Thursday, 5 June 2025
NEWS FEED

'บิ๊กแก้ว' ประธานจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565​ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล

เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2565 ที่กองบัญชาการกองทัพไทย​ (บก.ทท.) พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565​ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจนเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสมพระเกียรติ ซึ่งตลอดระยะเวลา ที่ผ่านมาพระองค์ทรงอุทิศพระวรกายในการประกอบพระราชกรณียกิจต่าง ๆ นานัปการ ทั้งในด้านการศึกษา ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ด้านสังคมสงเคราะห์ ด้านการต่างประเทศ ด้านเกษตรกรรม ด้านการศาสนา ด้านการกีฬา ด้านการทหาร และด้านการบิน

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 

'ศิษย์เก่าราชภัฏ' เวทนา!! สังคมไทยยังชอบมองคนไม่เสมอกัน ยัน!! 'มูลค่าความเป็นคน' ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถาบันการศึกษา

"เรียนจบราชภัฏ...แล้วทำไมหรือ?"

และในโลกแห่งความเป็นจริง “คนเราไม่เท่ากัน” แต่ถ้าเราจะเป็นสังคมที่คนเท่ากัน ต้องหัด “มอง” คนที่แตกต่าง ไม่ว่าจะการศึกษา จุดยืนการเมือง และเพศวิถี “ให้เท่ากัน” 

ถ้อยคำกล่าวที่เป็นทั้งคำถาม และคำตอบสุดแสนน่าชวนคิดในตัวนี้ มาจาก 'ตอง' ทศพล ชัยสัมฤทธิ์ผล นักข่าวมากประสบการณ์ ผู้อยู่ในแวดวงสื่อมานานร่วม 10 ปี เคยร่วมงานมาแล้วกับสื่อทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลัก, สื่อทีวีดิจิทัล และสื่อออนไลน์ จบราชภัฏสวนดุสิต จบปริญญาโท International Journalism (เกียรตินิยมอันดับ 1), Cardiff University, แคว้นเวลส์ สหราชอาณาจักร โดยเขาได้โพสต์เป็นข้อคิดถึงกระแสดรามาราชภัฏในขณะนี้ลงเฟซบุ๊กไว้อย่างน่าสนใจ ว่า...

อ่านประเด็นที่กลายเป็นข้อถกเถียงในโซเชียลมีเดียมา 2 วันแล้ว เรื่องการ “มองต่ำ” นักศึกษาราชภัฏ ถ้าเป็นสมัยก่อน มันคงทริกเกอร์ความรู้สึกบางอย่างในใจผมนะ

แต่เวลานี้ สิ่งที่ผมรู้สึกคือ “เวทนา” สังคม และปัจเจกบางกลุ่ม ที่ยังยึดติดกับอันดับชั้น และสถาบันอย่างหน้ามืดตามัวแบบที่คนชอบเรียก “สลิ่ม” ได้ไหม กรณีนี้ สลิ่มสถาบันศึกษา?

คุณค่าเหนือสถาบัน…จะมีจริงได้ไหมในไทย?
(รูปสมัยเรียนจบใหม่ ๆ ปี 2554)

—-เรื่องราวของผม—-

ผม “เลือก” เรียนราชภัฏสวนดุสิตครับ (ปัจจุบันเหลือแค่สวนดุสิต) ด้วยเหตุผลว่า สอบติด มศว. แต่กำลังทรัพย์ทางบ้านไม่อำนวย ทั้งค่าหอ และอื่น ๆ แม้จะเรียน รชภ.ดุสิต ผมก็ติดหนี้ กยศ. นะ

พูดถึงหลักสูตร โอเค มันอาจไม่สูงส่งเน้นวิชาการเหมือนมหาวิทยาลัยต้น ๆ ของไทย แต่ไม่ใช่ “เรียนเหมือนไม่มาเรียน” ทุกหลักสูตรมันมีคุณค่าของมันครับ

ผมก็รู้ว่า องค์ความรู้ที่ได้มันขาด ๆ แต่ความรู้มันไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียนนะครับ ผมจึงเรียกตัวเองเหมือน “บัณฑิตของโลกและประสบการณ์” เพราะอาจารย์ของผมไม่ใช่แค่คนจุฬาฯ หรือ ธรรมศาสตร์ หรือ ราชภัฏ แต่คือมนุษย์ทุกคนที่ผมได้พบเจอ หนังสือแต่ละเล่มที่ผมลุ่มหลง และประสบการณ์ตรึงใจที่ผมได้สัมผัส

คอร์สนอกแคมปัสของผมคือ:
1. สอนพิเศษ Kumon ได้แบบเรียนอังกฤษมาเยอะเลย
2. ร้านอาหารที่ตรอกข้าวสาร ได้เอาวิชาไปใช้จริง
3. พนักงานโรงแรม ได้เรียนการบริการ โดยไม่ต้องเข้าหลักสูตรการโรงแรม
4. พนักงาน KFC เป็นรายได้หลักช่วงเรียน

ทำให้ตอนเรียนผมหาเงินได้แล้วเดือนละ 13,000 บาท (เกือบค่าแรงขั้นต่ำเลยนะ) ตอนจบออกมา ผมมีเงินเก็บกว่า 200,000 บาท เพื่อตั้งต้นชีวิตการทำงาน แต่ก่อนหน้านั้น ผมลงทุนเกือบแสนไปหาประสบการณ์ Work and Travel ที่ลาสเวกัสมาก่อนด้วย 3 เดือนกว่า จนสั่งสมความมั่นใจและประสบการณ์พอควร

—-ความเห็นต่อเรื่องนี้—-

เห็นคนพูดกันถึง “โอกาส” “ความเท่าเทียม” “คนไม่เท่ากัน” ต่าง ๆ ใช่ครับ Objectively ถ้าสังคมไทยและเชิงนโยบายมันมีได้ จะเป็นเรื่องดี

แต่ในชีวิตจริง “คนเราไม่เท่ากันหรอกครับ” แต่ถ้าเราจะเป็นสังคมที่คนเท่ากัน มันเริ่มจากพวกเราที่ “มอง” คนที่แตกต่าง ไม่ว่าจะการศึกษา จุดยืนการเมือง และเพศวิถี “ให้เท่ากัน” 

มานอนรอเปลี่ยนนายกฯ หรือรมว. การศึกษา มันก็แปลว่า พวกคุณดีแต่พูด และนอนรอความเปลี่ยนแปลงมาถึงตัว ทั้งที่ในห้วงสามัญสำนึก “คุณก็ยังเหยียดคนอื่น” อยู่ดี

ส่วนเด็กราชภัฏ ถ้าเราเอาคำพูดทับถมจากคนแปลกหน้า มาตีตราตัวเองว่า “เรามันมาตรฐานต่ำ” คุณจะยอมหรือ? สำหรับผม คุณค่าสถาบัน มันไม่เท่า “มูลค่าความเป็นคนหรอก” อยู่ที่ว่าเรามอบสิ่งดี ๆ ให้สังคม และคนที่รักได้แค่ไหน เราภูมิใจกับความเป็นตัวเอง ณ ปัจจุบันแค่ไหน…เชิดชูทุกความสำเร็จ ปราบปลื้มทุกก้าวย่าง แต่ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใครหรอก

คุณตาขายกระเพาะปลา ขาดทุนเกือบปิดร้าน โชคดีได้พลังโซเชียลช่วยพลิกชีวิตคนแห่อุดหนุน

หนุ่มโพสต์โซเชียล คุณตาขายกระเพาะปลาเกือบปิดร้านเพราะขาดทุนไม่มีลูกค้า ได้พลังโซเชียลช่วยพลิกชีวิตคนแห่อุดหนุน

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า Warakron Sangsupon ได้โพสต์เรื่องราวของคุณตาท่านหนึ่งที่ขายกระเพาะปลาอยู่ที่ ตลาดน้ำโท้ง ใน อ.หางดง จังหวัดเชียงใหม่ แต่ไม่มีลูกค้าเลย จึงตัดสินใจโพสต์ลงบนเฟซบุ๊ก จนกระทั่งเกิดกระแสพลังโซเชียลช่วยร้านของคุณตาให้พลิกฟื้นอีกครั้ง โดยเรื่องราวทั้งหมดมีดังต่อไปนี้ 

เรื่องมีอยู่ว่าวันนี้ไปกินข้าวที่กาดน้ำโท้ง หางดง พอกินเสร็จก็เดินขึ้นรถไปรอแฟน สักแปปนึงแฟนเดินมา พร้อมถือกระเพาะปลามา 1 ถุง ละบอกว่า เดินผ่านหน้าร้าน เห็นตากับยาย 2 คนนั่งขาย แต่ไม่มีลูกค้าเลย เลยซื้อมาถุงนึง พอแฟนผมพูดจบ เราก็มองหน้ากัน แล้วว่าไปอุดหนุนคุณตามั้ย อย่างน้อยก็ซื้อไปฝากพนักงานที่ร้านเรา ผมก็รีบลงจากรถไป พอไปถึงหน้าร้าน ก็ตามที่แฟนผมเล่า 

ภาพที่เห็นคือ มีตากับยาย 2 คนนั่งรอลูกค้า ในขณะที่ร้านอื่น ยังพอได้ขายกันบ้าง จากนั้นผมก็บอกคุณตาครับ ผมเอากระเพาะปลา 10 ถุงครับ คุณตารีบลุก แล้วเหมือนรน ๆ นิดนึง อาจจะไม่ค่อยเจอใครมาสั่งเยอะขนาดนี้ ก็เลยบอกคุณตาไม่ต้องรีบนะ ผมรอได้ครับ ค่อย ๆ ทำ แต่ผมขอโอนหรือ Scan จ่ายได้มั้ยครับ

คุณตาบอกได้ครับ แล้วก็หยิบมือถือออกมา เข้า App ธนาคาร ตอนแรกเราก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็นึกว่าทำเป็น สักพักยื่นมือถือมา บอกช่วยดูเลขบัญชีให้หน่อยได้มั้ย ตาทำไม่เป็น ผมก็บอกได้ครับผมดูให้ #จุดพีคมันอยู่ตรงนี้ พอจะเข้าดูเลข บช. เพื่อโอนเงินให้ตา ผมกลับไปเห็น อันนี้ไม่ได้ตั้งใจนะ แต่มันโชว์ขึ้นมา ขอโทษตาด้วยนะครับ เงินใน บัญชีตามีอยู่ 3x บาท 

ใจผมเต้นทันที ความคิดทุกอย่างเปลี่ยน จากตอนแรก ผมคิดจะซื้อแค่ 10 ถุง ตอนนี้ผมเลยคืนมือถือให้ตาไป บอกตาผมไม่โอนละครับ เปิดกระเป๋าเงินตัวเองดู ว่ามีเงินสดสักเท่าไหร่ ก็ได้มาจำนวนนึง เลยบอกตาว่า งั้นเอางี้ละกัน ผมเหมาตานะวันนี้ แต่ผมเอาแค่ 10 ถุง ที่เหลือตาแจกให้ใครก็ได้นะครับ ถือว่าผมอุดหนุนตา และเราได้ทำบุญร่วมกัน

ตามือสั่น ดีใจ ตื่นเต้น ผมเองก็ตื่นเต้น ใจพองโตมาก หลังจากนั่งรอตาใส่กระเพาะปลา ก็ได้พูดคุยสอบถามกันนิดหน่อย คุณตาอายุ 83 ปีแล้ว มีวิชาติดตัวมาจากเยาวราช คือกระเพราะปลา ขายมาได้ 9 เดือน แต่เดือนนี้จะขายเป็นเดือนสุดท้ายแล้ว เพราะขาดทุน 

ตาบอกว่าอาหารแบบนี้ ไม่ค่อยเป็นที่นิยม ต้องคนที่ชื่นชอบจริงๆ ถึงจะมาซื้อกิน ผมฟังละผมยังจุกอก เพราะอะไรอ่ะเหรอ ก็เพราะผมก็คือพ่อค้าไง ผมก็เคยผ่านมา ทุกวันนี้บางทีก็เป็น นั่งรอลูกค้า ดูคนอื่นเค้าขายได้ ลูกค้าน้อย บางทีขายไม่ได้ก็มี แต่เอาเหอะครับ ผมยังมีแรง ยังอายุน้อยกว่าคุณตาเยอะ ผมยังพอหาเงินได้ ที่ผมช่วยคุณตาวันนี้ อาจจะไม่ได้มากมาย แต่ถือว่าเป็นกำลังใจให้กัน สำหรับคนอาชีพเดียวกัน สุดท้ายนี้ วันนี้ผมมีความสุขมาก ใครสนใจกระเพราะปลา ลองไปอุดหนุนคุณตาได้นะครับ ขายที่ตลาดน้ำโท้ง หางดง หรือจะสั่งสำหรับจัดเลี้ยงก็ได้นะครับ ถือว่าช่วยอุดหนุนคุณตาครับ ขอบคุณคุณตานะครับที่เป็นกำลังใจดี ๆ ให้ผมเช่นกัน ในบางอารมณ์ผมคิดว่าผมแย่แล้ว ยังมีคนที่ลำบากกว่าผมอีกเยอะ สู้ ๆ ครับตา อากงกระเพาะปลาเยาวราช 

'โซเชียล' ยกย่อง!! หนุ่มจากเจ้อเจียง ฮีโร่ที่ไม่มีพลังวิเศษ ถลาตัวเข้ารับตัวหนูน้อยจอมซนพลัดตกตึก 6 ชั้น

ชายหนุ่มจากมณฑลเจ้อเจียง กลายเป็นขวัญใจชาวเน็ตในชั่วข้ามคืนหลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเหตุการณ์ที่เขาวิ่งเข้าไปรอรับตัวหนูน้อยที่พลัดตกจากตึกสูงได้ทันบนโซเชียลมีเดีย

เมื่อวันที่ (22 ก.ค. 2565) เจ้าลี่เจียง โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน ได้โพสต์คลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดสาธารณะบนทวิตเตอร์ พร้อมกับคำบรรยายว่า “ฮีโร่ในหมู่ของพวกเรา” โดยเป็นคลิปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ (19 ก.ค. 2565) ซึ่งกลายเป็นไวรัลและเรียกเสียงชื่นชมจากชาวโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก

คลิปดังกล่าวแสดงให้เห็นภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังพูดโทรศัพท์อยู่บนทางเท้า แล้วจู่ ๆ เขาผวาเข้าไปยืนอยู่หน้าอาคารสูงแห่งหนึ่งโดยแหงนหน้าขึ้นมองไปยังด้านบนตลอดเวลา ระหว่างนั้นก็มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งตามเข้ามาสมทบ

ทั้งคู่แหงนหน้ามองขึ้นไปบนตึกสูง ฝ่ายหญิงทำท่าชูแขนขึ้นราวกับกำลังรอรับอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น ก็มีร่างของเด็กน้อยคนหนึ่งตกลงมายังเบื้องล่างอย่างรวดเร็วและชายหนุ่มในคลิปก็ยื่นมือออกไปรับร่างของหนูน้อยไว้ได้ทันท่วงที

จากนั้น คลิปก็ตัดไปยังภาพจากกล้องอีกตัวหนึ่งที่แสดงให้เห็นภาพของเด็กหญิงอายุราว 3 ขวบ กำลังปีนป่ายและพลัดตกลงมาอย่างรวดเร็วจากหน้าต่างของตึกที่ระบุไว้ว่ามีความสูงถึง 6 ชั้น

คลิปดังกล่าวมีผู้เข้าชมมากกว่า 167,000 ครั้ง มีผู้กดถูกใจมากกว่า 9,400 ราย และมีผู้แชร์ออกไปเกือบ 1,600 ครั้ง

สำหรับหนูน้อยจอมซนได้รับการส่งตัวไปให้แพทย์ดูแลรักษาที่โรงพยาบาลรัฐถงเซียง และสามารถกลับบ้านได้ในเวลาไม่นานนัก

'ผู้พันเบิร์ด' เผย ข่าวให้ร้ายสถาบันฯ มาจากผู้เสียผลประโยชน์ ยืนยัน!! 'ในหลวง' ไม่เคยแบ่งแยก มองทุกคนเป็นคนไทย

'ผู้พันเบิร์ด' บรรยายพิเศษ เนื่องในวันเฉลิมพระชนม 70 พรรษา ย้ำ ข่าวลือให้ร้ายสถาบัน เกิดจากกลุ่มเสียผลประโยชน์ ยัน 'ในหลวง' ไม่เคยแบ่งแยก มองทุกคนเป็นคนไทย มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี

เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 65 พ.อ. วันชนะ สวัสดี หรือ ผู้พันเบิร์ด รองโฆษกกระทรวงกลาโหม และจิตอาสา 904 บรรยายพิเศษในงานกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ วันเฉลิมพระชนมพรรษา 70 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้กับหัวหน้าส่วนราชการ จ.นครนายก และนักเรียนเสธนาธิการทหารบกหลักสูตรหลักประจำชุดที่ 100 ในตอนหนึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องข่าวลือให้ร้ายสถาบันว่า เกิดจากพวกเสียประโยชน์ประกอบกับ พวกแสวงประโยชน์ผสมโรงให้ร้าย บิดเบือน ในหลวงไม่เคยมองใครเป็นคนอื่น ทุกคนคือ เรา พวกเรา คือคนไทย มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และทรงตอบคำถามแบบเป็นกันเอง ว่า

"ไม่มีใครคิดว่าหนูเป็นอื่น และหนูก็ไม่ได้เป็นอื่น เป็นคนไทย"

ผู้พันเบิร์ด ยังระบุอีกว่า ในต้นรัชกาลที่ 9 ก็เจออุปสรรคมากมาย แต่พระองค์ก็ใช้ความเพียร จนเอาชนะมาได้ จนมาวันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็อยู่ช่วงต้นรัชกาลเช่นกัน ข่าวลือในทางลบก็เกิดมาก แต่พระองค์ก็มีราชธรรมและบารมี ที่รวมใจคนไทยไว้ได้ โดยทั้งสองพระองค์ไม่เคยคิด แบ่งเขาแบ่งเรา ทุกคนที่ได้อาศัยผืนดินแห่งนี้ คือ พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ชนชาติใด ไม่มีคำว่าคนอื่น เป็นครอบครัว

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (VTC) ระหว่างไทย กับผู้นำฝ่ายทหารของ สปป.ลาว เพื่อกระชับความสัมพันธ์ 

พันเอก ณรงค์ วิชญาณวรวุฒิ ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 3 ผู้แทน พล.ต.ณรงค์ สวนแก้ว ผบ.กกล.สุรศักดิ์มนตรี หัวหน้าชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดนไทย – ลาว พร้อมด้วย พันเอก อุทัย นิลเนตร ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 รองหัวหน้าชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดนไทย – ลาว และ พันโท ประดิษฐ์ พรมเรียน รองผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 3 ร่วมประชุมเพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้วยการจัดประชุมร่วมระหว่างจังหวัด กับ แขวง ผ่านระบบ Zoom ออนไลน์ ระหว่างไทย กับผู้นำฝ่ายทหารของ สปป.ลาว ให้เกิดเป็นรูปธรรมตามนโยบายของกองทัพบก

โดยมี พลจัตวา กูด พมมา หัวหน้าการทหาร กองบัญชาการทหาร แขวงไซยะบูลี และ พ.อ.บุนเตียง อินทะวง หัวหน้าการทหาร กองบัญชาการทหาร แขวงเวียงจันทน์ เป็นผู้แทน ฝ่ายทหารของ สปป.ลาว เข้าร่วมประชุมฯ 

'โซเซียลลาว' รุมสวด!! ระบบจองตั๋วรถไฟลาว-จีน คนลาว-นักท่องเที่ยว 'จองยาก - โดนโก่งราคา'

เพจ Biz Lao ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับระบบจองตั๋วรถไฟลาว-จีน จากโซเชียลลาว ในเชิงตำหนิและตักเตือน ไว้ว่า...

ป่านพุ่นหว่า...
มันขนาดนี้เลยหรือนี่...

ไปรอตั้งแต่ 4 โมงเช้า สรุปไม่ได้ตั๋ว...
ดูสภาพ มีแต่เอเย่นต์รับจองปี๋กันเอง ยาวเป็นกิโล

คนที่ไปจองเองกับนักท่องเที่ยว ไม่มีเลย

ไม่ตำหนิ คนไปจอง ตำหนิผู้บริหาร ระบบที่ล้าสมัย 

น่าจะจองระบบออนไลน์ ใครอยากจองก็จองไปเลย

เห็นนักท่องเที่ยวไทยโพสต์ในกลุ่ม ถูกโก่งค่าตั๋วสูงมาก ถึง 3-4 เท่า 

คัดย่อ...หนึ่งเสียงจากหลาย ๆ เสียงจากภาพการจองตั๋วรถไฟเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565

เมื่อระบบการจองเป็นเช่นนี้...และกระแสเที่ยวลาวด้วยรถไฟลาวจีน ยังปรากฏต่อเนื่อง

จริง ๆ ... เราจะไปเที่ยวลาว หรือ อยากไปนั่งรถไฟกันแน่?

ถ้าอยากไปเที่ยวลาวก็ไปเลย การเดินทางก็ไปง่าย สะดวก นะ และหลายแห่งก็ไม่ต้องนั่งรถไฟลาวจีน ก็ได้

ชมความสวยงามธรรมชาติสดชื่น ผู้คนสดใส เที่ยวอย่างมีความสุขในวิถีของเมืองลาวแบบเดิม ๆ ไปก็ได้

เที่ยวปากเซ, ปากซอง, คำม่วน, นากาย, หลักซาว, 
สะหวันนะเขต, เมืองเฟือง, วังเวียง, ไชสมบูน 
มันก็พบความงดงามได้เช่นกัน

ไปด้วยรถ หรือ เครื่องบิน มอเตอร์ไซค์ ก็ได้เนาะ แล้วแต่เราเองเลย บนเส้นทาง ไปเที่ยวลาวได้เช่นกัน
 

วธ.มอบโล่นายกรัฐมนตรีวันภาษาไทยแห่งชาติปี 2565 ยกย่อง 2 ปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย

วธ.มอบโล่นายกรัฐมนตรีวันภาษาไทยแห่งชาติ ปี 2565 ยกย่อง 2 ปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ส่วน เบิร์ดธงชัย -หนุ่มกะลา-ครูสลา คุณวุฒิ -นัน ไมค์ทองคำ รับรางวัลเพชรในเพลงปี 64-65 พร้อมโชว์เพลงดังรางวัลเพชรในเพลง เปิดเวทีให้เด็กไทยแรป “รักนะจ๊ะ ภาษาไทย” หนุนเด็ก เยาวชน ประชาชน เห็นความสำคัญและใช้ภาษาไทยถูกต้อง

วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 เวลา 14.00 น. นายอิทธินายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานงานวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2565 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ครู อาจารย์ เครือข่าย และผู้รับรางวัลสาขาต่าง ๆ เข้าร่วม ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

นายอิทธิพล กล่าวว่า เนื่องในวันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ อีกทั้งปีนี้ถือเป็นวาระพิเศษ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินไปทรงอภิปรายเรื่อง "ปัญหาการใช้คำไทย" ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาถึงปัจจุบันครบ 60 ปี รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ดำเนินการจัดงานเนื่องใน วันภาษาไทยแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อน้อมนำพระบรมราโชบายและพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการทรงงาน เพื่อสืบสาน รักษาและต่อยอดแนวพระราชดำริ ด้านภาษาไทยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รวมถึงเพื่อกระตุ้นให้เด็ก เยาวชน และประชาชนชาวไทย ตลอดจนสถาบันการศึกษา องค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทยและใช้ให้ถูกต้อง ร่วมทั้งอนุรักษ์ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติอย่างยั่งยืน

รมว.วธ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับงานวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2565 ขึ้น วธ.ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน บูรณาการองค์ความรู้ และแนวคิดร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้คนไทย ใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง เกิดความรักและหวงแหนความเป็นไทย ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยภายในงานมีความหลากหลายทั้งการเผยแพร่องค์ความรู้ความสำคัญของวันภาษาไทยแห่งชาติ ที่สำคัญมีการมอบโล่รางวัลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อาทิ รางวัลปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ได้แก่ ศาสตราจารย์เกียรติคุณสมพงศ์ วิทยศักดิ์พันธุ์ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และ ศาสตราจารย์กิตติคุณสุกัญญา สุจฉายา ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา สาขาวิชาวรรณกรรมพื้นบ้าน ประเภทวิชาวรรณศิลป์ สำนักศิลปกรรม รวมไปถึงผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นชาวต่างประเทศ ได้แก่ นายหลิน อี้ฟาน (Mr. Lin Yifan) ผู้จัดการ (รับผิดชอบโครงการ Lazada) ของบริษัท Flash Group และเป็นล่าม รวมไปถึงรางวัล พูด-อ่าน-เขียน ภาษาไทยดีเด่น ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน ประชาชน เห็นคุณค่า ความสำคัญและใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง

 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดโครงการ "อุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ"

สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร  จัดโครงการอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 ก.ค. 65 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 ส.ค. 65

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดโครงการ “อุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ  พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา 28 ก.ค. 65 และถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 90 พรรษา 12 ส.ค. 65  ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร” ระหว่างวันที่ 22 ก.ค. ถึง 10 ส.ค. 65 รวม 20 วัน โดยมีข้าราชตำรวจจากทั่วประเทศเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการ ฯ จำนวน 90 นาย 

ทั้งนี้ ในวันอังคาร ที่ 26 ก.ค. 65 ระหว่างเวลา 16.30 ถึง 18.00 น. จะมีการประกอบพิธีถวายราชสักการะและเจริญพระพุทธมนต์สมโภชนาคพิธีมอบบาตรและผ้าไตร ณ มณฑลพิธีลานพระศรีมหาโพธิ์   และพิธีบรรพชาและอุปสมบท  ณ พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาสฯ โดยมี พล.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. เป็นผู้แทน ผบ.ตร. เดินทางมาเป็นประธานในพิธีฯ ภายหลังการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้วจะศึกษาพระปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรม ณ ศาลาปฏิบัติธรรมเตชะอิทธิพร วัดโบสถ์ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี 

ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานในพิธีทางศาสนา พิธีบรรจุอัฐิ อดีตผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินและผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เนื่องในวันสถาปนาหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ปีที่ 67

วันที่ 26 กรกฎาคม 2565  พลเรือเอก สมประสงค์  นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีทางศาสนาและพิธีบรรจุอัฐิ อดีตผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินและผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ครบรอบปีที่ 67 ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี พลเรือโท รณรงค์ สิทธินันท์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน พร้อมด้วยกำลังพลหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ให้การต้อนรับ

หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ถือกำเนิดขึ้นในรัชสมัย พระบาทมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยเรียกว่า “ทหารมะรีน” อันเป็นคำทับศัพท์จากคำว่า “Marines”ในภาษาอังกฤษ แต่ได้มีการจัดตั้งและยุบเลิกไปหลายครั้ง  จนกระทั่งเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 กองทัพเรือ ได้สถาปนากรมนาวิกโยธินขึ้นอีกครั้งภายใต้คำแนะนำของกองทัพอเมริกัน ถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องมีนาวิกโยธิน ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และได้สืบต่อกิจการนาวิกโยธินอย่างจริงจัง ซึ่งทหารนาวิกโยธินได้ถือเอาวันที่ 30 กรกฎาคม ของทุกปีเป็นวันสถาปนาหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน 

นับตั้งแต่ได้มีทหารนาวิกโยธินในอดีตจนถึงปัจจุบันปฏิบัติ การสู้รบทั้งในการป้องกันประเทศและปราบปรามผู้ก่อการร้ายอย่างต่อเนื่องทำให้ทหารนาวิกโยธินจำนวนหนึ่งต้องสูญเสียชีวิต ดังนั้น ทหารนาวิกโยธินและประชาชนผู้มีจิตศรัทธา จึงได้ร่วมบริจาคเงินในการสร้างอนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธินขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่มีลักษณะเป็นรูปหกเหลี่ยมฐานตรง ส่วนล่างประกอบด้วยแผ่นทองเหลือง จารึกประวัติทหารนาวิกโยธิน และรายชื่อของทหารนาวิกโยธินที่เสียชีวิตโดยรอบ ด้านบนสุดเป็นรูปยุทโธปกรณ์หล่อด้วยทองเหลืองปัดดำ ด้านหน้าเป็นรูปตัวโน้ต และเนื้อเพลงพระราชนิพนธ์ “ราชนาวิกโยธิน” ที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  บรมนาถบพิตรได้พระราชทานแก่ทหารนาวิกโยธิน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2502 ส่วนด้านบนอื่น ๆ อีก 5 ด้าน เป็นรูปการปฏิบัติภารกิจของเหล่าทหารนาวิกโยธิน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิด อนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธิน เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2528 ยังความปราบปลื้มและซาบซึ้ง ในพระมหากรุณาธิคุณแก่เหล่าทหารนาวิกโยธินทุกนายอย่างหาที่สุดมิได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top