าคำยื่นขอสิทธิบัตรของบริษัทที่ยื่นขอเข้ามานั้น "ไม่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น"

ทำให้ปัจจุบันไม่มีผู้ใดมีสิทธิผูกขาดในยาชนิดนี้ ทั้งในโครงสร้างสารออกฤทธิ์หลัก ซึ่งไม่เคยมีการขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทย และรูปแบบยาเม็ด

ดังนั้น หากองค์การเภสัชกรรมหรือบริษัทยาสามัญไทยรายอื่นต้องการจะผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ เพื่อใช้ในประเทศก็สามารถทำได้

ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมได้ประสานสั่งซื้อวัตถุดิบสำหรับผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ไว้แล้ว 5 แหล่ง จากประเทศจีน 1 แหล่ง อินเดีย 4 แหล่ง ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีมาตรฐานและผู้ผลิตยาทั่วโลกใช้วัตถุดิบจากแหล่งต่าง ๆ เหล่านี้

#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19


ที่มา: https://www.facebook.com/154553218343826/posts/1169222280210243/

ค่อย ๆ ขยับไปทีละประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากเมื่อวันที่ 5 พฤกษาคม เวียดนาม มีจำนวนผู้ติดโควิดเพิ่ม +26 ราย และมีขยายเวลากักตัวจาก 14 วันเป็น 21 วัน

เฟซบุ๊ก Biz Laos ได้โพสต์เผยสถานการณ์ระลอกใหม่ของโควิดในเวียดนามว่า...

จากมาตรการกักตัวที่เข้มงวดและการติดตามผู้สัมผัสอย่างกว้างขวาง ทำให้เวียดนามรักษายอดผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศในระดับต่ำ เพียงกว่า 3,000 คน และ มีผู้เสียชีวิต 35 คน

และแล้ว เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา...

...รายงานข่าวในเวียดนาม เผย พบการระบาดภายในชุมชนเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ และ พบผู้ติดเชื้อแบบกลุ่มในหลายพื้นที่ โดยผู้ติดเชื้อหลายคน...เชื่อมโยงกับผู้ที่มีผลตรวจเชื้อเป็นบวก หลังจากกักตัวในโรงแรมครบ 2 สัปดาห์

กระทรวงสาธารณสุขเวียดนาม จึงได้ตัดสินใจที่จะขยายระยะเวลาการกักตัว เป็นระยะเวลา 21 วัน สำหรับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 และผู้ที่เดินทางเข้ามาในเวียดนาม

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากโรงพยาบาลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จำนวนมาก ถูกล็อกดาวน์ในวันพุธ (5) หลังจากแพทย์ของโรงพยาบาลตรวจพบติดเชื้อโควิด-19

นอกจากนี้ ยังมีอีก 14 คนที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนแห่งชาติในกรุงฮานอยตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 เช่นกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ป่วย รวมถึงญาติที่เดินทางมาเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลในช่วงเวลาที่ประกาศล็อกดาวน์ ราว 800 คน ต้องอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลา 2 อาทิตย์

ยิ่งไปกว่านั้นทางเวียดนามยังตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อในชุมชนที่มีการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในอินเดียอีกด้วย

สำหรับการระบาดในชุมชนครั้งล่าสุด ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหายเซวือง ทางภาคเหนือ สามารถควบคุมการระบาดได้สำเร็จเมื่อเดือนที่ผ่านมา

แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังในระดับสูงท่ามกลางการระบาดที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รวมถึงกัมพูชาและลาว ซึ่งทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกับเวียดนามทั้งสิ้น


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=2316625165136059&id=100003657944356

มาถึง ณ วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า มีการเคลื่อนไหวจากต่างประเทศสนับสนุนชนกลุ่มน้อยในการทำสงครามในเมียนมา และรวมถึงการสร้างกองทัพประชาชนมาป่วนสร้างความวุ่นวายในเมียนมาในขณะนี้

มาถึง ณ วันนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า มีการเคลื่อนไหวจากต่างประเทศสนับสนุนชนกลุ่มน้อยในการทำสงครามในเมียนมา และรวมถึงการสร้างกองทัพประชาชนมาป่วนสร้างความวุ่นวายในเมียนมาในขณะนี้

ล่าสุดมีภาพกองกำลังคะฉิ่น KIA ถือมิสไซล์ต่อต้านอากาศยานที่หน้าตาละม้ายคล้าย QW-18 หรือ Qianwei-18 ของจีนเสียด้วย

งานนี้หากคนเมียนมาคิดสักนิด!! น่าจะได้คำตอบว่า 'จีน' ให้การสนับสนุนกองทัพเมียนมาจริงหรือเปล่า หรือจีนจะเป็นผู้สนับสนุนทุกฝ่ายที่จีนได้ผลประโยชน์?

แต่เรื่องนี้ละไว้ก่อน เพราะประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องของขีปนาวุธจีน คือ มีการรายงานเมื่อหลายวันก่อนบนเว็บไซต์ของรอยเตอร์ว่า มีการฝึกวัยรุ่นเพื่อเป็นกองกำลังในการต่อต้านกองทัพเมียนมา จากนั้นไม่นานเท่าไรก็มีข่าวว่าคู่รัก LGBT ชื่อดังในเมียนมาเข้าเป็นกลุ่มกองกำลังต่อต้านกองทัพ ซึ่งมีการโพสคู่กับครูฝึกชาวต่างชาติ และนี่เองเป็นจุดที่เผยให้เห็นว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังงานนี้!!

 

ชาวต่างชาติในภาพนี้คือนาย David Eubank

เขาเป็นใครนะหรือ?

วันนี้เอย่าจะนำเรื่องราวของเขามาให้รู้จักกัน

David Eubank เกิดที่เท็กซัส แต่มาเติบโตมาในครอบครัวของมิชชันนารีที่อาศัยอยู่ประเทศไทย เขาเข้าเรียนที่ Texas A&M University และได้รับหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ในกองทัพสหรัฐฯ

เขาเป็นอดีตหน่วยรบพิเศษและเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนของกองทัพสหรัฐฯ และตอนนี้เป็นผู้ก่อตั้ง Free Burma Rangers (FBR) โดยมีภารกิจในการบรรเทาทุกข์และปลดแอกเหล่าชาติพันธุ์ที่ถูกกดขี่ พร้อมกับการเผยแผ่ศาสนาคริสต์

แต่เท่าที่ดู เหมือนองค์กรนี้จะแค่กล่าวอ้างว่าเป็นภารกิจของพระเจ้ามากกว่า เพราะแท้จริงอาจจะมีเบื้องหลังเบื้องลึกว่านั้น

เพราะเมื่อเอย่าเปิดดูเพจ https://www.freeburmarangers.org/ ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าน่าจะเป็นเพจคริสต์จักรทั่วไป แต่กลับพบว่าประเทศที่เพจนี้ให้ความสนใจกลับเป็นประเทศเมียนมา, ไทย, อิรัค, เคอร์ดิสถาน, ซีเรียและซูดาน ซึ่งจากประเทศที่เขาระบุไว้ในเพจจะเห็นว่าประเทศส่วนใหญ่เหล่านั้นสหรัฐฯ ได้เข้าไปมีบทบาทไม่ว่าจะเป็น อิรัค, ซูดาน หรือซีเรียและสุดท้ายที่ประเทศไทยเองก็เช่นกัน

แม้คำอ้างในเว็บไซต์จะบอกว่า สิ่งที่เขาทำเป็นภารกิจของพระเจ้า แต่สิ่งที่คนทั่วไปเห็นเหมือนพระเจ้าของชายผู้นี้ น่าจะเป็น 'ประเทศสหรัฐอเมริกา' หรือเปล่า?

เรื่องนี้ดูท่าจะเป็นคำถามที่สหรัฐอเมริกาต้องตอบให้ได้ว่า องค์กรนี้ คือ หนึ่งในกลุ่มองค์กรที่บ่อนทำลายประเทศต่าง ๆ ใช่หรือไม่? แล้วใครจะมาตอบเอย่ากันน้า


ที่มา: AYA IRRAWADEE

เพจ อูดาชี - Удачи - Udachi : Loving by Knowing Russia ได้โพสต์ถึงชีวิตในอนาคตอันใกล้ที่นำมาสู่ความปลอดภัยและมั่นใจด้านสุขภาพ เพราะทางเพจได้เปิดบริการที่จะพาทุกคนไปท่องเที่ยวและได้รับวัคซีนที่ดีที่สุดในรัสเซียว่า...

เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงจะมีคำถามว่า 'วัคซีนดี ๆ จะมาเมื่อไหร่?' และ 'จะต้องกักตัววนไปอีกกี่รอบ?'

อย่างไรก็ตาม ทางเลือกของวัคซีนในวันนี้เริ่มมากขึ้น อยู่ที่เราว่าพร้อมหรือยัง? ที่จะมีชีวิตที่ปลอดภัยและความมั่นใจด้านสุขภาพ เพราะทุกท่านจะได้รับวัคซีนที่ดีที่สุดในโลกไปพร้อม ๆ กับการเดินทางได้อย่างมีอิสระ

จากเพจ อูดาชี - Удачи - Udachi : Loving by Knowing Russia ได้โพสต์ถึงชีวิตในอนาคตอันใกล้ที่นำมาสู่ความปลอดภัยและมั่นใจด้านสุขภาพ เพราะทางเพจได้เปิดบริการที่จะพาทุกคนไปท่องเที่ยวและได้รับวัคซีนที่ดีที่สุดในรัสเซียว่า...

ครั้งแรกของประเทศไทยกับทริปวัคซีนระดับโลกภายใต้การดูแลของบริษัท อูดาชี จำกัด ลักซัวรี่ทัวร์รัสเซียอันดับหนึ่งและสถาบันการแพทย์ชั้นนำรัสเซีย

ในเวลานี้สิ่งที่ประเทศไทยต้องการที่สุดคือความมั่นคงในสุขภาพ และอิสระในการใช้ชีวิต

จะดีกว่าไหม หากคุณคือผู้นำที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและคนที่คุณรัก

การเดินทางครั้งใหม่ที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณสู่การเป็นผู้นำกระแสโลก ครั้งแรกกับการพลิกโฉมหน้าการเดินทางท่องเที่ยวในแบบเดิม ๆ สู่โลกใหม่แห่งการเดินทางที่อิสระมากกว่า ปลอดภัยมากกว่า และเหนือกว่าใคร

เดินทางสู่รัสเซียเพื่อท่องเที่ยวและรับวัคซีนสปุตนิควี (Sputnik V) วัคซีนที่มีประสิทธิภาพป้องกันโควิด-19 ได้สูงถึง 91.6% และป้องกันการป่วยที่รุนแรงได้ถึง 100%

มากไปกว่านั้นคุณ คือ ผู้กำหนดวันและเวลาได้เองโดยไม่ต้องรอคิวจนเหนื่อยอีกต่อไป

หากคุณมีเวลา 30 วัน ต่อจากนี้เราสัญญาว่าจะทำหน้าที่กุญแจสู่การเปลี่ยนชีวิตคุณให้มั่นคงทางสุขภาพและกลายเป็นผู้นำกระแสโลกที่แท้จริง

ออกไปเปลี่ยนโลกด้วยตัวคุณเองได้ตั้งแต่พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับทัวร์เพิ่มเติม: shorturl.at/ahvKT

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับวัคซีน Sputnik V: shorturl.at/qEOS8

ข้อมูลวารสารตีพิมพ์เชิงวิชาการทางการแพทย์เกี่ยวกับ Sputnik V: shorturl.at/jALM1

 

บริษัท อูดาชี จำกัด

ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว เลขที่ 11/07277

โทรศัพท์: 0852452458

Line: https://lin.ee/h9afsTM

Email: [email protected]

#วัคซีนโควิด19 #SputnikV #สปุตนิควี #สปุตนิคไฟว์ #เที่ยวรัสเซีย


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3363621620407396&id=305440592892196

ฉีดเถอะ ดีทุกค่าย!

วัคซีน ที่ผ่านการอนุมัติ จากองค์การอนามัยโลก และกระทรวงสาธารณสุข ของแต่ละประเทศ ‘ดีทุกค่าย’ ขอให้มั่นใจ ฉีดได้เลยไม่จำเป็นต้องเลือก

“ครูกัลยา” เตรียมเปิดหลักสูตร “ชลกร” รุ่น 1 มอบทุนเรียน-อยู่ฟรี นำร่อง ปวส. 5 วษท. มั่นใจหลักสูตรทันสมัยใช้ได้จริง หลังได้ผู้เชี่ยวชาญน้ำระดับสากลร่วมพัฒนาหลักสูตร 

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เตรียมเปิดหลักสูตร “ชลกร” รุ่น 1 นำร่องปวส. 5 วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) พร้อมมอบทุนเรียนฟรี-อยู่ฟรี เดินหน้าพลิกโฉมอาชีวะเกษตร หลังนักศึกษาอาชีวะสมัครเรียนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มั่นใจหลักสูตร “ชลกร” ทันสมัยใช้ได้จริง หลังได้ผู้เชี่ยวชาญน้ำระดับสากลทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมพัฒนาหลักสูตร เรียนจบสามารถต่อปริญญาตรีและเข้าทำงานในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์และโฆษกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณ พนิช) เปิดเผยว่าวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) เตรียมจะเปิดรับนักศึกษา ระดับ ปวส. ภายใต้โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ สาขาวิชา ช่างกลเกษตร สาขางาน การบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร (ชลกร) ประจำปีการศึกษา 2564 ถือเป็นหลักสูตร “ชลกร” รุ่นที่ 1 ซึ่งจะเปิดสอนในเดือนมิถุนายนนี้เป็นปีการศึกษาแรก โดยจะเริ่มสอนพร้อมกันใน 5 วิทยาลัยนำร่อง ประกอบไปด้วย

1.) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

2.) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี

3.) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยียโสธร

4.) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ และ

5.) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด และจะขยายไปทุกวิทยาลัยที่มีความพร้อมในปีการศึกษาต่อไป 

สำหรับหลักสูตร “ชลกร” นี้ได้รับความร่วมมือจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการน้ำในระดับสากลทั้งในประเทศและต่างประเทศมาร่วมช่วยกันพัฒนาหลักสูตรจนสำเร็จ โดยในรุ่นที่ 1 นี้ นอกจากนักศึกษาจะได้เรียนฟรี งดเว้นค่าหน่วยกิตตลอดหลักสูตร (2 ปี) แล้ว ยังมีที่พัก (หอพักในวิทยาลัย) ให้นักศึกษาทุกคนอยู่ฟรี (ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละวิทยาลัย) ขอเพียงมีความมุ่งมั่น ขยัน อาชีวะเกษตรและเทคโนโลยีพร้อมเปิดโอกาสให้กับทุกคน เรียกว่า เรียนฟรี อยู่ฟรี จนจบการศึกษา

“คุณหญิงกัลยา ย้ำเสมอว่าการเกษตรเป็นหัวใจของแผ่นดิน และ “น้ำ” นับเป็นต้นทางแห่งการเกษตรและชีวิตของคนไทย ไม่ว่าบ้านเมืองเราจะเผชิญอยู่ในวิกฤตและอยู่ในยามปกติสุขก็ตาม อีกทั้ง “น้ำ” ยังเป็นสายธารแห่งความยั่งยืนของชีวิต เราจึงต้องสร้าง “ยุวชลกร” ที่มีองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำ เมื่อชลกรเกิดเต็มพื้นที่ทั่วประเทศ ประเทศชาติก็จะเข้มแข็งและเติบโตยั่งยืน” นางดรุณวรรณ กล่าว

โดยหลักสูตร “ชลกร” รุ่นที่ 1 จะเปิดรับสมัครนักศึกษา ระดับ ปวส. สาขาวิชาช่างกลเกษตร สาขางานบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร (ชลกร) ภายใต้โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ ประจำปีการศึกษา 2564 โดยผู้สมัครจะได้รับการสนับสนุนดังนี้ 1.ได้รับการสนับสนุนค่าเล่าเรียน โดยได้รับการงดเว้นค่าหน่วยกิตตลอดหลักสูตร 2 ปี” จากดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช 2.ได้รับสวัสดิการหอพักฟรี ภายในวิทยาลัย โดยจะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2564

ทั้งนี้เมื่อนักศึกษาเรียนจบหลักสูตรชลกร แล้วสามารถศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ในสาขาการจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร, สาขาวิศวกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร, สาขาเทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรอัตโนมัติ และสามารถสมัครเข้าทำงานในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้ ถือเป็นการพลิกโฉมการศึกษาอาชีวะเกษตร ซึ่งตลอดระยะเวลาที่คุณหญิงกัลยา ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการซึ่งกำกับดูแลอาชีวะเกษตรและเทคโนโลยี มีการผลักดันนโยบายส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top