Friday, 13 June 2025
NEWS FEED

“เกรซ กาญจน์เกล้า" ร้องดีอีเอส ปิดเพจ อ้างชื่อลวงแฟนคลับลงทุนทิพย์ หลายล้านบาท 

“ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส รับเรื่องร้องเรียนจากนักแสดงชื่อดัง “เกรซ กาญจน์เกล้า” ถูกแอบอ้างชื่อเปิดเพจหลอกลวงแฟนคลับ หลอกลวงร่วมลงทุนธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์ทิพย์ ล่าสุดแจ้งเฟซบุ๊กเร่งปิดกั้นเพจปลอม และประสานงานตำรวจแกะรอยเส้นทางบัญชีโอนเงินมิจฉาชีพ กร้าวคดีนี้ผิดทั้ง กม.อาญา พ.ร.บ.คอมพ์ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ และกฎหมาย PDPA

วันนี้ (8 มิ.ย. 65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกับ พ.ต.อ.ทำนุรัฐ คงมั่น รองผู้บังคับการ กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (รองผบก.สอท.1) แถลงข่าว "เกรซ  กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า นักแสดง เดินทางมายื่นเรื่องต่อรมว.ดิจิทัลฯ พร้อมแจ้งความออนไลน์ กรณีถูกปลอมเฟซบุ๊ก” พร้อมเรียกร้องปิดเพจปลอมทันที 

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ นักแสดงชื่อดัง นางสาวกาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า (เกรซ กาญจน์เกล้า) เดินทางมาร้องเรียนกรณีถูกแอบอ้างชื่อและรูปภาพ ไปสร้างเพจ 'เกรซ กาญจน์เกล้าFc!' และมีพฤติกรรมจ่ายเงินค่าโปรโมทโพสต์ (Boost Posts) กับเฟซบุ๊ก ให้มียอดคนจำนวนมากเห็นโพสต์ และหลอกลวงมาร่วมลงทุนทำธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์กับเกรซ มีผู้เสียหายจำนวนมาก ขณะที่ตัวนักแสดงก็ได้รับผลกระทบจากการเสียชื่อเสียงด้วย

โดยหลังรับทราบว่ามีมิจฉาชีพนำชื่อไปอ้างเปิดเพจ เมื่อวานนี้ (7 มิ.ย. 65) ทางเกรซ กาญจน์เกล้า ได้โพสต์ชี้แจงแฟนคลับว่า “เนื่องด้วยเกรซได้รับทราบข้อมูลจาก พี่บุ๋ม ปนัดดา ว่ามีบุคคลแอบอ้างสร้างเพจ 'เกรซ กาญจน์เกล้าFc!' โดยนำเพจดังกล่าวไปบูสท์โพสต์หลอกให้ร่วมลงทุน หลายล้านบาท โดยอ้างว่าทำธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์กับเกรซ จนมีผู้เสียหายหลายรายได้นำเรื่องราวทั้งหมดมาแจ้งให้ทางทีมพี่บุ๋มทราบ ทั้งนี้หลังทราบเรื่องเกรซไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงขอชี้แจงว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุการณ์นี้ รวมถึงจะดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงที่สุดค่ะ”

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ล่าสุดได้ประสานกับทางเฟซบุ๊ก เพื่อทำการปิดกั้นเพจปลอมดังกล่าวแล้ว ขณะเดียวกัน เตรียมใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุด โดยพฤติกรรมของมิจฉาชีพดังกล่าว อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 (2) และมาตรา 343 วรรคสอง กระทำความผิดฐานฉ้อโกง แสดงตนเป็นคนอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท 

มาตรา 14 (1) แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ “โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา” ผู้ใดกระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

และมาตรา 16 ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท

รวมทั้ง อาจเข้าข่ายฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ มาตรา 27  (2) เผยแพร่งานลิขสิทธิ์ต่อสาธารณชนโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสี่ปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงแปดแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความรับผิดทางทางแพ่งมาตรา 77 พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

3 สาวพี่น้องอินเดียยอมฆ่าตัวตาย หนี 3 สามี ‘ทารุณ-ทุบตี-รีดไถ’

พี่สาวน้องสาวชาวอินเดีย 3 คน ฆ่าตัวตาย หนีการทารุณกรรมและความรุนแรงในครอบครัวของฝ่ายสามี ที่เป็น ‘พี่ชายน้องชาย 3 คน’ ซึ่งอาศัยในบ้านเดียวกัน

กลายเป็นอีกคดีที่สร้างความสะเทือนใจแก่สังคมอินเดียอย่างมาก และกำลังปลุกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงค่านิยม ‘ปิตาธิปไตย’ (สังคมชายเป็นใหญ่) ที่ครอบครัวฝ่ายหญิงต้องจ่ายสินสอดมหาศาลให้กับฝ่ายชาย เพื่อให้บุตรสาวออกเรือนอีกครั้ง

โดยเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อ 3 สาวชาวอินเดีย ที่มีชื่อว่า คาลู, คามเลช และ มัมตา นามสกุล ‘มีนา’ พวกเธอแต่งงานกับพี่ชายน้องชาย 3 คน ที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน

ครอบครัวฝ่ายหญิงจ่ายสินสอดมหาศาลให้ครอบครัวฝ่ายชาย ตามธรรมเนียมนิยมอินเดีย แต่เมื่ออาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันแบบ 3 คู่สามีภรรยาแล้ว ฟากฝ่ายหญิงทั้ง คาลู, คามเลช และ มัมตา กลับถูกทำร้ายร่างกาย ทารุณกรรม จากทั้งตัวสามีของพวกเธอ และครอบครัวของฝ่ายชายเสมอมา ขณะเดียวกัน ฝ่ายชายก็ยังเรียกร้องขอเงินเพิ่มจากครอบครัวฝ่ายภรรยา เมื่อให้ไม่ได้ ก็ลงไม้ลงมือกับภรรยาของตนเองอีกด้วย

ภายใต้ความรุนแรงดังกล่าวที่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้อย่างต่อเนื่อง ในระหว่างที่ คาลู ได้มีลูกชายวัย 4 ขวบ 1 คน และลูกวัยทารก 1 คน ขณะที่คามเลช และมัมตาเอง ก็กำลังตั้งครรภ์นั้น ก็ได้เกิดเรื่องน่าเศร้า เมื่อวันหนึ่งมีคนพบศพของ 3 สาวพี่น้อง รวมถึงลูกๆ ของเธอในบ่อน้ำ พร้อมด้วยจดหมายลาตาย ซึ่งโพสต์ผ่านข้อความใน WhatsApp (แอปพลิเคชันยอดนิยมในอินเดีย) ระบุว่า... 

“เราไม่อยากจะตาย แต่ความตายยังดีกว่าต้องทนการทารุณของพวกเขา” 
“พ่อและแม่สามี ผลักดันให้เราเลือกทางตาย และเราขอตายพร้อมกัน (3 พี่น้อง) ดีกว่า ต้องตายทั้งเป็นอยู่ทุกวัน” 

โซเชียลแชร์สนั่น #ไม่เอาพรบคู่ชีวิต หนุนสมรสเท่าเทียมให้สิทธิ์ทุกรักเท่ากัน

กลายเป็นข้อพิพาทในโลกโซเชียลขึ้นมาทันที ภายหลังจาก แฮชแท็ก #ไม่เอาพรบคู่ชีวิต ได้รับการพูดถึงอย่างมากในหมู่ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะทวิตเตอร์ในไทยเมื่อวันอังคาร (7 มิ.ย.) ต่อเนื่องมาถึงวันพุธ (8 มิ.ย.) เพื่อแสดงการคัดค้านความพยายามของรัฐบาลในการผลักดันร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิตเพื่อใช้กับคู่รักกลุ่มเพศหลากหลาย

การแสดงเสียงคัดค้านนี้เกิดขึ้นหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันอังคาร (7 มิ.ย.) เห็นชอบให้กระทรวงยุติธรรมนำร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต ดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่พรรคก้าวไกลผลักดัน หรือที่เรียกกันว่า ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม กำลังกลับเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ในวันพุธ (8 มิ.ย.)

กระแสในโซเชียลมองว่า สำหรับคู่หลากหลายเพศที่ต้องการสร้างครอบครัว ไม่ได้หยุดที่สิทธิประโยชน์ของคนสองคนเท่านั้น แต่หมายถึงการมีบุตร มีคนที่เรารักเพิ่มเข้ามาในครอบครัวเล็กๆ นั้นด้วย 

แต่ พ.ร.บ.คู่ชีวิต ริดรอนสิทธิ์ในข้อนี้ ซึ่งสำคัญอย่างมาก เนื่องจากในปัจจุบัน พ.ร.บ.อุ้มบุญ ที่ควบคุมการเข้าถึงบริการด้านอนามัยเจริญพันธุ์อนุญาตให้เฉพาะคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น และจะมีสิทธิ์มีบุตรได้ด้วยเทคโนโลยีเหล่านั้น คู่ชีวิตไม่มีสิทธิ์ 

ฉะนั้นถ้ามีเพียง พ.ร.บ. คู่ชีวิต สิ่งที่พ่อแม่หลากหลายเพศมักจะถามไถ่เข้ามาเสมอและเป็นความต้องการเป็นสิทธิ์ในฐานะมนุษย์และพลเมืองคือการมีบุตร ก็จะไม่สามารถทำได้ และยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายยสำหรับพวกเขา จะทำได้เพียงการรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงเท่านั้น

‘ทนายแค้ง’ ไขข้อสงสัยปมฟ้องหมิ่นถ้อยคำหยาบ ชี้ หากไม่ระบุในคำฟ้อง ไม่อาจนำสืบในศาลได้

นายพิมพ์พล แค้ง แสงเมือง ทนายความ ได้โพสต์ให้ความรู้กรณีหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำไม่เหมาะสม โดยระบุถึงคำว่า “อีเหี้ย” ซึ่งเป็นถ้อยคำแสดงการหมิ่นประมาทก็จริง แต่เมื่อไม่ได้ระบุไว้ในคำฟ้อง ก็จะนำมาสืบให้ศาลรับฟังในชั้นพิจารณาไม่ได้

โดยนายพิมพ์พล ได้อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1975/2562 ที่ระบุว่า

กรณีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) เป็นการเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณด้วยการหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรงนั้น มีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องระบุมาในคำฟ้องให้ชัดเจนว่า

- จำเลยที่ 1 ผู้รับกล่าวถ้อยคำอย่างไร เมื่อใด ต่อใคร เพื่อเป็นข้อที่จะให้ศาลพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขที่จะเรียกถอนคืนการให้ได้หรือไม่ 

- ลำพังแต่การบรรยายว่าจำเลยที่ 1 ด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายอีกหลายครั้ง โดยไม่มีรายละเอียดว่า ด่าด้วยถ้อยคำว่าอย่างไร เหตุเกิดเมื่อใด ซึ่งจำเลยทั้งสามก็ให้การต่อสู้ว่า ฟ้องในส่วนนี้เคลือบคลุม 

'ชัชชาติ' ผู้ว่ากรุงเทพฯ หารือการขับเคลื่อนงานด้านคนพิการ (กรุงเทพมหานคร)

(7 มิ.ย.65) ณ ห้องประชุมรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) 'นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์' ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารหน่วยงานราชการกรุงเทพมหานคร เปิดการประชุมหารือการขับเคลื่อนงานด้านคนพิการของกรุงเทพมหานคร เพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านคนพิการให้ได้รับสิทธิและสวัสดิการ รวมถึงส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

‘ไก่ ภาษิต’ โดนทัวร์ลงยับแบบไม่ทันตั้งตัว หลังโพสต์ฟ้องผู้ว่าฯ ชัชชาติ ‘รถติดไม่ไหวแล้ว’

เจอคอมเมนต์ถล่มรัว ๆ แบบไม่ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียว สำหรับผู้ประกาศข่าวคนดัง ไก่ ภาษิต อภิญญาวาท หลังเจ้าตัวโพสต์เฟซบุ๊กภาพยืนถือหมวกกันน็อก พร้อมแคปชั่นอีกหนึ่งเสียงร้องเรียนปัญหารถติดถึงผู้ว่าฯ ชัชชาติ ด้วยว่า ท่านผู้ว่าครับ รถติดไม่ไหวแล้วครับ [ by @toonparinda ]

งานนี้เลยโดนดราม่าทัวร์ลงคอมเมนต์รัว ๆ อาทิ เดินค่ะ แซะเก่งไม่น่ารักเลยค่ะ , ผ่านมา 8 ปี รถไม่เคยติด หรือไม่เคยออกจากบ้าน , พึ่งรู้หรอ คนที่อยู่มา8ปียังแก้ไม่ได้เลย , ตอนอศว.เป็นผู้ว่า พี่เคยออกมาโพสต์แบบนี้มั้ยคะ แหมม รู้เลยนะคะ , รถบ้านพี่เพิ่งติดหรอค้าาา , 8 ปี รถไม่ติดครับ

พึ่งมาติด 2 อาทิตย์นี้ตอนได้ผู้ว่าฯคนใหม่ เป็นต้น

แต่ภายหลังเจ้าตัวได้เข้ามาอธิบายเพิ่มเติมว่า เข้าใจผิดกันนะครับ ช่วงนี้ฝนตกรถติด เลยหันมาใช้มอเตอร์ไซค์แทน ที่ผ่านมารถก็ติดตลอดแต่ผมมีความหวังว่าอาจารย์ชัชชาติจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้แน่นอนและเพิ่งอ่านข่าวว่าหนึ่งในข้อร้องเรียนอันดับต้น ๆ คือรถติด จึงขอเป็นอีก1เสียงร้องเรียนครับ และที่สำคัญไม่ได้เป็นสลิ่มแน่นอนครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02ZDm7zebNMb5Z26No8sPjwuHvz7pkpCwnmk4szyETXhG52BWopfvjdfPzm4spQcvRl&id=100044273507560

ทูตสหรัฐฯ วอนรัสเซีย ‘อย่าเพิ่งสั่งปิดสถานทูตมะกัน’ ชี้!! 2 ชาติยังต้องคุยกัน แม้ความสัมพันธ์จะเลวร้าย

จอห์น เจ. ซัลลิแวน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงมอสโก เรียกร้องรัฐบาลรัสเซียว่าอย่าได้สั่งปิดสถานทูตสหรัฐฯ เป็นอันขาด แม้วิกฤตการณ์ในยูเครนจะทำให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่แค่ไหนก็ตาม พร้อมย้ำว่าอย่างไรเสีย 2 ชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์รายใหญ่ที่สุดของโลกยังจำเป็นต้องพูดคุยกัน

ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน เอ่ยถึงการส่งทหารรุกรานยูเครนว่าเป็น 'จุดเปลี่ยน' ในประวัติศาสตร์รัสเซีย และเป็นการปฏิวัติต่อต้านการครองความเป็นใหญ่ (Hegemony) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้นำเครมลินบอกว่าใช้อิทธิพลข่มเหงรัสเซียมาตลอดตั้งแต่สหภาพโซเวียตล่มสลายเมื่อปี 1991

ฝ่ายยูเครน และบรรดารัฐตะวันตกที่ให้การสนับสนุนอ้างว่า นี่คือการต่อสู้เพื่อให้ยูเครนรอดพ้นจากแผนยึดดินแดนเยี่ยงนักล่าอาณานิคมซึ่งได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปแล้วนับพันคน ทำให้ชาวยูเครนอีกกว่า 10 ล้านต้องพลัดถิ่นฐาน และทำให้เมืองต่าง ๆ ของยูเครนกลายสภาพเป็นที่ดินรกร้าง (Wasteland)

ซัลลิแวน ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตที่ได้รับการแต่งตั้งโดยอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว TASS ว่า วอชิงตันและมอสโกไม่ควรจะตัดสัมพันธ์ทางการทูตกันง่าย ๆ

“เราจะต้องคงไว้ซึ่งความสามารถในการพูดคุยกันเสมอ” เขากล่าว

ทูตอเมริกันผู้นี้ยังฝากเตือนไปยังชาติตะวันตกว่าไม่ควรที่จะถอดหนังสือของ เลโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) นักเขียนชาวรัสเซียออกจากชั้นวาง และไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธการบรรเลงเพลงของ 'ปิออตร์ ไชคอฟสกี' (Pyotr Tchaikovsky) ด้วย

อย่างไรก็ดี รัสเซียประกาศแล้วว่า “การเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ” กับตะวันตกในยุคหลังสหภาพโซเวียตได้จบสิ้นลงแล้ว และหลังจากนี้มอสโกจะหันไปขยายความร่วมมือกับมิตรประเทศในซีกโลกตะวันออก

‘สเตฟานี แมตโต’ สาวสวยผู้อัด ‘ตด’ ใส่โหลขาย เปิดไอเดียใหม่ ขายเหงื่อที่ไหลจากหน้าอก 

แม้จะฟันรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการขายตดขวดละ 1,000 ดอลลาร์ไปก่อนหน้านี้ แต่สาววัย 31 ปี จากรัฐคอนเนตทิคัต ก็จำต้องเลิกธุรกิจผายลมไปอย่างน่าเสียดาย หลังจากที่เธอตั้งหน้าตั้งตากินอาหารจำพวกถั่วและไข่เพื่อผลิต ‘แก๊ส’ มากเกินไปจนเข้าโรงพยาบาล

แต่แฟนๆ ที่เป็นห่วง สเตฟานี ก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะตอนนี้เธอ กลับมาแข็งแรงดีแล้ว แถมยังออกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่เป็น ‘เหงื่อ’ จากหน้าอกที่เธอลงทุนไปนั่งตากแดดวันละหลายชั่วโมงเพื่อผลิตมัน

สเตฟานี เล่าว่า ถ้าวันไหนแดดดีๆ เธอสามารถผลิตเหงื่อใส่ขวดโหลได้มากถึง 10 ขวด และขายในราคาขวดละ 500 ดอลลาร์ (ราว 17,300 บาท) ซึ่งทำให้เธอมีรายได้เหนาะๆ วันละเกือบ 2 แสนบาท

“ฉันชอบนั่งเล่นริมสระว่ายน้ำอยู่แล้ว แต่มันก็เป็นงานที่หนักนะ อย่าคิดว่าหมูๆ” เธอให้สัมภาษณ์กับสื่อ Jam Press

“หน้าอกฉันใหญ่ขนาดนี้ ถ้าแฟนๆ ได้ดมกลิ่นหรือเลียเหงื่อของฉัน ก็จะทำให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดฉันมากขึ้น”

‘ครูปรีชา’ ไม่จบ! ลุยฟ้องแพ่ง ‘ลุงจรูญ’ ต่อ แม้ศาลฎีกาชี้ขาดแล้ว ลั่น ‘ความจริงก็คือความจริง’

‘ครูปรีชา’ เดินหน้าฟ้องคดีแพ่ง ‘หมวดจรูญ’ต่อ พร้อมเผยมีหลักฐานสำคัญ ที่ชี้ชัดว่าเป็นเจ้าของลอตเตอรี่ 30 ล้านบาท ย้ำวลีเดิม ‘ความจริงก็คือความจริง’

ภายหลังจากศาลฎีกา พิพากษายกฟ้อง คดีที่ครูปรีชา ใคร่ครวญ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องร้อยตำรวจโทจรูญ วิมูล ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ และรับของโจร คดีลอตเตอรี่ 30 ล้านบาท ที่ยื่นฟ้องร้องตั้งแต่ปี 2560 แล้วนั้น

ล่าสุด ครูปรีชา กล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกหนักใจใดๆ ที่ทีมทนายของหมวดจรูญ จะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับตนและกลุ่มพยานของตน แม้คดีนี้ศาลจะมีคำพิพากษายกฟ้องหมวดจรูญ แต่ตนเองซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ก็ไม่ได้ถือว่าแพ้คดี เพราะคำพิพากษาศาล ก็ยังไม่ได้ระบุว่าสลากฯชุดที่ถูกรางวัลเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร ซึ่งตนก็จะพิสูจน์ความจริงต่อด้วยการฟ้องคดีแพ่ง เพื่อพิสูจน์สิทธิความเป็นเจ้าของของสลากฯชุดที่ถูกรางวัล เนื่องจากเป็นการต่อสู้และใช้สิทธิตามกระบวนการของกฎหมาย ซึ่งตนยืนยันว่า ตนเองและทีมทนายความมีพยานหลักฐานอีกหลายชิ้นที่พบในภายหลัง และไม่ได้นำเข้าสู่กระบวนการต่อสู้พิจารณาคดีในชั้นศาลที่ผ่านมา ซึ่งก็จะนำมาใช้ในการฟ้องแพ่งเพื่อพิสูจน์สิทธิการครอบครองสลากฯชุดที่ถูกรางวัลดังกล่าวต่อไป

กองทัพบก ไม่ผ่า GT200 แล้ว เตรียมคืนงบ 2- 3 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2565  ที่สโมสรกองทัพบก วิภาวดี พล.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ เสนาธิการทหารบก ในฐานะ โฆษกกองทัพบก ได้เปิดเผยถึง กรณีที่มีการอภิปรายในการตั้งงบประมาณเพื่อการตรวจสอบเครื่องตรวจจับสารเสพติด อาวุธ และวัตถุระเบิด (GT 200 Detection Substances) ของกองทัพบกว่า  ขณะนี้สิ้นสุดแล้วไม่ต้องผ่าพิสูจน์

เมื่อถามว่าไม่ต้องผ่าไม่ต้องผ่าเครื่องGT200 แล้ว ใช่หรือไม่ พล.อ.สันติพงษ์ กล่าวว่า “ไม่ต้องผ่าแล้ว”

“ยืนยันว่างบประมาณปี 66 ไม่ได้ตั้ง ในส่วนงบประมาณปี2565 ก็ไม่ต้องใช้ เราก็ต้องคืน ประมาณ 2-3 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการผ่าพิสูจน์ไปแล้ว 320 เครื่อง 

เมื่อถามว่าได้มีการทำหนังสือถึงอัยการสูงสุดเพื่อเพื่อเป็นลายลักษณ์อักษรว่าไม่ต้องผ่าเครื่องGT200 แล้วใช่หรือไม่ พล.อ.สันติพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้รอหนังสือตอบรับจากอัยการสูงสุดอยู่

“ยืนยันกองทัพบกจะใช้งบประมาณที่มาจากภาษีประชาชนอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ” พล.อ.สันติพงศ์ กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top